สวัสดีครับ ผมมีข้อมูลมาแบ่งปันเพื่อนที่น้องนักลงทุนทุกท่านน่ะครับ ผมอยากจะแบ่งกันการสรุปเนื้อหาของผม ขอฝากตัวด้วยนะครับ
เนื่องจากผมอัพโหลดรูปไม่เป็น หากใครอยากเห็นแบบมีรูปด้วย ข้อมูลเต็มจะอยู่ในลิ้งนี้น่ะครับ
https://www.facebook.com/notes/investdiary-แบ่งปันความรู้การลงทุน/com7-การเติบโตในยุค-digital/860353574099891
หนึ่งในหุ้นแห่งปี การเติบโตของ Com7 นั้นรุนแรงมากซึ่งก็มาจากร้าน BananaIt และ iStudio ซึ่งเป็น Mega trend อันหนึ่งในโลกปัจจุบัน คนหันมาใช้ Smart phone มากขึ้น และพวกอุปกรณ์ electronic ที่เริ่มขยายตลาดมากขึ้น อีกทั้งอนิสงค์ของ Facebook ทำให้ผู้คนต่างๆใกล้ชิดเทคโนโลยีมากขึ้น การที่ Com7 สามารถเกาะการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้นับว่าเป็นอะไรที่น่าจับมองเลยทีเดียว
ข้อมูลทั่วไป
บริษัท คอมเซเว่น จำกัด จริงๆแล้วเกิดมาตั้งแต่ปี 2539 ตอนแรกเป็นร้านขายคอมพิวเตอร์ตั้งโต้ะหรือแล็บท็อป โทรศัพท์เคลื่อนที่ แต่จากตอนนั้นโอกาสในการเติบโตมีมาก เพราะว่าบริษัทเห็นว่าประชากรที่เข้าถึงตรงนี้ยังมีไม่เท่าไหร่ จนจดบริษัทจริงๆปี 2547
บริษัทนั้นขายปลีกสินค้าไอที มีสองร้านค้าคือ
Banana IT ขายสินค้าไอทีทั่วไป ปัจจุบันมีประมาณ 160 สาขา
จำหน่าย Apple รวมถึงศูนย์บริการ iCare ปัจจุบันมาสาขาราวๆ 120 สาขา (รวม U store, iBeat)
นอกจากขายปลีกเป็นหลักแล้ว บริษัทก็ยังมีแผนที่จะขายส่งให้บริษัททั่วไปอีกด้วยโดยเริ่มต้นประมาณปีนี้เป็นต้นไปโดยจะเน้นไปทางด้าน Service ควบคู่กับไปด้วย และบริษัทยังมีเป้าหมายในการขายผ่าน Ecommerce ภายในปีนี้อีกด้วย
รายได้ส่วนใหญ่นั้นก็เปลี่ยนไปได้ตามเทรน แต่ว่าที่เด่นๆในปีล่าสุดนั้นคือการเติบโตของสมาทโฟนถึง 30% ต่อปี ซึ่งทำให้ตอนนี้รายได้ส่วนใหญ่จะมาจากตรงนี้เป็นหลัก ส่วนโน้ตบุ้คนั้นก็ยังสัดส่วนใหญ่เหมือนกันอย่างต่อเนื่อง ที่น่าแปลกใจคือแท็บเล็ตนั้นดูเหมือนจะตกลงจากการที่สมาทโฟนนั้นจอใหญ่ขึ้นกว่าแต่ก่อน น่าจะทำให้คนสนใจแท็บเล็ตน้อยลง
ลูกค้าของบริษัทนั้นเป็นทุกๆคนไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ หรือรายได้น้อยหรือมาก เพราะว่าสินค้าที่นำมาขายนั้นหลากหลายและมีสำหรับทุกกลุ่มเป้าหมาย
ตลาดโดยรวมนั้นก็จะมีประเภทที่หดตัวลง แต่ก็เป็นการหดตัวที่ย้ายไปใช้ผลิตภัณฑ์อีกประเภทแทน
การแข่งขันนั้นก็มีพอสมควรทั้งผู้เล่นรายใหญ่และรายย่อย ซึ่งจากข้างบนแล้ว ข้อได้เปรียบของบริษัทนั้นก็ไม่ได้มีมาก เนื่องจากไม่มีความต่างเท่าไหร่ในการเลือกเข้าร้านของผู้บริโภค
