แผนการท่องเที่ยวทั้งหมด
Day 1 : สุวรรณภูมิ > โฮจิมินห์ซิตี้ > โตเกียว :
http://ppantip.com/topic/35893968/
Day 2 : Ueno ตะลุย Isomaru Suisan / Sushi Zanmai ร้านอาหารเปิด 24 ชั่วโมง :
http://ppantip.com/topic/35893968/comment1
Day 3 : Hakodate บุกไปทานอูนิร้าน Uni Murakami เที่ยว Mount Hakodate และ Red Brick Warehouse :
http://ppantip.com/topic/35895845
Day 4 : Hakodate สวาปามรอบตลาด ไปแอบดูลิงลงออนเซน ส่องวิวเมืองอีกด้านจาก Goryokaku Tower :
http://ppantip.com/topic/35896919
Day 5 : Aomori กิน Nokkedon ที่ตลาดปลา Furukawa และชมหลากหลายผลิตภัณฑ์จากแอปเปิ้ลที่ A Factory :
http://ppantip.com/topic/35902012
Day 6 : Sendai บุกตลาดปลา Shiogama ทานอาหารทะเลสดๆ ต่อด้วยชิมลิ้นวัวย่างและถั่วซึนดะ ของขึ้นชื่อของเซ็นได :
http://ppantip.com/topic/35908992
Day7 : Tokyo ตะลุยกินย่านชินจูกุ เริ่มด้วยร้านเนื้อย่างเจ้าดัง Rokkasen ปิดด้วยบุฟเฟต์ผลไม้แสนอร่อย Takano Fruit Parlour :
http://ppantip.com/topic/35912605/
Day 8 : Tokyo ตระเวนรอบตลาดปลา Tsukiji ชมวิวโตเกียวทาวเวอร์ แวะห้าง Yodobashi akiba ย่าน Akihabara :
http://ppantip.com/topic/35922623
Day 9 : ย้อนรอย Isomaru Suisan บุก Asakusa บวกเนื้อย่าง Heijoen ซื้อของฝากที่ตึกม่วง ปิดท้ายด้วย ซูชิหน้าล้น :
http://ppantip.com/topic/35936269
วันนี้เราก็ยังคงคอนเซป ตื่นเช้าได้กำไร เดินออกล่าอาหารตั้งแต่เช้ามืดเช่นเคย โดยวันนี้เรามีเป้าหมายชัดเจน ร้านที่จะมาทานวันนี้มีคนไทยแนะนำมาหลายคนจากหลายกระทู้ นั่นคือร้าน "Suzuya" (すずや)
Information
Name : Suzuya
Location : Hakodate, Hokkaido
Opening Time : 6.00-14.00
Recommend Dish : Kaisen Don / Ika Somen / BBQ Seafood
Desciption : ร้านนี้เป็นร้านที่คนไทยที่ทำรีวิวหลายคนแนะนำ อาจจะด้วยอัธยาศัยที่ดีของเจ้าของร้าน และความสดอร่อยของอาหารทะเล Kaisen Don ของที่นี่จะติ๊กเลือกของสดที่อยากกินในกระดาษ เพื่อส่งให้เชฟทำให้ได้เลย ราคาก็กลางๆ ไม่ถูกไม่แพง แต่รับประกันความสด
Location อยู่แถวๆ ริวอ่าว ให้เดินเลียบตลาดฝั่งติดทะเลไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เจอ แต่ร้านนี้จะแอบอยู่ในร้านขายของอีกที เรียกได้ว่าซ่อนตัวกันสุดๆ ต้ิงสังเกตหลังคาร้านเป็นหลักครับ หารูปปูชูชามข้าวตามแบบภาพด้านบนเลย
เดินทะลุเข้ามาเจอประตูอีกชั้นเดินเข้าไปได้เลย
เมนูมีค่อนข้างหลากหลายครับ ที่ค่อนข้างขึ้นชื่อก็ยังคงเป็นข้าวหน้าทะเลอีกเช่นเคย แต่ผมอยากเปลี่ยนบ้างอะ วันนี้เราจะลองเมนูซาชิมิหลายๆ แบบกับของขึ้นชื่อที่สุดของฮาโกดาเตะ แถมยังเป็นสัญลักษณ์ของเมืองท่าแห่งนี้ด้วย นั่นก็คือ ปลาหมึก !!
