ก่อนอื่น ขอออกตัวเลยนะครับว่าไม่ได้เซียนที่ไหน เพราะคิดว่าใครหลายๆคนในห้องสินทรนี้ก็มีผู้ประสบความสำเร็จมากกว่าผมเยอะแยะ แต่ที่มาเล่าวันนี้คือ อยากจะแชร์ประสบการ์ณตรง และ บอกว่าช่วงนั้นผมคิดอะไรอยู่ ถึงได้ผ่านเหตุการ์ณเหล่านั้นมาได้
***edit 19/12/59 เนื่องจากมีคำถาม หลังไมค์มาเยอะ เกี่ยวกับการลงทุนในแนวทางของผม ใครอยากติดตามต่อจากกระทู้นี้ ก็ไปตามอ่านได้ที่เพจผมละกันนะครับ
https://www.facebook.com/investnotbet/
บทที่ 1 การก้าวเข้ามาลงทุน ครั้งแรก
เหตุที่ทำให้ผมเข้ามาลงทุนครั้งแรกเลย คงต้องย้อนกลับไปเหมือน 7-8 ปีก่อนครับ ช่วงนั้นคุณพ่อล้มป่วยไม่สามารถทำงานได้ แล้ว ทิ้งพอร์ตหุ้นมาให้ผมดูแล ด้วยความที่ไม่มีความรู้เลยไม่กล้าถือหุ้นเหล่านั้นนาน ตัดสินใจขายมันหมดพอร์ตเลยครับ หลังจากที่ขายก็เอาเงินไปคืนกงสีนะ เพราะมันไม่ได้เป็นเงินส่วนตัวของผม เพราะฉะนั้นเงินก้อนนี้ไม่ได้นับว่าอยู่ในเงินลงทุนของผมเลย หลังจากนั้นก็ตามดูหุ้นพวกนั้นว่ามันเป็นไงต่อไป ปรากฏว่าหลายๆตัวก็ตกไปเยอะเลยครับ บางตัว ตอนนี้ก็ออกจากตลาดไปแล้ว แต่ก็มีตัวที่ขึ้นไปเป็น 100-200% ทำให้เกิดความสงสัยว่าทำไม หุ้นแต่ละตัวมีความแตกต่างกันขนาดนี้ ต่อมาถ้าจำไม่ผิดช่วงปี 2009-2010 น้องสาวก็มาบอกว่าเค้าได้ข่าววงในจากกลุ่มเพื่อนเค้าว่า หุ้น CPF จะขึ้นเยอะ ผมก็ลองซื้อดูสักหน่อย จำได้ว่า ราคา CPF ประมาณ 9-10 บาท ตอนนั้นซื้อไม่เยอะครับ แค่อยากลองปรากฏว่า CPF ขึ้นไปหลาย % จริงๆ ครับ ขึ้นมาถึง 22 บาทภายในเวลา 1 ปี ผมก็ถือมาแบบลุ่มๆดอนๆไม่ได้อะไรนะคือ เพราะไม่มีความรู้ และ ไม่มีคนบอกด้วยว่าเป้าเท่าไร ถือแบบ งงๆ จนมาถึงวันที่ ญี่ปุ่นโดนซึนามิ นั้นแหละครับท่านผู้ชม โบรกเกอร์นี้โทรมาทันทีบอกว่า อันตรายมากให้รีบขาย จะเหลือเหรอครับ ขายขาดทุนกำไรไปหลายบาทเลย หลังจากนั้นก็เลยบอกกับตัวเองว่าจะไม่เชื่อโบรกอีกต่อไปและจะต้องเข้าใจเรื่องหุ้นด้วยตัวเองให้ได้
บทที่ 2 หุ้นเปลี่ยนชีวิต ตัวแรก
หลังจากเหตุการ์ณขายหมู ก็เลยตัดสินใจ หาซื้อหนังสือมาอ่านครับ เปิดเข้ามาในห้องนี้แหละ ก็มีคนแนะนำ หนังสือ "ตีแตก" ของ ดร นิเวศน์ อ่านไปก็เห็นชอบแนวการลงทุน แบบ VI ทำให้เข้าใจว่า จริงๆแล้ว ราคาหุ้นจะขึ้นจะลง มันต้องขึ้นอยู่กับกำไรและผลประกอบการของบริษัท แต่ขอสารภาพตรงๆว่าอ่านงบการเงินไม่เป็นเลยครับช่วงแรก เลยใช้วิธี