A Monster Call จะเรียกว่าหนังมันลึกซึ้งมากๆ เกินกว่าจะรับชมได้ง่ายๆ โชคดีที่ดูหนังของจิบลิมาเยอะพอสมควร ทำให้การตีความตัวแทน อุปมาอุปมัยในหนังค่อยข้างไม่ยากลำบากมากนัก แม้หนังจะชวนง่วงบ้างๆ แต่ตอนจบของหนังถือได้เลยว่า โคตรทรงพลัง
Conor เด็กชายอายุ 12 ที่ในหนังถูกเรียกว่า 'โตกว่าจะเป็นเด็ก อ่อนเกินจะเป็นผู้ใหญ่' ในชีวิตต้องเผชิญกับ พ่อมีเมียใหม่ แม่ป่วยระยะสุดท้าย คุณยายเจ้าระเบียบ ยังไม่รวมถูกแกล้งที่โรงเรียน เมื่อความเครียดถาโถมเข้ามา ปีศาจต้นไม้ยักษ์ได้บุกเข้ามาพร้อมนิทาน 3 เรื่องที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตไปตลอดกาล
หนังมาในแนวเรื่อยๆ ค่อนไปทางเอื่อยๆมาก แต่นั้นเป็นข้อดีของหนังที่พาให้เราได้ซึมซับถึงบรรยากาศในหนัง ทั้งความเปล่าเปลี่ยวของตัวละครหลัก และความเจ็บปวดของเด็กคนนี้ต้องพบเจอมาตลอด ซึ่งยังรวมไปถึงภาพในหนังค่อนข้างสวย และสร้างบรรยากาศได้ดีมาก
Lewis McDougall สอบผ่านและแบกหนังได้อย่างยอดเยี่ยมกับบทเด็กที่เก็บกดบรรยากาศรอบๆหนังได้อย่างมีมิติ ราวกับลูกระเบิดที่รอวันเปรี้ยงปร้างออกมาอย่างเต็มที่ ซึ่งฉากระเบิดอารมณ์ตอนท้ายทำได้ยอดเยี่ยมมากๆ ขณะที่ดาราสมทบคนอื่นๆก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีทั้ง Felicity Jones เล่นได้สมกับดาราเข้าชิงออสการ์ รวมถึง Sigourney Weaver ที่ลูกเก๋ามาเต็มมาก และ Liam Neeson ที่แม้จะมาแค่เสียง แต่ทรงพลังทุกฉากจริงๆ
หากใครเคยมีความเจ็บปวดในชีวิต หรือมีความกดดัน ความรู้สึกที่เก็บไว้ข้างใน การได้ดูหนังเรื่องนี้จนจบ จะต้องอยากปลดปล่อย อยากระบายสิ่งที่ติดค้างในใจออกมา บางครั้งสิ่งร้ายๆก็ถาโถมเข้ามาหาเราอย่างไม่หยุด จนบางครั้งเราไม่อาจรับได้ การมาของ 'มอนสเตอร์' อาจตีความได้ถึงการมาของผู้ปลดปล่อย ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายจะหายไป แต่เป็นการยอมรับ และปล่อยวางสิ่งต่างๆได้อย่างไม่เสียใจ (ต้องชมการตีความหมายในหนังที่ลึกซึ้งเอามากๆ)
สรุปโดยรวมแล้ว เราอาจไม่ได้เห็นมอนสเตอร์พาทัวร์โลกอัศจรรย์แนวแฟนตาซี แต่จะพาเราสำรวจในจิตใจตัวละครอย่างลึกซึ้ง และรอวันปลดปล่อยออกมาอย่างถูกจังหวะ และเป็นหนังที่ดูแล้วทรมานและสงสารแทนตัวละครจริงๆ
(ถ้าเข้าใจหนัง จะปล่อยโฮกับตอนจบได้อย่างไม่อายใคร)