อาหารที่สั่งได้แก่
- ซาชิมิ หมึกสด
- ซาชิมิ อาวาบิ (เปาฮื้อ)
- ซาชิมิ โฮตาเตะ
- หมึกย่างบาร์บีคิว
ค่าอาหารยังไม่รวมภาษีอีก 8% นะขอรับ
ที่นี่ก็ให้เราตกหมึกเองเช่นกัน ยังไงมันก็เป็นวัฒนธรรมการกินของเค้า ยังไงก็ขอโทษด้วยนะครับพี่หมึก โหสินะ ><''
ตัวใหญ่มากเลย เบื้องหลังภาพนี้คือ ขึ้นมาได้ปุ๊ป พี่แกก็พ่นน้ำใส่เลยครับ เปียกเต็มๆ ถ้าใครคิดจะไปตกหมึก ระวังเปียกดีๆ นะครับ ขอเตือนก่อน
พี่ที่ดูแลหน้าร้านก็จะรับปลาหมึกจากเราไปให้เชฟหลังเคาท์เตอร์ครับ
ระหว่างรอเค้าจัดการปลาหมึก อาหารจานอื่นก็ทยอยมาครับ ซาชิมิอาวาบิ กับ ซาชิมิโฮตาเตะ
ตามด้วยปลาหมึกที่โดนจัดการแล้ว ในจานประกอบไปด้วย ซ้ายสุดคือส่วนหัวตรงหมวกที่หมึกใช้ว่ายน้ำครับ เจ้าของร้านจะซอยให้บางกว่าส่วนลำตัว เป็นลักษณะ Ika somen ครับ (ขอใช้ชื่อไทยว่า "ก๋วยเตี๋ยวเนื้อปลาหมึก") ส่วนถัดมาคือเนื้อปลาหมึกจะซอยหนากว่าครับ เนื้อสัมผัสนุ่มหนึบ ไม่เหนียว สดมากๆ ครับ (แน่สิ พึ่งขึ้นมาจากบ่อเลย) ถัดมาอีกด้านบนเป็นหนวดหมึก มันยังดุ๊กดิ๊กอยู่เลยอะ จึ๋ย = ='' ส่วนในจานที่เห็นเป็นท่อนสีเหลือง ตอนแรกก็ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร อาเจ้ในร้านบอกว่ามันคือ Ika Kimo หรือตับหมึกครับ ตอนเรากินปลาหมึกที่ไทย นอกจากไม่เคยทานปลาหมึกเป็นๆ แบบนี้แล้ว ยังไม่เคยรู้จักสิ่งที่เีรียกว่าตับหมึกด้วย
เห็นเราทำหน้างงๆ ก่งก๊ง อาเจ้เค้าก็แนะนำและสาธิตการทานให้เราดูครับ โดยการเอาถ้วยน้ำจิ้มมาเติมโชยุลงไป ตามด้วยใส่ตับหมึกลงไป กับวาซาบินิดหน่อยแล้วใช้ตะเกียบบี้ๆ จนมันเละไปกับโชยุครับ
หน้าตาดูไม่น่ารอดเลยเนอะ = w =''
แกให้คีบเนื้อหมึกหรือหนวดหมึก จิ้มลงไปในน้ำจิ้มที่มีตับหมึกอยู่ ผลปรากฏว่าอร่อยมากครับ รสชาติตับหมึกมันจะออกครีมๆ มันๆ หอมๆ มีกลิ่นทะเลแต่คนละแบบกับอูนินะ อธิบายยากอะ ต้องลองเองจริงๆ ครับ
สำหรับซาชิมิผมเฉยๆ นะ ทั้งอาวาบิและโฮตาเตะเลย อาวาบิมันกรึบๆ กรอบๆ แต่ไม่ค่อยมีรสชาติเลยอะ แถมตัวนึงตั้ง 1,500 เยนเลยนะ T^T ทั้งทริปนี้ ผมเลยไม่กล้าแตะอาวาบิอีกเลย ใครมีประสบการณ์กินอาวาบิแบบไหนอร่อยแชร์กันได้นะครับ ครั้งหน้าจะไปลอง ส่วนโฮตาเตะ ผมว่าเนื้อสัมผัสมันแปลกๆ แถมเลม่อนที่วางมาด้านบนแทนที่มันจะตัดคาว มันดันทำให้กลิ่นเลม่อนติดกับเนื้อหอยแล้วรสมันแปลกๆ
สุดท้ายขอยกให้เมนูนี้เป็นอีกเมนูสุดอร่อย นั่นก็คือ "หมึกย่างบาร์บีคิว" คือเนื้อมันนิ่ม มีความนุ่มหยุ่นแต่ก็เด้งดี เคี้ยวมันมากครับ จานนี้แปปเดียวหมดเกลี้ยงเหมือนไม่เคยมีมาก่อนเลย
โล่งเลยจ้า ...
