อ้างอิง
http://manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9580000024921
-------------
ASTVผู้จัดการ - หลวงปู่พุทธะอิสระ จัดหนัก แจ้งกองปราบดำเนินคดี “ธัมมชโย” ฐานความผิด แจ้งความเท็จ แต่งกายเลียนแบบสงฆ์ ฉ้อโกงหลอกประชาชน หลังไม่ทำตามพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราช ต้องอาบัติปาราชิก แถมพ่วง เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ และ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี และ มส.ฐานไม่ปฎิบัติหน้าที่
วันนี้ ( 2 มี.ค.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา เมื่อเวลา 13.30 น. พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม หรือหลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย ต.ห้วยขวาง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.พัฒนพงษ์ ศิริเจริญนำ พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ พระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย หรือนายไชยบูลย์ สุทธิผล ในความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานในประการที่อาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนได้รับความเสียหาย , แต่งกายเลียนแบบสงฆ์ หรือนักบวชในศาสนาโดยมิชอบ และข้อหาฉ้อโกง โดยหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความซึ่งควรแจ้ง โดยการหลอกลวงนั้นได้มาซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่ 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 , 208 และ 341 ตามลำดับ
นอกจากนี้ได้แจ้งความให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับเจ้าคณะปกครอง คือ เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ และเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี และกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ในความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานในประการที่อาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนได้รับความเสียหาย และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 และ 157 ตามลำดับ และดำเนินคดีกับมหาเถรสมาคม ฐานไม่ปฎิบัติตามอำนาจหน้าที่ซึ่งบัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มาตรา 15 (ตรี) คือไม่ปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปโดยเรียบร้อยดีงาม ไม่รักษาหลักพระธรรมวินัย
หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวต่อว่า อาตมามาแจ้งความดำเนินคดีธัมมชโย หรือนายไชยบูลย์ จากกรณีที่ธัมมชโย ต้องอาบัติปาราชิกตามพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน 2542 แต่ยังคงแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ ฉ้อโกงประชาชน หลอกเอาทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ส่วนตน โดยเจ้าคณะปกครองและกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) กลับเพิกเฉย ไม่ปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชฯ แต่ มหาเถรสมาคมกลับหลีกเลี่ยงที่จะสั่งธัมมชโย ให้สึก โดยแค่เรียกทรัพย์สินคืน แล้วอ้างว่าไม่เจตนา ต่อมาก็มีการคืนตำแหน่งการปกครองให้แก่ธัมมชโย จนต่อมาในปี 2554 ธัมมชโย ยังบังอาจขอพระราชทานสถาปนาเลื่อนสมณศักดิ์ ระดับพระราชาคณะชั้นเทพ การกระทำดังกล่าวจึงเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ละเมิดพระธรรมวินัย และบิดเบือนพระธรรมวินัย
หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวอีกว่า การที่ มหาเถรสมาคมบังอาจนำรายชื่อบุคคลที่ไม่ใช่พระ ไปเพ็จทูลต่อเบื้องสูง ถือเป็นการหมิ่นประมาทเบื้องสูงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อีกด้วย ซึ่งเป็นรายละเอียดในคดีที่จะนำเสนอ แต่มีสิ่งที่อยากวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมของมหาเถรสมาคมและเจ้าคณะปกครอง รวมทั้งวัดพระธรรมกาย ได้กระทำถูกต้องตามพระธรรมวินัยหรือไม่ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้วางหลักการไว้ ดังนี้ พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสสอนพระนางปชาบดี ความว่าผู้ปฏิบัติพระธรรมวินัยต้องเป็นไปเพื่อ 1.เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด 2.เป็นไปเพื่อความไม่ประกอบทุกข์ 3.เป็นไปเพื่อไม่สะสมพอกพูนกองกิเลส ก็ลองไปดูรักษาการสมเด็จพระสังฆราช ว่ามีรถหรูกี่คัน กรรมการ มส.มีเงินกันเท่าไหร่ กี่ร้อยล้านบาท ลองไปดูว่านั่นถูกธรรมวินัยหรือไม่
หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวต่อว่า 4.เป็นไปเพื่อความอยากน้อย การกระทำของวัดพระธรรมกายในทุกวันนี้ ไม่มีอะไรที่ถูกธรรมวินัย เลย กลับกลายเป็นตรงกันข้ามตลอดเวลา แต่ทาง มส.ก็ละเลยเพิกเฉยที่จะบังคับให้เป็นไปตามตามหลักพระธรรมวินัย 5.เป็นไปเพื่อความสันโดษ พระเจ้าที่รับจ้างธัมมชโย มาเดินธุดงค์แบบนี้มันไม่ถูกต้อง แถมยังบิดเบือน และทำลายอริยวินัย เพราะการธุดงค์ เป็นวัตรพิเศษเฉพาะของผู้ที่ต้องการบรรลุธรรม ไม่ใช่ของผู้ที่ต้องการโฆษณาตัวเองเพื่อหาลาภ 6.เป็นไปเพื่อความไม่คลุกคลีในหมู่คณะ 7.เป็นไปเพื่อความพากเพียร เพื่อความพ้นทุกข์ก็ไม่ได้ มส.ไม่เคยพากเพียรตรงนี้เลย มีแต่จะทำยังไงให้ได้ยศมากขึ้นได้ลาภเยอะขึ้น และ 8.เป็นไปเพื่อความเลี้ยงง่าย ก็เลี้ยงไม่ง่ายเลยเพราะนั่งรถหรูๆ กัน แพงกว่าชาวบ้านที่ให้ข้าวกินอีก รวมสรุปแล้วก็คือมหาเถรสมาคม และสังฆมณฑลในปัจจุบัน ไม่ได้ปฏิบัติตามหลักตัดสินพระธรรมวินัย เลย
นอกจากนี้ หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวด้วยว่า นอกจากแจ้งความดำเนินคดีกับ พระธัมมชโย เจ้าคณะปกครอง และกรรมการมหาเถรสมาคมแล้ว อาตมาได้เข้ามอบตัวกรณีคณะนิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย (มจร.) วิทยาเขตอุบลราชธานี เข้าแจ้งความว่า หลวงปู่พุทธะอิสระ กระทำการขัดขืนกฎอัยการศึก ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 7/2557 เรื่อง ห้ามชุมนุมทางการเมือง ห้ามมิให้มั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมือง ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป และคุกคามมหาเถรสมาคม (มส.)
หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวว่า เดินทางมามอบตัวในฐานะคณะนิสัย มจร.วิทยาเขตอุบลราชธานี แจ้งดำเนินคดีไว้ กล่าวหาว่าอาตมาละเมิดกฎอัยการศึก และคุกคามมหาเถรสมาคม และพระพุทธศาสนา ตามประกาศ คสช.ที่ 7/2557 เรื่อง ห้ามชุมนุมทางการเมือง อาศัยอำนาจตามมาตรา 8 และ 11 พ.ร.บ.กฎอัยการศึก แม้ข้อหานี้ขาดองค์ประกอบความผิดเพราะต้องชุมนุมกันเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง ก่อให้เกิดความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน แต่เพื่อไม่ให้ คสช.ต้องลำบากใจ และเพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาว่าสองมาตรฐานอาตมาจึงแสดงความจำนงที่จะเข้าพบพนักงานสอบสวนเอง ส่วนมูลเหตุคงมาจากที่ได้เดินทางไปวัดปากน้ำ ซึ่งวันนั้นมีผู้มาถวายสังฆทาน จึงเป็นเหตุให้มีการกล่าวอ้างเพื่อแจ้งความดำเนินคดี