Monster Call หนังที่ควรค่าแก่การ let it go ทางด้านอารมณ์สุดๆ
A Monster Call จะเรียกว่าหนังมันลึกซึ้งมากๆ เกินกว่าจะรับชมได้ง่ายๆ โชคดีที่ดูหนังของจิบลิมาเยอะพอสมควร ทำให้การตีความตัวแทน อุปมาอุปมัยในหนังค่อยข้างไม่ยากลำบากมากนัก แม้หนังจะชวนง่วงบ้างๆ แต่ตอนจบของหนังถือได้เลยว่า โคตรทรงพลัง
Conor เด็กชายอายุ 12 ที่ในหนังถูกเรียกว่า 'โตกว่าจะเป็นเด็ก อ่อนเกินจะเป็นผู้ใหญ่' ในชีวิตต้องเผชิญกับ พ่อมีเมียใหม่ แม่ป่วยระยะสุดท้าย คุณยายเจ้าระเบียบ ยังไม่รวมถูกแกล้งที่โรงเรียน เมื่อความเครียดถาโถมเข้ามา ปีศาจต้นไม้ยักษ์ได้บุกเข้ามาพร้อมนิทาน 3 เรื่องที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตไปตลอดกาล
หนังมาในแนวเรื่อยๆ ค่อนไปทางเอื่อยๆมาก แต่นั้นเป็นข้อดีของหนังที่พาให้เราได้ซึมซับถึงบรรยากาศในหนัง ทั้งความเปล่าเปลี่ยวของตัวละครหลัก และความเจ็บปวดของเด็กคนนี้ต้องพบเจอมาตลอด ซึ่งยังรวมไปถึงภาพในหนังค่อนข้างสวย และสร้างบรรยากาศได้ดีมาก
Lewis McDougall สอบผ่านและแบกหนังได้อย่างยอดเยี่ยมกับบทเด็กที่เก็บกดบรรยากาศรอบๆหนังได้อย่างมีมิติ ราวกับลูกระเบิดที่รอวันเปรี้ยงปร้างออกมาอย่างเต็มที่ ซึ่งฉากระเบิดอารมณ์ตอนท้ายทำได้ยอดเยี่ยมมากๆ ขณะที่ดาราสมทบคนอื่นๆก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีทั้ง Felicity Jones เล่นได้สมกับดาราเข้าชิงออสการ์ รวมถึง Sigourney Weaver ที่ลูกเก๋ามาเต็มมาก และ Liam Neeson ที่แม้จะมาแค่เสียง แต่ทรงพลังทุกฉากจริงๆ
หากใครเคยมีความเจ็บปวดในชีวิต หรือมีความกดดัน ความรู้สึกที่เก็บไว้ข้างใน การได้ดูหนังเรื่องนี้จนจบ จะต้องอยากปลดปล่อย อยากระบายสิ่งที่ติดค้างในใจออกมา บางครั้งสิ่งร้ายๆก็ถาโถมเข้ามาหาเราอย่างไม่หยุด จนบางครั้งเราไม่อาจรับได้ การมาของ 'มอนสเตอร์' อาจตีความได้ถึงการมาของผู้ปลดปล่อย ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายจะหายไป แต่เป็นการยอมรับ และปล่อยวางสิ่งต่างๆได้อย่างไม่เสียใจ (ต้องชมการตีความหมายในหนังที่ลึกซึ้งเอามากๆ)
สรุปโดยรวมแล้ว เราอาจไม่ได้เห็นมอนสเตอร์พาทัวร์โลกอัศจรรย์แนวแฟนตาซี แต่จะพาเราสำรวจในจิตใจตัวละครอย่างลึกซึ้ง และรอวันปลดปล่อยออกมาอย่างถูกจังหวะ และเป็นหนังที่ดูแล้วทรมานและสงสารแทนตัวละครจริงๆ
(ถ้าเข้าใจหนัง จะปล่อยโฮกับตอนจบได้อย่างไม่อายใคร)