ลอกหุ้นตามเซียน ลอกตาม ดร นิเวศน์ เลยครับแรกๆ ช่วงนั้นเรียนจบมาสักพักทำงานแล้วก็เอาเงินเก็บนั้นแหละ ซื้อหุ้น jmart แถวๆเกือบ 3 บาท ทีนี้พอซื้อแล้วก็เหมือนมือใหม่ทั่วไปครับ เปิดดูทุกวัน วันไหนหุ้นตกหนักๆ ก็พยายามอ่านหนังสือ ทำความเข้าใจ พอปรับ mindset ตัวเองได้ความกังวลก็น้อยลง ถึงขนาดที่ทำตาม ดร นิเวศน์ บอกเลย บางครั้งก็เดินไปดูกิจการว่ายังขายดีอยู่ไหม ปรากฏว่า ช่วงปีนั้น jmart ทำกำไรและเติบโตได้ดีมาก หุ้นขึ้นไปจากวันที่ผมซื้อถึง 700-800% บอกตามตรงว่าในใจอยากจะขายตั้งแต่กำไร 100% ละ โชคดีที่อ่านหนังสือมา คือ ตราบเท่าที่กำไรมันยังโตดีอยู่ผมบอกกับตัวเองให้ถือทนรวยต่อไป
ขออนุญาติ ลงรูปประกอบนะครับ นี้คือพอร์ตเมื่อช่วงนั้น ส่วนหุ้นตัวอื่นในพอร์ตจะทยอยเล่าให้ฟังในบทต่อๆไปครับ
สุดท้าย ก็มาถึงจุดที่ต้องแยกทางกันเพราะ กำไรของ jmart เริ่มลดลง ผมพยายาม หาข้อมูล เพราะ operator 3 รายใหญ่นำมือถือมาขายราคาพ่วงกับโปรโมชั่น หลายรุ่นโดยเฉพาะ iphone และ sumsung ทำให้ยอดการขายตก ผมยอมรับครับว่า ขายไม่ได้แพงที่สุดและเป็นคนที่ขายหุ้นช้ามาก ค่อยๆทยอยขาย มัวแต่รักหุ้นอยู่ครับ เพราะฉะนั้นหลังมานี้จึงเลือกหุ้นแบบคัดแล้วคัดอีกเพื่อจะได้ไม่ต้องมานั้งขายบ่อยๆ
ยังไม่จบ เดียวมาต่อครับ
แชร์แนวทางการลงทุน จากเงินเริ่มต้น 2แสน เป็น 20 ล้าน ในเวลาไม่ถึง 10 ปี
***edit 19/12/59 เนื่องจากมีคำถาม หลังไมค์มาเยอะ เกี่ยวกับการลงทุนในแนวทางของผม ใครอยากติดตามต่อจากกระทู้นี้ ก็ไปตามอ่านได้ที่เพจผมละกันนะครับ
https://www.facebook.com/investnotbet/
บทที่ 1 การก้าวเข้ามาลงทุน ครั้งแรก
เหตุที่ทำให้ผมเข้ามาลงทุนครั้งแรกเลย คงต้องย้อนกลับไปเหมือน 7-8 ปีก่อนครับ ช่วงนั้นคุณพ่อล้มป่วยไม่สามารถทำงานได้ แล้ว ทิ้งพอร์ตหุ้นมาให้ผมดูแล ด้วยความที่ไม่มีความรู้เลยไม่กล้าถือหุ้นเหล่านั้นนาน ตัดสินใจขายมันหมดพอร์ตเลยครับ หลังจากที่ขายก็เอาเงินไปคืนกงสีนะ เพราะมันไม่ได้เป็นเงินส่วนตัวของผม เพราะฉะนั้นเงินก้อนนี้ไม่ได้นับว่าอยู่ในเงินลงทุนของผมเลย หลังจากนั้นก็ตามดูหุ้นพวกนั้นว่ามันเป็นไงต่อไป ปรากฏว่าหลายๆตัวก็ตกไปเยอะเลยครับ บางตัว ตอนนี้ก็ออกจากตลาดไปแล้ว แต่ก็มีตัวที่ขึ้นไปเป็น 100-200% ทำให้เกิดความสงสัยว่าทำไม หุ้นแต่ละตัวมีความแตกต่างกันขนาดนี้ ต่อมาถ้าจำไม่ผิดช่วงปี 2009-2010 