###จัดหนัก!! แจ้งจับแล้วนะจ๊ะ ..หลวงปู่พุทธะอิสระแจ้งจับ “ธัมมชโย” แต่งกายเลียนแบบสงฆ์-ฉ้อโกง ###
http://manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9580000024921
-------------
ASTVผู้จัดการ - หลวงปู่พุทธะอิสระ จัดหนัก แจ้งกองปราบดำเนินคดี “ธัมมชโย” ฐานความผิด แจ้งความเท็จ แต่งกายเลียนแบบสงฆ์ ฉ้อโกงหลอกประชาชน หลังไม่ทำตามพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราช ต้องอาบัติปาราชิก แถมพ่วง เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ และ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี และ มส.ฐานไม่ปฎิบัติหน้าที่
วันนี้ ( 2 มี.ค.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา เมื่อเวลา 13.30 น. พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม หรือหลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย ต.ห้วยขวาง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.พัฒนพงษ์ ศิริเจริญนำ พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ พระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย หรือนายไชยบูลย์ สุทธิผล ในความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานในประการที่อาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนได้รับความเสียหาย , แต่งกายเลียนแบบสงฆ์ หรือนักบวชในศาสนาโดยมิชอบ และข้อหาฉ้อโกง โดยหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความซึ่งควรแจ้ง โดยการหลอกลวงนั้นได้มาซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่ 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 , 208 และ 341 ตามลำดับ
นอกจากนี้ได้แจ้งความให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับเจ้าคณะปกครอง คือ เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ และเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี และกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ในความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานในประการที่อาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนได้รับความเสียหาย และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 และ 157 ตามลำดับ และดำเนินคดีกับมหาเถรสมาคม ฐานไม่ปฎิบัติตามอำนาจหน้าที่ซึ่งบัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มาตรา 15 (ตรี) คือไม่ปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปโดยเรียบร้อยดีงาม ไม่รักษาหลักพระธรรมวินัย
หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวต่อว่า อาตมามาแจ้งความดำเนินคดีธัมมชโย หรือนายไชยบูลย์ จากกรณีที่ธัมมชโย ต้องอาบัติปาราชิกตามพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน 2542 แต่ยังคงแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ ฉ้อโกงประชาชน หลอกเอาทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ส่วนตน โดยเจ้าคณะปกครองและกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) กลับเพิกเฉย ไม่ปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชฯ แต่ มหาเถรสมาคมกลับหลีกเลี่ยงที่จะสั่งธัมมชโย ให้สึก โดยแค่เรียกทรัพย์สินคืน แล้วอ้างว่าไม่เจตนา ต่อมาก็มีการคืนตำแหน่งการปกครองให้แก่ธัมมชโย จนต่อมาในปี 2554 ธัมมชโย ยังบังอาจขอพระราชทานสถาปนาเลื่อนสมณศักดิ์ ระดับพระราชาคณะชั้นเทพ การกระทำดังกล่าวจึงเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ละเมิดพระธรรมวินัย และบิดเบือนพระธรรมวินัย
หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวอีกว่า การที่ มหาเถรสมาคมบังอาจนำรายชื่อบุคคลที่ไม่ใช่พระ ไปเพ็จทูลต่อเบื้องสูง ถือเป็นการหมิ่นประมาทเบื้องสูงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อีกด้วย ซึ่งเป็นรายละเอียดในคดีที่จะนำเสนอ แต่มีสิ่งที่อยากวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมของมหาเถรสมาคมและเจ้าคณะปกครอง รวมทั้งวัดพระธรรมกาย ได้กระทำถูกต้องตามพระธรรมวินัยหรือไม่ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้วางหลักการไว้ ดังนี้ พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสสอนพระนางปชาบดี ความว่าผู้ปฏิบัติพระธรรมวินัยต้องเป็นไปเพื่อ 1.เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด 2.เป็นไปเพื่อความไม่ประกอบทุกข์ 3.เป็นไปเพื่อไม่สะสมพอกพูนกองกิเลส ก็ลองไปดูรักษาการสมเด็จพระสังฆราช ว่ามีรถหรูกี่คัน กรรมการ มส.มีเงินกันเท่าไหร่ กี่ร้อยล้านบาท ลองไปดูว่านั่นถูกธรรมวินัยหรือไม่
หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวต่อว่า 4.เป็นไปเพื่อความอยากน้อย การกระทำของวัดพระธรรมกายในทุกวันนี้ ไม่มีอะไรที่ถูกธรรมวินัย เลย กลับกลายเป็นตรงกันข้ามตลอดเวลา แต่ทาง มส.ก็ละเลยเพิกเฉยที่จะบังคับให้เป็นไปตามตามหลักพระธรรมวินัย 5.เป็นไปเพื่อความสันโดษ พระเจ้าที่รับจ้างธัมมชโย มาเดินธุดงค์แบบนี้มันไม่ถูกต้อง แถมยังบิดเบือน และทำลายอริยวินัย เพราะการธุดงค์ เป็นวัตรพิเศษเฉพาะของผู้ที่ต้องการบรรลุธรรม ไม่ใช่ของผู้ที่ต้องการโฆษณาตัวเองเพื่อหาลาภ 6.เป็นไปเพื่อความไม่คลุกคลีในหมู่คณะ 7.เป็นไปเพื่อความพากเพียร เพื่อความพ้นทุกข์ก็ไม่ได้ มส.ไม่เคยพากเพียรตรงนี้เลย มีแต่จะทำยังไงให้ได้ยศมากขึ้นได้ลาภเยอะขึ้น และ 8.เป็นไปเพื่อความเลี้ยงง่าย ก็เลี้ยงไม่ง่ายเลยเพราะนั่งรถหรูๆ กัน แพงกว่าชาวบ้านที่ให้ข้าวกินอีก รวมสรุปแล้วก็คือมหาเถรสมาคม และสังฆมณฑลในปัจจุบัน ไม่ได้ปฏิบัติตามหลักตัดสินพระธรรมวินัย เลย
นอกจากนี้ หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวด้วยว่า นอกจากแจ้งความดำเนินคดีกับ พระธัมมชโย เจ้าคณะปกครอง และกรรมการมหาเถรสมาคมแล้ว อาตมาได้เข้ามอบตัวกรณีคณะนิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย (มจร.) วิทยาเขตอุบลราชธานี เข้าแจ้งความว่า หลวงปู่พุทธะอิสระ กระทำการขัดขืนกฎอัยการศึก ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 7/2557 เรื่อง ห้ามชุมนุมทางการเมือง ห้ามมิให้มั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมือง ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป และคุกคามมหาเถรสมาคม (มส.)
หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวว่า เดินทางมามอบตัวในฐานะคณะนิสัย มจร.วิทยาเขตอุบลราชธานี แจ้งดำเนินคดีไว้ กล่าวหาว่าอาตมาละเมิดกฎอัยการศึก และคุกคามมหาเถรสมาคม และพระพุทธศาสนา ตามประกาศ คสช.ที่ 7/2557 เรื่อง ห้ามชุมนุมทางการเมือง อาศัยอำนาจตามมาตรา 8 และ 11 พ.ร.บ.กฎอัยการศึก แม้ข้อหานี้ขาดองค์ประกอบความผิดเพราะต้องชุมนุมกันเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง ก่อให้เกิดความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน แต่เพื่อไม่ให้ คสช.ต้องลำบากใจ และเพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาว่าสองมาตรฐานอาตมาจึงแสดงความจำนงที่จะเข้าพบพนักงานสอบสวนเอง ส่วนมูลเหตุคงมาจากที่ได้เดินทางไปวัดปากน้ำ ซึ่งวันนั้นมีผู้มาถวายสังฆทาน จึงเป็นเหตุให้มีการกล่าวอ้างเพื่อแจ้งความดำเนินคดี