แต่ว่าสิ่งที่บริษัทนั้นมีความได้เปรียบนั้นก็คือการเป็น Authorize Apple retailer ทำให้การเข้ามาของผู้เล่นอื่นนั้นค่อนข้างจำกัด เพราะว่าต้องได้รับการรับรองจาก Apple south Asia ก่อนถึงจะมีสิทธิ โดยบริษัทนั้นมีทั้งสิทธิในการจำหน่าย ให้ศูนย์รับซ่อมจาก Apple
จุดเด่นของ Com7 นั้นก็คือมีสาขามาก กระจายไปทั่วประเทษ และบริษัทยังมีการเปิดสาขาใหม่ต่อเนื่อง ทำให้บริษัทสามารถมีสาขาที่อยู่ในทำเลที่มีศักยภาพได้ก่อนคู่แข่งอื่น อีกทั้งการที่บริษัทนั้นเป็นเจ้าใหญ่ ทำให้ห้างต่างๆนั้นก็อยากจะได้บริษัทมาเปิดร้านในที่ขอตน
บริษัทยังแตก line ของร้านเป็นหลายๆแบบเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่มากขึ้น สินค้ามีความหลากหลายของรูปแบบและราคา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยให้บริษัทนั้นสามารถโตได้ต่อเนื่อง
การที่บริษัทนั้นจำหน่ายสินค้าไอที ทำให้มีความเสี่ยงในการล้าสมัยของสินค้าอย่างรวดเร็ว ภายใน 1 ปีนั้นก็ล้าสมัยแล้ว เพราะฉะนั้นบริษัทก็ต้องทำ Promotion ขึ้นมาเพื่อกระตุ้นยอดขาย แต่ก็ทำให้กำไรนั้นลดลง นอกจากนี้บริษัทยังได้รับเงื่อนไขพิเศษจากผู้ผลิตที่สินค้าบางรุ่นสามารถได้รับส่วนลดหรือเปลี่ยนคืนแลกกับสินค้ารุ่นใหม่ได้
ความเสี่ยงอีกอันคือ หาก Apple ไม่ต่อสัญญา รายได้ของบริษัทคงหายไปกว่าครึ่ง ซึ่งเคสนี้ค่อนข้างอันตราย แต่ก็มีโอกาสน้อยที่จะเกิด
งบการเงิน
รายได้
รายได้นั้นก็เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนจะเริ่มโตช้าลงบ้างแล้ว ต้นทุนนั้นก็ค่อนข้าง fix ไปกับราคาของ แต่จากแนวโน้มแล้วก็น่าจะเป็นช่วงที่เริ่มชะลอตัวลงของ Com7 (ต่างจากราคาหุ้น) การที่บริษัทเปิดสาขาเพิ่มก็เป็นปัจจัยนึงทีทำให้ยอดขายเติบโตด้วย
ยอดขายส่วนใหญ่นั้นเติบโตมาจากกลุ่ม สมาทโฟน ส่วนกลุ่มอื่นๆนั้นก็ไม่มีเติบโตมากนัก แต่การที่บริษัทนั้นขายปลีกสินค้าตามเทคโนโลยีนั้น การเติบโตก็จะอิงไปกับตลาดของเทคโนโลยีไปด้วย
กำไรสุทธินั้นก็ถือว่าดีขึ้นกว่าการเติบโตของยอดขาย เป็นเพราะว่าการบริหารจัดการที่ดีมากขึ้นนั้นเอง
ฐานะทางการเงิน
บริษัทก็มีเงินสดเก็บขึ้นมากทุกปี สินทรัพย์ส่วนใหญ่จะไปอยู่ในรูปแบบของสินค้าคงคลัง ซึ่งก็สมเหตุสมผลเพราะบริษัทมีหน้าที่ค้าปลีก จำเป็นต้องสต้อกสินค้าไว้ ซึ่งจำนวนน้อยลงจากปีที่แล้วก็เป็นสัญญานที่ดีที่บอกว่าสินค้านั้นได้ถูกขายออกไป
บริษัทนั้นมีหนี้ที่น้อยลงเนื่องมาจากการชำระหนี้กู้ยืมระยะสั้นจากกระแสเงินสดที่เข้ามา ทำให้ส่วนใหญ่หนี้ที่เหลือจะเป็นเจ้าหนี้การค้าประมาณ 75% จากการที่บริษัทนั้นยังติดเครดิตของสินค้าที่สั่งเข้ามาเพิ่ม ส่วนเงินกู้ส่วนใหญ่จะเป็นกู้ระยะสั้นแทบทั้งสิ้น เนื่องจากบริษัทไม่มีความจำเป็นต้องนำไปลงทุนระยะยาวหรือโรงงาน
ส่วนของผู้ถือหุ้นก็เพิ่มขึ้นตามกำไรสะสมของบริษัท