สนนราคามื้อนี้ราวๆ 4,xxx เยน ครับ
ก่อนจะกลับโรงแรมเพื่อขึ้น Shinkansen เดินทางต่อไปอาโอโมริ ผมก็ขอเก็บภาพที่ตลาดเช้าฮาโกดาเตะอีกหน่อย ผมยังมีลิสต์อีกหลายร้านที่ยังไม่ได้ลอง (ที่แน่ๆ มีไข่หอยเม่นพันธุ์บาฟุนกับร้านไคโคโบะ) แต่เดี๋ยวอีกไม่นาน ได้กลับมาเก็บตกแน่นอนครับ
สวยยันฝาท่อ
ตลอดสองคืนที่ฮาโกดาเตะกับโรงแรมคิคุยะ เป็นอะไรที่โอเคมากครับ ราคาประหยัดมาก แม้ห้องจะค่อนข้างเล็ก แต่เตียงก็กว้างดี ตู้เย็นมี ฮีตเตอร์ดี วิวก็โอเค ที่สำคัญคืออาหารเช้าฟรี (เป็นอาหารเช้าง่ายๆ ประกอบด้วย ขนมปังปิ้ง แยม เนย ชา กาแฟ และนมสดฮอกไกโด) ผมขอสารภาพว่าคืนแรกที่อยู่โตเกียว ผมจองห้องพักกับโรงแรมแคปซูลด้วยความอยากรู้อยากลอง แต่แทบไม่ได้นอนเลยครับ ถึงมันจะถูกมากๆ แต่มันเหมาะกับคนที่หลับง่าย ผมทำใจหลับท่ามกลางเสียงกรน และ เสียงผายลม (ที่ดังมาเป็นพักๆ) ไม่ได้จริงๆ คืนนั้นหลังรู้ตัวว่านอนไม่ได้ (ทนตั้งแต่สี่ทุ่มกว่าๆ จนถึงตีสาม) ผมก็มานั่งร้าน Sushi Zanmai ยาวๆ เลยครับ สบายใจกว่าเยอะมากๆ = =''
ก่อนจะเดินเข้าสถานี JR Hakodate ผมมาจ๊ะเอ๋ร้านของที่ระลึกแล้วเห็นเจ้านี่หน้าร้านเลยยอมสละ 200 เยน ลองกดดู
ได้มาเป็นเจ้าตัวนี้ครับ เดี๋ยวมีโอกาสได้มาเที่ยวฮาโกดาเตะจะพามันกลับมาด้วย 555
ในร้านของที่ระลึกมีของขายมากมายเลยครับ ทั้งเสื้อ ทั้งขนม ทั้งกระเป๋า ของกระจุกกระจิก หลังจากเลือกอยู่พักนึง ผมก็ได้เสื้อมาตัวนึงครับ
ได้เวลาแล้ว เราเตรียมขึ้นรถไฟไปลงสถานี Shin Hakodate เพื่อต่อรถไฟ Shinkansen ไปลงสถานี Shin Aomori กัน
https://www.youtube.com/watch?v=lRIawDL9rbY
วิวระหว่างทางครับ อันที่จริงขบวนนี้วิ่งไปได้ถึง Sapporo เลยนะ แต่ตามแผนเราต้องลงที่ป้าย Shin Hakodate เพื่อกลับลงไปภูมิภาคฮอนชูครับ
ขึ้นมาแล้วก็นั่งเล่นมือถือไปเรื่อยครับ แต่สัญญาณเน็ตของ Pocket Wifi อาหารหนักมาก เพราะต้องมุดอุโมงก์แทบจะตลอดเลย
ถึงสถานี Shin Aomori แล้ว เห็นรูปเจ้าตัวคล้ายๆ หมีโคอาล่าใส่หมวกรูปดาว กระจายอยู่ทั่วทั้งสถานีรถไฟเลย นั่นคือมาสคอตของเมืองอาโอโมริ รู้สึกจะชื่อ Ikubee ครับ หลังจากนี้ เราต้องต่อรถไฟจากสถานี Shin Aomori เข้าไปที่ สถานี Aomori อีกทีนึง
อุณหภูมิกำลังดีเลยยยย แดดก็มาด้วย เจ๋งไปเลย
