อ้างอิง
http://www.naewna.com/local/247083
----
30 พ.ย.59 ผู้สื่อข่าวรายงาจากศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษกว่า ศาลนัดฟังคำสั่ง คดีหมายเลขดำ อ.1160/2559 ที่ คดี พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม หรือ พระพุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย อ.สามพราน จ.นครปฐม เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พระเมธีธรรมาจารย์ หรือ เจ้าคุณประสาร จันทสาโร เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย, นายเมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์ เลขาธิการสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา (สนพ.),พระอธิการฉัตรชัย อธิจิตโต ประธานองค์กรพิทักษ์พระพุทธศาสนากลุ่มพระสงฆ์ภาคใต้ และพระปลัดนรุตม์ชัย อภินันโท เลขาธิการองค์กรพิทักษ์พระพุทธศาสนากลุ่มพระสงฆ์ภาคใต้ เป็นจำเลยที่1-4 ในความผิดฐานข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดฯ โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายฯ,หมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา309และ328,ความผิดตาม พ.ร.บ.ปกครองสงฆ์ พ.ศ.2505 (แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2535) มาตรา 25และกฎมหาเถรสมาคม โดยทั้งโจทก์และจำเลยทั้ง 4 มิได้มาศาลด้วยตนเอง แต่มีทนายโจทก์ และทนายจำเลยมาศาลแทน
คดีนี้ทั้งนี้สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่24มี.ค.-5เม.ย.59 จำเลยได้ใช้คำพูดกล่าวประกาศจะขับไล่โจทก์ให้ออกจากหมู่สงฆ์ด้วยการประกาศอุกเขปนียกรรม ซึ่งอุกเขปนียกรรม เป็นวิธีการลงโทษกับสงฆ์ผู้ต้องอาบัติที่ไม่ยอมรับอาบัติด้วยการวางเฉย ไม่ร่วมสังฆกรรมด้วย โดยจำเลยทั้ง4 ยังชักชวนสั่งการให้ภิกษุที่เป็นเจ้าคณะปกครอง กระทำกรรมที่ละเมิดหลักธรรมวินัย ด้วยการประกาศอุกเขปนียกรรมอันมิชอบต่อโจทก์ ซึ่งละเมิด พ.ร.บ.ปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11พ.ศ.2521 ว่าด้วยการลงนิคหกรรม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า โจทก์ เบิกความแสดงหลักฐานภาพข่าวที่มีการแนะนำให้คณะสงฆ์ทั่วประเทศทำอุกเขปนียกรรมโจทก์ ซึ่งตามพระวินัย อุกเขปนียกรรม คือ การลงโทษพระภิกษุผู้ต้องหาอาบัติแล้วไม่ยอมรับอาบัติ ทำให้บุคคลทั่วไปที่อ่านข้อความเข้าใจว่าโจทก์เป็นพระประพฤติไม่ชอบ ต้องอาบัติแล้วไม่ยอมรับอาบัติ อันเป็นการกระทบต่อชื่อเสียงและเกียติคุณของโจทก์ จึงมีมูลพอที่จะประทับฟ้องไว้พิจารณาในฐานความผิดหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาโดยนัดสอบคำให้การและตรวจหลักฐานในวันที่ 27 มี.ค.2560 เวลา 09.00 น.
ส่วนที่โจทก์ฟ้องในความผิดฐานข่มขืนใจให้จำยอมต่อสิ่งใด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 นั้น ไม่ปรากฏจากทางไต่สวนของโจทก์ว่ากระทำตามฟ้องจำเลยทั้งสี่ที่แนะนำให้คณะสงฆ์ทั่วประเทศรวมถึงพุทธศาสนิกชนแจ้งความร้องทุกข์เป็นการข่มขืนใจให้โจทก์ต้องจำยอมต่อสิ่งใดอย่างไร ทั้งการแจ้งความร้องทุกข์เป็นสิทธิของบุคคลที่กระทำได้ หากบุคคลใดเห็นว่ามีการกระทำผิดอาญาเกิดขึ้น จึงยกฟ้องจำเลยทั้งสี่ฐานร่วมกันข่มขืนใจให้จำยอมต่อสิ่งใด
ด้าน พระเมธีธรรมาจารย์ หรือ เจ้าคุณประสาร จันทสาโร ได้โพสต์เพจเฟซบุ๊ก "พระเมธีธรรมาจารย์ - เจ้าคุณประสาร" ถึงกรณีดังกล่าว ระบุว่า "คดีที่พระสุวิทย์ (พุทธะอิสระ) ฟ้องในชั้นศาล คดีที่พระพุทธะอิสระยื่นฟ้องอาตมากับคณะรวมสี่คนนั้น ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่าศาลจะรับฟ้องไว้หรือไม่ปรากฏว่าศาลได้สั่งให้คดีมีมูลเฉพาะข้อกล่าวหาหมิ่นประมาท ส่วนข้อกล่าวหาว่ากระทำผิดต่อเสรีภาพนั้นศาลสั่งไม่มีมูลคือยกฟ้อง
...จากนี้ไปอาตมากับคณะ ก็จะได้ต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ต่อไป ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะได้รับความเป็นธรรมจากศาลในที่สุด
อนึ่งส่วนข้อกล่าวหาที่ศาลยกฟ้องนั้นในชั้นนี้ยังไม่ได้คิดที่จะฟ้องกลับพระพุทธะอิสระเพราะยังเร็วเกินไป ขอปรึกษาฝ่ายกฎหมายก่อน
###รับฟ้องเจ้าคุณประสารหมิ่นพุทธะอิสระ ชวนคณะสงฆ์ทำ "อุกเขปนียกรรม"###
http://www.naewna.com/local/247083
----
30 พ.ย.59 ผู้สื่อข่าวรายงาจากศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษกว่า ศาลนัดฟังคำสั่ง คดีหมายเลขดำ อ.1160/2559 ที่ คดี พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม หรือ พระพุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย อ.สามพราน จ.นครปฐม เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พระเมธีธรรมาจารย์ หรือ เจ้าคุณประสาร จันทสาโร เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย, นายเมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์ เลขาธิการสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา (สนพ.),พระอธิการฉัตรชัย อธิจิตโต ประธานองค์กรพิทักษ์พระพุทธศาสนากลุ่มพระสงฆ์ภาคใต้ และพระปลัดนรุตม์ชัย อภินันโท เลขาธิการองค์กรพิทักษ์พระพุทธศาสนากลุ่มพระสงฆ์ภาคใต้ เป็นจำเลยที่1-4 ในความผิดฐานข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดฯ โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายฯ,หมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา309และ328,ความผิดตาม พ.ร.บ.ปกครองสงฆ์ พ.ศ.2505 (แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2535) มาตรา 25และกฎมหาเถรสมาคม โดยทั้งโจทก์และจำเลยทั้ง 4 มิได้มาศาลด้วยตนเอง แต่มีทนายโจทก์ และทนายจำเลยมาศาลแทน
คดีนี้ทั้งนี้สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่24มี.ค.-5เม.ย.59 จำเลยได้ใช้คำพูดกล่าวประกาศจะขับไล่โจทก์ให้ออกจากหมู่สงฆ์ด้วยการประกาศอุกเขปนียกรรม ซึ่งอุกเขปนียกรรม เป็นวิธีการลงโทษกับสงฆ์ผู้ต้องอาบัติที่ไม่ยอมรับอาบัติด้วยการวางเฉย ไม่ร่วมสังฆกรรมด้วย โดยจำเลยทั้ง4 ยังชักชวนสั่งการให้ภิกษุที่เป็นเจ้าคณะปกครอง กระทำกรรมที่ละเมิดหลักธรรมวินัย ด้วยการประกาศอุกเขปนียกรรมอันมิชอบต่อโจทก์ ซึ่งละเมิด พ.ร.บ.ปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11พ.ศ.2521 ว่าด้วยการลงนิคหกรรม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า โจทก์ เบิกความแสดงหลักฐานภาพข่าวที่มีการแนะนำให้คณะสงฆ์ทั่วประเทศทำอุกเขปนียกรรมโจทก์ ซึ่งตามพระวินัย อุกเขปนียกรรม คือ การลงโทษพระภิกษุผู้ต้องหาอาบัติแล้วไม่ยอมรับอาบัติ ทำให้บุคคลทั่วไปที่อ่านข้อความเข้าใจว่าโจทก์เป็นพระประพฤติไม่ชอบ ต้องอาบัติแล้วไม่ยอมรับอาบัติ อันเป็นการกระทบต่อชื่อเสียงและเกียติคุณของโจทก์ จึงมีมูลพอที่จะประทับฟ้องไว้พิจารณาในฐานความผิดหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาโดยนัดสอบคำให้การและตรวจหลักฐานในวันที่ 27 มี.ค.2560 เวลา 09.00 น.
ส่วนที่โจทก์ฟ้องในความผิดฐานข่มขืนใจให้จำยอมต่อสิ่งใด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 นั้น ไม่ปรากฏจากทางไต่สวนของโจทก์ว่ากระทำตามฟ้องจำเลยทั้งสี่ที่แนะนำให้คณะสงฆ์ทั่วประเทศรวมถึงพุทธศาสนิกชนแจ้งความร้องทุกข์เป็นการข่มขืนใจให้โจทก์ต้องจำยอมต่อสิ่งใดอย่างไร ทั้งการแจ้งความร้องทุกข์เป็นสิทธิของบุคคลที่กระทำได้ หากบุคคลใดเห็นว่ามีการกระทำผิดอาญาเกิดขึ้น จึงยกฟ้องจำเลยทั้งสี่ฐานร่วมกันข่มขืนใจให้จำยอมต่อสิ่งใด
ด้าน พระเมธีธรรมาจารย์ หรือ เจ้าคุณประสาร จันทสาโร ได้โพสต์เพจเฟซบุ๊ก "พระเมธีธรรมาจารย์ - เจ้าคุณประสาร" ถึงกรณีดังกล่าว ระบุว่า "คดีที่พระสุวิทย์ (พุทธะอิสระ) ฟ้องในชั้นศาล คดีที่พระพุทธะอิสระยื่นฟ้องอาตมากับคณะรวมสี่คนนั้น ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่าศาลจะรับฟ้องไว้หรือไม่ปรากฏว่าศาลได้สั่งให้คดีมีมูลเฉพาะข้อกล่าวหาหมิ่นประมาท ส่วนข้อกล่าวหาว่ากระทำผิดต่อเสรีภาพนั้นศาลสั่งไม่มีมูลคือยกฟ้อง
...จากนี้ไปอาตมากับคณะ ก็จะได้ต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ต่อไป ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะได้รับความเป็นธรรมจากศาลในที่สุด
อนึ่งส่วนข้อกล่าวหาที่ศาลยกฟ้องนั้นในชั้นนี้ยังไม่ได้คิดที่จะฟ้องกลับพระพุทธะอิสระเพราะยังเร็วเกินไป ขอปรึกษาฝ่ายกฎหมายก่อน