“หลวงปู่พุทธอิสระ” ยื่นฟ้อง “หลวงปู่เณรคำ”
ดร.สนอง วรอุไร เป็นจำเลยด้วย
สุขุมและเสี่ยก้าวหน้า ติดโผจำเลยด้วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้“หลวงปู่พุทธะอิสระ” พร้อมลูกศิษย์กว่า 100 คนและทนายความยื่นฟ้องศาลอาญา เอาผิด “เณรคำ” แต่งกายเลียนแบบสงฆ์และฉ้อโกงประชาชน ลั่นหวังเจ้าคณะปกครองสงฆ์ฟันเอาผิด “เณรคำ” ยากเพราะถูกครอบไว้หมดด้วยลาภสักการะที่ดูแลกันมานานนับสิบปี!
เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ (5 ก.ค.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก พระสุวิทย์ ธีรธัมโม หรือหลวงปู่พุทธะอิสระ แห่งวัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) ต.ห้วยขวาง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม พร้อมด้วยนายพายัพ เฮ้าประมงค์ ทนายความ ได้เดินทางมายื่นฟ้องพระวิระพล ฉัตติโก หรือหลวงปู่เณรคำ หรือนายวิระพล สุขผล อายุ 34 ปี ประธานสำนักสงฆ์วัดป่าขันติธรรม ต.บ้านยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ พระภูมินทร์ ภูริปัญโญ พระเลขานุการของหลวงปู่เณรคำ นายสนอง วรอุไร กับพวกที่เป็นลูกศิษย์รวม 9 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายแสดงว่าเป็นพระภิกษุสงฆ์ และร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 86, 90-91, 208 และ 343
โจทก์ฟ้องระบุว่า เมื่อประมาณปี 2551-2556 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้ง 9 ร่วมกันหลอกลวงประชาชนจนเป็นเหตุให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากประชาชนจำนวนมาก โดยจำเลยที่ 1 หลอกลวงให้ประชาชนเข้าใจว่าเป็นผู้วิเศษมีญาณชั้นสูงสุดหยั่งรู้อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งจำเลยออกไปแสดงธรรมตามสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ปฏิบัติตามหลักของพระพุทธศาสนาถึงขั้นนิพพาน และอ้างว่าตนเองได้บรรลุธรรมมาตั้งแต่เป็นสามเณรแล้ว ซึ่งได้มีการเผยแพร่ออกสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ มาตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบัน จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 อาบัติปาราชิก ขาดจากการเป็นพระสงฆ์ตามหลักพระธรรมวินัยตั้งแต่เวลาดังกล่าวแล้ว ซึ่งจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิ์แต่งกายหรือเครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นพระภิกษุสงฆ์ ส่วนจำเลยที่ 2-9 ได้กระทำผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้จำเลยที่ 1 กระทำผิดดังกล่าว นอกจากนี้ จำเลยที่ 1 ยังได้หลอกลวงประชาชนว่าได้รับอนุญาตให้สร้างวัดชื่อ วัดป่าขันติธรรม ต.บ้านยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ และที่เป็นสาขาอีกหลายแห่งทั่วประเทศ ทั้งที่จำเลยยังไม่ได้รับอนุญาตให้ก่อตั้งวัดตามกฎหมาย และจำเลยที่ 1 ยังได้ใช้ภาพของพระสงฆ์และวัดเป็นเครื่องมือในการอ้างก่อสร้างพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งยังไม่ได้ขออนุญาตเช่นเดียวกัน โดยหลอกลวงจนประชาชนหลงเชื่อและนำเงินทองทรัพย์สินมาบริจาคให้กับจำเลยที่ 1 ขณะที่จำเลยที่ 1 นำทรัพย์สินไปแสวงหาความสุขทางโลกและใช้เพื่อการส่วนตัว และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพระเลขานุการคอยช่วยเหลือในการรับทรัพย์สิน