ถึงแล้ว JR Aomori มาถึงก็รีบเข้าไปถามข้อมูลที่ Tourist Information Center เลย แผนแรกคืออยากไปสวน Hirosaki Apple Garden แต่พนักงานแนะนำว่าถ้าไปตอนนี้จะได้แค่เดินชมต้นแอปเปิ้ล แต่มันเลยฤดูเก็บเกี่ยวมาแล้วพักนึง ถ้าจะมาเก็บแอปเปิ้ลต้องมาช่วงต้นกรกฎาคมถึงกลางพฤศจิกายน พลาดไปนิดเดียวเอง ฮือออ
แต่ไม่เป็นไร เรามีแผนสำรอง ถึงไม่ได้ไปสวนแอปเปิ้ล แต่ก็ยังไปส่องผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับแอปเปิ้ลได้ที่ A Factory ใกล้ๆ สถานี JR Aomori เลย แต่ตอนนี้เราหิวแล้ว เพราะฉะนั้นไปหาอาหารกันก่อนนนนน โดยเป้าหมายครั้งนี้อยู่ที่ตลาดปลาขึ้นชื่อของเมืองนี้ ซึ่งมีสองที่เลยทีเดียว ได้แก่ ตลาดปลา Auga และ ตลาดปลา Furukawa
[CR] Day5 : Aomori กิน Nokkedon ที่ตลาดปลา Furukawa และชมหลากหลายผลิตภัณฑ์จากแอปเปิ้ลที่ A Factory
Day 1 : สุวรรณภูมิ > โฮจิมินห์ซิตี้ > โตเกียว : http://ppantip.com/topic/35893968/
Day 2 : Ueno ตะลุย Isomaru Suisan / Sushi Zanmai ร้านอาหารเปิด 24 ชั่วโมง : http://ppantip.com/topic/35893968/comment1
Day 3 : Hakodate บุกไปทานอูนิร้าน Uni Murakami เที่ยว Mount Hakodate และ Red Brick Warehouse : http://ppantip.com/topic/35895845
Day 4 : Hakodate สวาปามรอบตลาด ไปแอบดูลิงลงออนเซน ส่องวิวเมืองอีกด้านจาก Goryokaku Tower : http://ppantip.com/topic/35896919
Day 5 : Aomori กิน Nokkedon ที่ตลาดปลา Furukawa และชมหลากหลายผลิตภัณฑ์จากแอปเปิ้ลที่ A Factory : http://ppantip.com/topic/35902012
Day 6 : Sendai บุกตลาดปลา Shiogama ทานอาหารทะเลสดๆ ต่อด้วยชิมลิ้นวัวย่างและถั่วซึนดะ ของขึ้นชื่อของเซ็นได : http://ppantip.com/topic/35908992
Day7 : Tokyo ตะลุยกินย่านชินจูกุ เริ่มด้วยร้านเนื้อย่างเจ้าดัง Rokkasen ปิดด้วยบุฟเฟต์ผลไม้แสนอร่อย Takano Fruit Parlour : http://ppantip.com/topic/35912605/
Day 8 : Tokyo ตระเวนรอบตลาดปลา Tsukiji ชมวิวโตเกียวทาวเวอร์ แวะห้าง Yodobashi akiba ย่าน Akihabara : http://ppantip.com/topic/35922623
Day 9 : ย้อนรอย Isomaru Suisan บุก Asakusa บวกเนื้อย่าง Heijoen ซื้อของฝากที่ตึกม่วง ปิดท้ายด้วย ซูชิหน้าล้น : http://ppantip.com/topic/35936269