น้องสาวก็มาบอกว่าเค้าได้ข่าววงในจากกลุ่มเพื่อนเค้าว่า หุ้น CPF จะขึ้นเยอะ ผมก็ลองซื้อดูสักหน่อย จำได้ว่า ราคา CPF ประมาณ 9-10 บาท ตอนนั้นซื้อไม่เยอะครับ แค่อยากลองปรากฏว่า CPF ขึ้นไปหลาย % จริงๆ ครับ ขึ้นมาถึง 22 บาทภายในเวลา 1 ปี ผมก็ถือมาแบบลุ่มๆดอนๆไม่ได้อะไรนะคือ เพราะไม่มีความรู้ และ ไม่มีคนบอกด้วยว่าเป้าเท่าไร ถือแบบ งงๆ จนมาถึงวันที่ ญี่ปุ่นโดนซึนามิ นั้นแหละครับท่านผู้ชม โบรกเกอร์นี้โทรมาทันทีบอกว่า อันตรายมากให้รีบขาย จะเหลือเหรอครับ ขายขาดทุนกำไรไปหลายบาทเลย หลังจากนั้นก็เลยบอกกับตัวเองว่าจะไม่เชื่อโบรกอีกต่อไปและจะต้องเข้าใจเรื่องหุ้นด้วยตัวเองให้ได้
บทที่ 2 หุ้นเปลี่ยนชีวิต ตัวแรก
หลังจากเหตุการ์ณขายหมู ก็เลยตัดสินใจ หาซื้อหนังสือมาอ่านครับ เปิดเข้ามาในห้องนี้แหละ ก็มีคนแนะนำ หนังสือ "ตีแตก" ของ ดร นิเวศน์ อ่านไปก็เห็นชอบแนวการลงทุน แบบ VI ทำให้เข้าใจว่า จริงๆแล้ว ราคาหุ้นจะขึ้นจะลง มันต้องขึ้นอยู่กับกำไรและผลประกอบการของบริษัท แต่ขอสารภาพตรงๆว่าอ่านงบการเงินไม่เป็นเลยครับช่วงแรก เลยใช้วิธี ลอกหุ้นตามเซียน ลอกตาม ดร นิเวศน์ เลยครับแรกๆ ช่วงนั้นเรียนจบมาสักพักทำงานแล้วก็เอาเงินเก็บนั้นแหละ ซื้อหุ้น jmart แถวๆเกือบ 3 บาท ทีนี้พอซื้อแล้วก็เหมือนมือใหม่ทั่วไปครับ เปิดดูทุกวัน วันไหนหุ้นตกหนักๆ ก็พยายามอ่านหนังสือ ทำความเข้าใจ พอปรับ mindset ตัวเองได้ความกังวลก็น้อยลง ถึงขนาดที่ทำตาม ดร นิเวศน์ บอกเลย บางครั้งก็เดินไปดูกิจการว่ายังขายดีอยู่ไหม ปรากฏว่า ช่วงปีนั้น jmart ทำกำไรและเติบโตได้ดีมาก หุ้นขึ้นไปจากวันที่ผมซื้อถึง 700-800% บอกตามตรงว่าในใจอยากจะขายตั้งแต่กำไร 100% ละ โชคดีที่อ่านหนังสือมา คือ ตราบเท่าที่กำไรมันยังโตดีอยู่ผมบอกกับตัวเองให้ถือทนรวยต่อไป
ขออนุญาติ ลงรูปประกอบนะครับ นี้คือพอร์ตเมื่อช่วงนั้น ส่วนหุ้นตัวอื่นในพอร์ตจะทยอยเล่าให้ฟังในบทต่อๆไปครับ
สุดท้าย ก็มาถึงจุดที่ต้องแยกทางกันเพราะ กำไรของ jmart เริ่มลดลง ผมพยายาม หาข้อมูล เพราะ operator 3 รายใหญ่นำมือถือมาขายราคาพ่วงกับโปรโมชั่น หลายรุ่นโดยเฉพาะ iphone และ sumsung ทำให้ยอดการขายตก ผมยอมรับครับว่า ขายไม่ได้แพงที่สุดและเป็นคนที่ขายหุ้นช้ามาก ค่อยๆทยอยขาย มัวแต่รักหุ้นอยู่ครับ เพราะฉะนั้นหลังมานี้จึงเลือกหุ้นแบบคัดแล้วคัดอีกเพื่อจะได้ไม่ต้องมานั้งขายบ่อยๆ
ยังไม่จบ เดียวมาต่อครับ