รีวิว A Monster Calls : มหัศจรรย์เรียกอสูร [by ที่นั่งธรรมดา]

A Monster Calls : มหัศจรรย์เรียกอสูร (2016)
กำกับโดย : Juan Antonio Bayona

     หายไปนานเลยครับ ด้วยความยุ่งวุ่นวายในชีวิต ตอนนี้จะกลับมาเขียนให้บ่อยขึ้นนะครับ สำหรับเรื่องนี้ก็ไปดูมาได้ซักพักแล้วแต่เพิ่งจะว่างมาเขียนนี่เอง และก็ได้มีโอกาสซื้อนิยายมาก่อนแล้วที่จะไปดูหนัง (แต่คิดไว้ว่าจะไม่อ่านจนกว่าจะได้ดูหนัง) เพราะฉะนั้นจะไม่ได้เขียนรีวิวจากความเห็นของผู้อ่านนิยายนะครับ

Review (อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วน)
    


     ตั้งตารอเรื่องนี้มานานมากแล้วครับ รู้สึกถูกใจหนังตั้งแต่ที่ได้ดู trailer ครั้งแรกเลยครับ แล้วเพิ่งจะมารู้ทีหลังว่าเคยเป็นนิยายมาก่อนในชื่อเดียวกัน โดยแนวคิดเริ่มต้นเป็นของ Siobhan Dowd ที่เสียชีวิตไปแล้วด้วยโรงมะเร็ง นิยายจึงถูกสานต่อโดย Patrick Ness เกิดเป็นนิยาย A Monster Calls ขึ้นมา และถูกนำมาทำเป็นหนังภายใต้การกำกับของ J.A. Bayona  
     


     เป็นเรื่องราวของเด็กชายที่ชื่อ คอเนอร์ โอมัลเลย์ เด็กผู้ชายที่ต้องทำทุกอย่างเกินกว่าวัยของตัวเองเพราะต้องคอยดูแลแม่ที่ป่วยเป็นมะเร็ง ต้องต่อสู้กับความกดดันในใจของตัวเอง อีกทั้งยังต่อสู้กับคนรอบตัวทั้งในครอบครัวและที่โรงเรียน และในเวลาเที่ยงคืนเจ็ดนาที คอเนอร์จะได้พบเจอกับต้นยิวเก่าแก่ที่กลายร่างเป็นปิศาจยักษ์มาปรากฏตัวขึ้นเพื่อเล่านิทานให้เขาฟัง
     
     หนังเล่าเรื่องการข้ามผ่านอะไรหลายๆอย่างในช่วงวัยของคอเนอร์ ซึ่งบางครั้งมันดูเหมือนจะหนักหนาเกินไปสำหรับเด็กอายุเท่านี้ เขาต้องก้าวผ่านความทุกข์ทางกายและจิตใจ พร้อมกับการก้าวผ่านวัยเด็กเพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่เมื่อทุกอย่างมันยากเกินไปสำหรับเขาตัวคนเดียว สิ่งที่ช่วยเยียวยาจิตใจกลับกลายเป็นปิศาจต้นไม้ในจินตนาการ


    
     โดยปิศาจปรากฏตัวขึ้นเพื่อที่จะเล่านิทานให้คอเนอร์ฟัง 3 เรื่อง และสำหรับเรื่องที่ 4 คอเนอร์จะต้องเป็นคนเล่าและจะต้องเป็นการเล่า “ความจริง” ที่อยู่ในใจของเขาเอง ซึ่ง “นิทาน” ในแต่ละเรื่องถูกเล่าตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตจริงของคอเนอร์ ในพาร์ทการเล่านิทานตัวหนังได้นำเสนอการเล่านิทานผ่านลายเส้นสีน้ำได้งดงามซึ่งผมคิดว่ามันช่วยให้ยังคงซึ่งความเป็นนิทานเอาไว้ได้ดีมาก นิทานที่ปิศาจได้เล่าทั้ง 3 เรื่อง พอเล่าไปเรื่องราวมันก็ยิ่งสะท้อนสภาพจิตใจของคอเนอร์ออกมา จากเรื่องแรกเจ้าชายกับแม่มด, บาทหลวงกับคนบดยา, มนุษย์ล่องหน ทุกเรื่องจะค่อยๆเริ่มแสดงสิ่งที่อยู่ภายใต้จิตสำนึกของเขาออกมาเป็นนิทาน จนมาพังทลายลงในเรื่องที่ 4

     สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้หนังมันมีพลัง และทำให้เราอินมากคือการแสดงของนักแสดงในเรื่อง คอเนอร์ (Lewis McDougall) ที่แสดงได้ดีเกินอายุมาก แสดงเป็นเด็กมีปัญหา(ทางจิต)ได้เหมือนดีจริงๆ ส่วน Felicity Jones แม่ผู้ป่วยเป็นมะเร็งของคอเนอร์ เราชอบ Felicity เป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว แต่ก็จะไม่มีการอวยเป็นอย่างใด สำหรับในเรื่องนี้เธอโชว์การแสดงที่สมกับที่เคยเข้าชิงออสการ์ ด้วยสีหน้า แววตาของคนป่วย,คนเป็นแม่และลูก ต้องมีหลายสถานะในเวลาเดียวกัน อีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ Sigourney Weaver คุณยายผู้เข้มงวดที่ไม่ลงรอยกับคอเนอร์ การแสดงของป้าแกมันเรียบง่าย แต่ดูมีอะไรมาก ฉากที่ชอบมากอีกฉากคือตอนที่คอเนอร์ทำลายข้าวของแล้วยายกลับมาเห็น มันถ่ายทอดความสัมพันธ์ของทั้งสองคนได้ดีมากๆ (สำหรับเราแล้ว Sigourney คือแม่มดในนิทาน)



     สำหรับหนังเรื่องนี้ประเด็นที่หนังต้องการจะบอกคือความจริงในโลกใบนี้มันไม่ได้มีแค่สีดำหรือขาว คนดีอาจะมีบางมุมที่เลวและคนเลวก็มีความดีอยู่ในตัว ทุกอย่างมันเป็นสีเทาๆ และไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ ดั่งเช่นเรื่องนี้ตอนจบมันอาจจะไม่ได้สวยงามไปซะทีเดียว เหมือนชีวิตจริงของคนเราที่มันไม่มีตอนจบหรอก ต้องก้าวข้ามผ่านความเสียใจและเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ

     ส่วนตัวผมหนังเรื่องนี้มันเป็นหนังที่ดีสมกับที่รอคอยมากๆ เป็นหนังที่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดและสอนอะไรเราหลายอย่างมากๆ มี conflict หลายๆอย่างให้คิดตอนในระหว่างดำเนินเรื่อง เป็นหนังอีกเรื่องในปีนี้เลยที่รู้สึกถ้าไม่ได้ดูคงจะเสียดายมากๆ สำหรับคนที่ไม่ชอบแนวดราม่าอาจจะไม่ค่อยถูกใจนัก (ลุงกับป้าข้างๆถึงกับหาวเลยทีเดียว) แต่สำหรับคนชอบหนังดราม่าแฝงข้อคิดแล้วล่ะก็ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ  

"วิธีการเผชิญกับความทุกข์ที่ดีที่สุดคือการยอมรับมัน"



หากใครที่ชอบสามารถไปติดตามเราได้ที่เพจนะครับ ยิ้ม
https://www.facebook.com/ordinaryseats/?fref=ts
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่