วันนี้เราก็ยังคงคอนเซป ตื่นเช้าได้กำไร เดินออกล่าอาหารตั้งแต่เช้ามืดเช่นเคย โดยวันนี้เรามีเป้าหมายชัดเจน ร้านที่จะมาทานวันนี้มีคนไทยแนะนำมาหลายคนจากหลายกระทู้ นั่นคือร้าน "Suzuya" (すずや)
Information
Name : Suzuya
Location : Hakodate, Hokkaido
Opening Time : 6.00-14.00
Recommend Dish : Kaisen Don / Ika Somen / BBQ Seafood
Desciption : ร้านนี้เป็นร้านที่คนไทยที่ทำรีวิวหลายคนแนะนำ อาจจะด้วยอัธยาศัยที่ดีของเจ้าของร้าน และความสดอร่อยของอาหารทะเล Kaisen Don ของที่นี่จะติ๊กเลือกของสดที่อยากกินในกระดาษ เพื่อส่งให้เชฟทำให้ได้เลย ราคาก็กลางๆ ไม่ถูกไม่แพง แต่รับประกันความสด
Location อยู่แถวๆ ริวอ่าว ให้เดินเลียบตลาดฝั่งติดทะเลไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เจอ แต่ร้านนี้จะแอบอยู่ในร้านขายของอีกที เรียกได้ว่าซ่อนตัวกันสุดๆ ต้ิงสังเกตหลังคาร้านเป็นหลักครับ หารูปปูชูชามข้าวตามแบบภาพด้านบนเลย
เดินทะลุเข้ามาเจอประตูอีกชั้นเดินเข้าไปได้เลย
เมนูมีค่อนข้างหลากหลายครับ ที่ค่อนข้างขึ้นชื่อก็ยังคงเป็นข้าวหน้าทะเลอีกเช่นเคย แต่ผมอยากเปลี่ยนบ้างอะ วันนี้เราจะลองเมนูซาชิมิหลายๆ แบบกับของขึ้นชื่อที่สุดของฮาโกดาเตะ แถมยังเป็นสัญลักษณ์ของเมืองท่าแห่งนี้ด้วย นั่นก็คือ ปลาหมึก !!
อาหารที่สั่งได้แก่
- ซาชิมิ หมึกสด
- ซาชิมิ อาวาบิ (เปาฮื้อ)
- ซาชิมิ โฮตาเตะ
- หมึกย่างบาร์บีคิว
ค่าอาหารยังไม่รวมภาษีอีก 8% นะขอรับ
ที่นี่ก็ให้เราตกหมึกเองเช่นกัน ยังไงมันก็เป็นวัฒนธรรมการกินของเค้า ยังไงก็ขอโทษด้วยนะครับพี่หมึก โหสินะ ><''
ตัวใหญ่มากเลย เบื้องหลังภาพนี้คือ ขึ้นมาได้ปุ๊ป พี่แกก็พ่นน้ำใส่เลยครับ เปียกเต็มๆ ถ้าใครคิดจะไปตกหมึก ระวังเปียกดีๆ นะครับ ขอเตือนก่อน
พี่ที่ดูแลหน้าร้านก็จะรับปลาหมึกจากเราไปให้เชฟหลังเคาท์เตอร์ครับ
ระหว่างรอเค้าจัดการปลาหมึก อาหารจานอื่นก็ทยอยมาครับ ซาชิมิอาวาบิ กับ ซาชิมิโฮตาเตะ
ตามด้วยปลาหมึกที่โดนจัดการแล้ว ในจานประกอบไปด้วย ซ้ายสุดคือส่วนหัวตรงหมวกที่หมึกใช้ว่ายน้ำครับ เจ้าของร้านจะซอยให้บางกว่าส่วนลำตัว เป็นลักษณะ Ika somen ครับ (ขอใช้ชื่อไทยว่า "ก๋วยเตี๋ยวเนื้อปลาหมึก") ส่วนถัดมาคือเนื้อปลาหมึกจะซอยหนากว่าครับ เนื้อสัมผัสนุ่มหนึบ ไม่เหนียว สดมากๆ ครับ (แน่สิ พึ่งขึ้นมาจากบ่อเลย) ถัดมาอีกด้านบนเป็นหนวดหมึก มันยังดุ๊กดิ๊กอยู่เลยอะ จึ๋ย = ='' ส่วนในจานที่เห็นเป็นท่อนสีเหลือง ตอนแรกก็ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร อาเจ้ในร้านบอกว่ามันคือ Ika Kimo หรือตับหมึกครับ ตอนเรากินปลาหมึกที่ไทย นอกจากไม่เคยทานปลาหมึกเป็นๆ แบบนี้แล้ว ยังไม่เคยรู้จักสิ่งที่เีรียกว่าตับหมึกด้วย
เห็นเราทำหน้างงๆ ก่งก๊ง อาเจ้เค้าก็แนะนำและสาธิตการทานให้เราดูครับ โดยการเอาถ้วยน้ำจิ้มมาเติมโชยุลงไป ตามด้วยใส่ตับหมึกลงไป กับวาซาบินิดหน่อยแล้วใช้ตะเกียบบี้ๆ จนมันเละไปกับโชยุครับ
หน้าตาดูไม่น่ารอดเลยเนอะ = w =''
แกให้คีบเนื้อหมึกหรือหนวดหมึก จิ้มลงไปในน้ำจิ้มที่มีตับหมึกอยู่ ผลปรากฏว่าอร่อยมากครับ รสชาติตับหมึกมันจะออกครีมๆ มันๆ หอมๆ มีกลิ่นทะเลแต่คนละแบบกับอูนินะ อธิบายยากอะ ต้องลองเองจริงๆ ครับ
สำหรับซาชิมิผมเฉยๆ นะ ทั้งอาวาบิและโฮตาเตะเลย อาวาบิมันกรึบๆ กรอบๆ แต่ไม่ค่อยมีรสชาติเลยอะ แถมตัวนึงตั้ง 1,500 เยนเลยนะ T^T ทั้งทริปนี้ ผมเลยไม่กล้าแตะอาวาบิอีกเลย ใครมีประสบการณ์กินอาวาบิแบบไหนอร่อยแชร์กันได้นะครับ ครั้งหน้าจะไปลอง ส่วนโฮตาเตะ ผมว่าเนื้อสัมผัสมันแปลกๆ แถมเลม่อนที่วางมาด้านบนแทนที่มันจะตัดคาว มันดันทำให้กลิ่นเลม่อนติดกับเนื้อหอยแล้วรสมันแปลกๆ
สุดท้ายขอยกให้เมนูนี้เป็นอีกเมนูสุดอร่อย นั่นก็คือ "หมึกย่างบาร์บีคิว" คือเนื้อมันนิ่ม มีความนุ่มหยุ่นแต่ก็เด้งดี เคี้ยวมันมากครับ จานนี้แปปเดียวหมดเกลี้ยงเหมือนไม่เคยมีมาก่อนเลย
โล่งเลยจ้า ...
สนนราคามื้อนี้ราวๆ 4,xxx เยน ครับ
ก่อนจะกลับโรงแรมเพื่อขึ้น Shinkansen เดินทางต่อไปอาโอโมริ ผมก็ขอเก็บภาพที่ตลาดเช้าฮาโกดาเตะอีกหน่อย ผมยังมีลิสต์อีกหลายร้านที่ยังไม่ได้ลอง (ที่แน่ๆ มีไข่หอยเม่นพันธุ์บาฟุนกับร้านไคโคโบะ) แต่เดี๋ยวอีกไม่นาน ได้กลับมาเก็บตกแน่นอนครับ
สวยยันฝาท่อ
ตลอดสองคืนที่ฮาโกดาเตะกับโรงแรมคิคุยะ เป็นอะไรที่โอเคมากครับ ราคาประหยัดมาก แม้ห้องจะค่อนข้างเล็ก แต่เตียงก็กว้างดี ตู้เย็นมี ฮีตเตอร์ดี วิวก็โอเค ที่สำคัญคืออาหารเช้าฟรี (เป็นอาหารเช้าง่ายๆ ประกอบด้วย ขนมปังปิ้ง แยม เนย ชา กาแฟ และนมสดฮอกไกโด) ผมขอสารภาพว่าคืนแรกที่อยู่โตเกียว ผมจองห้องพักกับโรงแรมแคปซูลด้วยความอยากรู้อยากลอง แต่แทบไม่ได้นอนเลยครับ ถึงมันจะถูกมากๆ แต่มันเหมาะกับคนที่หลับง่าย ผมทำใจหลับท่ามกลางเสียงกรน และ เสียงผายลม (ที่ดังมาเป็นพักๆ) ไม่ได้จริงๆ คืนนั้นหลังรู้ตัวว่านอนไม่ได้ (ทนตั้งแต่สี่ทุ่มกว่าๆ จนถึงตีสาม) ผมก็มานั่งร้าน Sushi Zanmai ยาวๆ เลยครับ สบายใจกว่าเยอะมากๆ = =''