จัดคนเข้าพบจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้พำนักอยู่กับจำเลยที่ 1 มาตั้งแต่ปี 2551 ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นผู้เคยศึกษาและบวชมาก่อน และเป็นผู้บรรยายธรรมตามสถานที่ต่างๆ ตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบัน ได้ช่วยสนับสนุนจำเลยที่ 1 ด้วยการบอกกล่าวให้ประชาชนมาบริจาคเงิน สำหรับจำเลยที่ 4 ที่เป็นประธานเครือข่ายบ้านวิมุติธรรมได้ทำหน้าที่จัดหาคนมาฟังการหลอกลวงของจำเลยที่ 1 ขณะที่จำเลยที่ 5 เป็นผู้พิมพ์หนังสือที่มีข้อความอวดอุตริมนุสธรรมของจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 6-9 ได้จัดตั้งบริษัทขันติธรรมก้าวหน้า จำกัด เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 2555 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นการตั้งบริษัทโดยใช้ชื่อเดียวกับวัดของจำเลยที่ 1 แต่ไม่ปรากฏว่าประกอบธุรกิจอื่นใดนอกจากเป็นผู้ให้การจัดกิจกรรมต่างๆ ของวัดจำเลยที่ 1
แม้โจทก์จะไม่ได้หลงเชื่อและโอนเงินให้กับจำเลยที่ 1 แต่โจทก์ถือเป็นผู้เสียหาย เพราะความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนนั้นประชาชนทุกคนย่อมเป็นผู้เสียหาย อีกทั้งการกระทำของจำเลยที่ 1 กับพวกกระทบต่อประชาชนและสังคมไทย องค์กรสงฆ์ที่เป็นองค์กรหลักของชาติ โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายในฐานะพระสงฆ์และในฐานะประชาชนคนหนึ่ง จึงขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาลงโทษพวกจำเลยตามกฎหมาย
โดยศาลรับคำฟ้องไว้ในสารบบหมายเลขดำ อ.2448/2556 เพื่อพิจารณาและมีคำสั่งต่อไปว่าจะไต่สวนและรับฟ้องหรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับจำเลยประกอบด้วยพระวิระพล หรือหลวงปู่เณรคำ จำเลยที่ 1 , พระภูมินทร์ จำเลยที่ 2 , นายสนอง จำเลยที่ 3 , นายสุขุม วงประสิทธิ์ จำเลยที่ 4 , นายภันธกานต์ กิ้มทอง จำเลยที่ 5 , นายภัทรเดช โสพรรณพานิชกุล จำเลยที่ 6 , นายวิชัย สุขอำภา จำเลยที่ 7 , นายพลวรรฒน์ สถิตเพียรศิริ จำเลยที่ 8 และนายวิธิเนศวร์ พงศ์เผ่าพูล จำเลยที่ 9
โดยในวันนี้มีศิษยานุศิษย์ของหลวงปู่พุทธอิสระประมาณ 100 คน ร่วมเดินทางมาให้กำลังใจ โดยก่อนยื่นฟ้องต่อศาล หลวงปู่พุทธะอิสระได้อ่านแถลงการณ์มูลเหตุที่ต้องฟ้องศาลอาญาว่า “สาเหตุที่ต้องนำเรื่องฉาวของผู้ที่มาอาศัยพระพุทธธรรมมากล่าวโทษร้องทุกข์แก่ศาลอาญากลาง เพราะเราสิ้นหวังกับขบวนการตุลาการที่เป็นเจ้าคณะปกครองของนายคำ หรือ อดีตภิกษุวีระพล ฉัตติโก ซึ่งท่านเหล่านั้นมีพฤติกรรมชื่นชอบลาภสักการะที่อดีตภิกษุ วีระพล ฉัตติโก มอบประเคนให้จนเห็นพระธรรมวินัยเป็นเรื่องรอง ดังคำให้สัมภาษณ์ของงเจ้าคณะปกครองบางรูป ว่าพระเลวๆ หากมีคนนับถือมากก็ยังดีกว่าพระดีๆ ที่ไม่มีคนเคารพเลย และเจ้าคณะปกครองแต่ละรูป ต่างล้วนเคยได้รับลาภสักการะจากอดีตภิกษุ วีระพล ฉัตติโก หรือนายคำมานานนับสิบปี เช่นนี้แล้วเราจะหวังความสุจริตยุติธรรมจากตุลาการพวกนี้ได้อย่างไร จึงเป็นที่มาของการต้องมาขอพึ่งความสุจริตยุติธรรมจากศาลอาญากลาง ก็สุดศาลท่านจะเมตตาอนุเคราะห์ต่ออธิกรณ์ของพระพุทธศาสนาอย่างไร อีกทั้งการฟ้องร้องกล่าวโทษครั้งนี้ก็จะได้เป็นบรรทัดฐานของสังคมสืบไปว่าไม่ว่าผู้ใดจะบังอาจใช้นิมิตนามโอ้อวดตัวเองว่าเป็นผู้ทรงญาณ เป็นผู้หมดกิเลส เป็นผู้พ้นอาสวะ เป็นผู้หลุดพ้นจากเครื่องร้อยรัด เป็นผู้พ้นทุกข์ เป็นผู้มีชาติสุดท้าย เป็นผู้จบพรหมจรรย์ เป็นพระอริยเจ้า เป็นพระอรหันต์ เป็นผู้เข้าถึงนิพพานโดยมิได้มีจริงในตนจะต้องโดนฟ้องร้องกล่าวโทษและจะต้องรับโทษถึงที่สุด ที่พระธรรมวินัยและกฎหมายบ้านเมืองกำหนดไว้ เพราะถ้าจะอาศัยหลักธรรมวินัยลงโทษในยุคนี้ ดูจะเป็นไปได้ยากอย่างที่พวกท่านทั้งหลายทราบกันดี” (เราพร้อมที่จะรับต่อทุกสถานการณ์ที่จะตามมาโดยไม่หวาดผวาสะดุ้งกลัว เพราะเราเชื่อว่า ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม) จากหลวงปู่พุทธอิสระ วัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ 5 กรกฎาคม 2556)
หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวว่า วันนี้ได้มายื่นฟ้องนายคำ จำเลยที่ 1 ดร.สนอง จำเลยที่ 2 กับพวก ในข้อหาฉ้อโกงหลอกลวงประชนชน การฟ้องครั้งนี้เพื่อเป็นการปกป้องพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นสิ่งที่ตนรักที่สุด เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานแก่บุคคลที่ใช้ผ้าเหลืองหากิน และเป็นการเตือนสติแก่เจ้าคณะปกครองที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งถึงตอนนี้ยังไม่มีใครรับผิดชอบอะไร และโยนกันไปมา ทั้งๆที่ความผิดชัดเจน สาเหตุที่โยนกันไปมาเพราะรถคันหนึ่งกับเงินอีกหลายบาท เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษก็โยนไปให้จังหวัดอุบล เจ้าคณะจังหวัดอุบลก็ปฏิเสธความรับผิดชอบโดยอ้างว่าเจ้าตัวไม่อยู่นจึงไม่รู้ว่าจะไปพึ่งใครเลยต้องมาพึ่งศาล ส่วนข้อหาซ่องโจรขอใช้เวลารวบรวมหลักฐานรวบรวมเอกสารก่อน โดยจะฟ้องนายคำกับพวกอีกประมาณ 20 กว่าคน ที่ร่วมกันสมคบกันสร้างตัวละครอรหอยให้เกิดขึ้น
หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้จะไปยื่นฟ้องเจ้าคณะปกครองตามลำดับชั้น ตั้งแต่ระดับภาคลงไปยังตำบลต่อศาลปกครอง ฐานบกพร่องต่อหน้าที่อย่างร้ายแรงและละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติ โดยตอนนี้กำลังรวบรวมเอกสารและทรัพย์สินของเจ้าคณะปกครองแต่ละรูป ซึ่งเจ้าคณะภาคก็เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่า พระชั่วๆถ้ามีคนไหว้ ก็ยังดีกว่าพระดีๆ ถ้ายังพูดอย่างนี้ได้แสดงว่าภาคนั้นก็คงมีแต่พระชั่วๆ พระดีไม่มีเหลือแล้ว จึงต้องหาวิธีจัดการ ไม่เช่นนั้นพวกนี้ก็จะหากินกับศาสนาไม่หยุดจนศาสนาจนเหลือแต่ซากวิญญาณหายหมด ซึ่งจะดำเนินการภายในพรรษานี้
หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวอีกว่า ตามหลักฐานพระวินัยที่กำหนดชัดว่านายคำขาดจากความเป็นพระมาเป็น 10 ปี แต่เจ้าคณะปกครองไม่รับรู้ อีกทั้งยังรับยศถาบรรดาศักดิ์และลาภสักการะรถลาม้าช้างจากเขา ถ้านายคำขาดจากความเป็นพระแล้วแสดงว่าทรัพย์สินตลอด 10 ปี ก็เป็นของโจร และคนที่รับของโจรจะต้องนำไปคืนและมีความผิด จึงไม่มีเจ้าคณะปกครององค์ใดกล้าที่จะทำอะไร เพราะกลัวว่าจะผิดฐานรับของโจรไปด้วยและกลัวว่าจะถูกยึดรถหรือยึดทรัพย์ไปด้วย ส่วนหลักฐานที่ยื่นเสนอต่อศาลนั้นตอนนี้ยังบอกไม่ได้ เพราะยังไม่มั่นใจว่าศาลจะรับหรือไม่ อาจจะยังไม่เข้าข่ายกฎหมายว่าไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง แต่ก็เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากขบวนการและการกระทำของนายคำพร้อมพวก ทำให้ศาลรู้ว่าพวกตนเดือดร้อนและรู้สึกเป็นทุกข์แทนบุคคลที่ใช้ชื่อนำหน้าตัวเองว่าพุทธบริษัท และคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่าง เพราะทำให้เกิดภาพเสียหายต่อศาสนาและสังคม พร้อมทั้งขอฝากเตือนไปยังเจ้าคณะปกครองด้วย ซึ่งมีการฉลองพัดยศโดยมีการนำโคโยตี้มาเต้นในวัด เจ้าคณะควรจะตระหนักสำนึกถึงพระธรรมวินัยและประโยชน์ของพระพุทธศาสนา มากกว่ามูลค่าของทรัพย์สินที่ชาวบ้านหรือคนทำผิดยัดเยียดให้ ถ้าเป็นอย่างนี้ศาสนาเราคงไม่เหลืออะไร เพราะว่ามีเรื่องอย่างนี้ตลอด
หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้อยากจะฝากไปถึง ผบ.ตร. ขอให้ช่วยติดตามหาตำรวจยศ ร้อยตำรวจตรี ที่เป็นข่าวซึ่งเป็นตัวกลางที่หาเหยื่อกามบำเรอนายคำ เป็นผู้ประสานงานติดต่อส่งเหยื่อ หาเหยื่อ และจ่ายตังให้เหยื่อ ว่าร้อยตำรวจตรีชื่ออะไร อยู่ในสังกัดไหน ทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่แต่กลับรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด น่าจะมีโทษอะไรบ้างขอให้ช่วยสืบค้นให้หน่อย เพื่อให้เอาตำรวจไม่มีสำนึกออกมาตีแผ่ให้สังคมรับรู้ และจะต้องถูกดำเนินการคดีทั้งทางอาญาและวินัย ฐานสมรู้ร่วมคิดกับโจร ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ และปกปิดความผิดที่เกิดขึ้นก็มีส่วนร่วมเป็นซ่องโจรเหมือนกัน ซึ่งขณะนี้กำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อฟ้อง โดยจะต้องถอนยวงคนชั่วที่มาอาศัยศาสนาหากินจนร่ำรวยตามๆกัน
"ที่ออกมาปกป้องเพราะเขาใช้ชื่อนำหน้าว่าอรหัน ซึ่งเป็นสถานะสูงสุดในพุทธศาสนา แต่หากอรหันถ้ายังพกหลุยส์ วิตตอง ยังเสพกาม ยังกินเหล้า ปลูกบ้านให้เมีย ช็อปปิ้ง ซึ่งพระสายธรรมยุติจะมีทรัพย์ไม่ได้ มีรถเป็นชื่อตัวเองไม่ได้ การอวดอ้างตัวเองว่าเป็นผู้เคร่งครัดจะมีแก้วแหวนเงินทอง มีรถลาม้าช้างเป็นชื่อตัวเองไม่ได้ ชาวโลกจะมองว่าศาสนาไม่มีอะไรเหลือ การเคลื่อนไหวครั้งนี้มีความหมายที่จะปกป้องพระอรหัน ให้ดำรงไว้ซึ่งความศักดิสิทธิและเป็นที่ยอมรับของชาวโลก" หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่ลูกศิษย์หลวงปู่เณรคำกล่าวหาว่าหลวงปู่พุทธะอิสระอิจฉานั้น หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวว่า จำเป็นต้องอิจฉาคนชั่วด้วยหรอ เพราะเขาชั่วมาเป็น 10 ปีแล้ว ได้พูดมาตลอดเป็นเวลา 10 ปี เรื่องนายคำหลอกชาวบ้าน และออกมาพูดมาก่อนที่จะมีเรื่องพวกนี้อีกด้วยซ้ำ ลองไปค้นประวัติได้ว่าเทศเรื่องนายคำมานานมากแล้ว จนชาวบ้านเขาคิดว่าอิจฉาด้วยซ้ำ แต่ไม่จำเป็นต้องไปอิจฉาคนชั่ว เพระว่าหากอิจฉาควรจะอิจฉาคนที่เขาทำดี เราดีน้อยกว่าเขาและเราต้องหาวิธีทำให้ดีมากกว่าเขา นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน
เมื่อถามว่าถ้าหากศาลไม่รับฟ้องจะไปแจ้งความตำรวจหรือไม่ หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวว่า การแจ้งตำรวจเป็นวิถีของคนที่ช่วยทำกันอยู่แล้วของคนที่รักศาสนา แต่สิ่งที่ทำในวันนี้เพื่อจะชี้ให้เห็นถึงว่าไม่เพียงแค่ให้เอาคนผิดมาลงโทษ แต่ต้องการให้มีหลักประกันของพระธรรมวินัยในยี่ห้อว่าอรหันผู้หมดกิเลส ผู้สิ้นอาสวะ และพระพุทธศาสนา ต่อไปใครจะใช้สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ถ้าคิดจะหลอกลวงต้องติดคุก หรือคำพิพากษาของศาลว่าอย่างไรก็จะต้องเป็นไปอย่างนั้น เพื่อไม่ให้มีคนมาใช้ยี่ห้ออรหันมาหากิน จึงต้องพึ่งอำนาจของศาลยุติธรรม เพราะจะหวังพึ่งตุลาการฝ่ายสงฆ์คงพึ่งไม่ได้
“หลวงปู่พุทธอิสระ” ยื่นฟ้อง “หลวงปู่เณรคำ”
สุขุมและเสี่ยก้าวหน้า ติดโผจำเลยด้วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้