ก่อนจะเดินเข้าสถานี JR Hakodate ผมมาจ๊ะเอ๋ร้านของที่ระลึกแล้วเห็นเจ้านี่หน้าร้านเลยยอมสละ 200 เยน ลองกดดู
ได้มาเป็นเจ้าตัวนี้ครับ เดี๋ยวมีโอกาสได้มาเที่ยวฮาโกดาเตะจะพามันกลับมาด้วย 555
ในร้านของที่ระลึกมีของขายมากมายเลยครับ ทั้งเสื้อ ทั้งขนม ทั้งกระเป๋า ของกระจุกกระจิก หลังจากเลือกอยู่พักนึง ผมก็ได้เสื้อมาตัวนึงครับ
ได้เวลาแล้ว เราเตรียมขึ้นรถไฟไปลงสถานี Shin Hakodate เพื่อต่อรถไฟ Shinkansen ไปลงสถานี Shin Aomori กัน
https://www.youtube.com/watch?v=lRIawDL9rbY
วิวระหว่างทางครับ อันที่จริงขบวนนี้วิ่งไปได้ถึง Sapporo เลยนะ แต่ตามแผนเราต้องลงที่ป้าย Shin Hakodate เพื่อกลับลงไปภูมิภาคฮอนชูครับ
ขึ้นมาแล้วก็นั่งเล่นมือถือไปเรื่อยครับ แต่สัญญาณเน็ตของ Pocket Wifi อาหารหนักมาก เพราะต้องมุดอุโมงก์แทบจะตลอดเลย
ถึงสถานี Shin Aomori แล้ว เห็นรูปเจ้าตัวคล้ายๆ หมีโคอาล่าใส่หมวกรูปดาว กระจายอยู่ทั่วทั้งสถานีรถไฟเลย นั่นคือมาสคอตของเมืองอาโอโมริ รู้สึกจะชื่อ Ikubee ครับ หลังจากนี้ เราต้องต่อรถไฟจากสถานี Shin Aomori เข้าไปที่ สถานี Aomori อีกทีนึง
อุณหภูมิกำลังดีเลยยยย แดดก็มาด้วย เจ๋งไปเลย
ถึงแล้ว JR Aomori มาถึงก็รีบเข้าไปถามข้อมูลที่ Tourist Information Center เลย แผนแรกคืออยากไปสวน Hirosaki Apple Garden แต่พนักงานแนะนำว่าถ้าไปตอนนี้จะได้แค่เดินชมต้นแอปเปิ้ล แต่มันเลยฤดูเก็บเกี่ยวมาแล้วพักนึง ถ้าจะมาเก็บแอปเปิ้ลต้องมาช่วงต้นกรกฎาคมถึงกลางพฤศจิกายน พลาดไปนิดเดียวเอง ฮือออ แต่ไม่เป็นไร เรามีแผนสำรอง ถึงไม่ได้ไปสวนแอปเปิ้ล แต่ก็ยังไปส่องผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับแอปเปิ้ลได้ที่ A Factory ใกล้ๆ สถานี JR Aomori เลย แต่ตอนนี้เราหิวแล้ว เพราะฉะนั้นไปหาอาหารกันก่อนนนนน โดยเป้าหมายครั้งนี้อยู่ที่ตลาดปลาขึ้นชื่อของเมืองนี้ ซึ่งมีสองที่เลยทีเดียว ได้แก่ ตลาดปลา Auga และ ตลาดปลา Furukawa