กระแสเงินสด
บริษัทนั้นมีเงินสดมาจากการดำเนินงาน แต่ที่ปีก่อนติดลบ คาดว่าเพราะการสั่งซื้อสินค้าเพื่อนำมาเข้ามาสต้อกในปริมาณที่มากกว่าที่ขายได้ ซึ่งก็อาจจะน่าเป็นห่วงนิดหน่อยเพราะว่าสินค้านั้นไม่ควรเก็บไว้นานเนื่องจากตกรุ่นได้ไวมาก
บริษัทนั้นมีระยะเวลาเก็บหนี้ที่ดีมาก ซื้อขายด้วยเงินสด ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดี
อัตราส่วน
การทำกำไรขั้นต้น 12% ROE 22% เป็นตัวเลขที่ดีทีเดียวสำหรับค้าปลีก แต่การที ROE ต่ำกว่าปีที่ผ่านมากนั้นไม่ใช่ประเด้นอะไรมากเพราะว่าเป็นปีที่บริษัทเปิดขาย IPO ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นมากขึ้น ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือจึงลดลงนั้นเอง
Com7 โดยรวมแล้วมีเงินสดที่ค่อนข้างดี มีการเติบโตที่ยังไปได้กับอัตสาหกรรมที่เติบโต และยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นไปได้อีกเรื่อยๆ แต่อย่างที่เห็นจากยอดขายแล้วนั้น การเติบโตก็คงจะหวังได้ไม่มากเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เนื่องจากปัจจุบันผู้ที่มีสมาทโฟนก็กลายเป็นส่วนใหญ่ไปซะแล้ว มีน้อยที่ยังไม่เข้าถึงนั้นก็อาจจะเป็นชาวบ้านตามต่างจังหวัด ถือว่าเป็นบริษัทที่น่าสนใจมาก ต้องคอยติดตามต่อไปว่าหากตลาดสมาทโฟนเริ่มอิ่มตัวแล้ว บริษัทจะมีตลาดอะไรใหม่ๆให้ทำอีก
ที่มา
https://www.facebook.com/investdiary
COM7 - การเติบโตในยุค Digital
เนื่องจากผมอัพโหลดรูปไม่เป็น หากใครอยากเห็นแบบมีรูปด้วย ข้อมูลเต็มจะอยู่ในลิ้งนี้น่ะครับ
https://www.facebook.com/notes/investdiary-แบ่งปันความรู้การลงทุน/com7-การเติบโตในยุค-digital/860353574099891
หนึ่งในหุ้นแห่งปี การเติบโตของ Com7 นั้นรุนแรงมากซึ่งก็มาจากร้าน BananaIt และ iStudio ซึ่งเป็น Mega trend อันหนึ่งในโลกปัจจุบัน คนหันมาใช้ Smart phone มากขึ้น และพวกอุปกรณ์ electronic ที่เริ่มขยายตลาดมากขึ้น อีกทั้งอนิสงค์ของ Facebook ทำให้ผู้คนต่างๆใกล้ชิดเทคโนโลยีมากขึ้น การที่ Com7 สามารถเกาะการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้นับว่าเป็นอะไรที่น่าจับมองเลยทีเดียว
ข้อมูลทั่วไป
บริษัท คอมเซเว่น จำกัด จริงๆแล้วเกิดมาตั้งแต่ปี 2539 ตอนแรกเป็นร้านขายคอมพิวเตอร์ตั้งโต้ะหรือแล็บท็อป โทรศัพท์เคลื่อนที่ แต่จากตอนนั้นโอกาสในการเติบโตมีมาก เพราะว่าบริษัทเห็นว่าประชากรที่เข้าถึงตรงนี้ยังมีไม่เท่าไหร่ จนจดบริษัทจริงๆปี 2547
บริษัทนั้นขายปลีกสินค้าไอที มีสองร้านค้าคือ
Banana IT ขายสินค้าไอทีทั่วไป ปัจจุบันมีประมาณ 160 สาขา
จำหน่าย Apple รวมถึงศูนย์บริการ iCare ปัจจุบันมาสาขาราวๆ 120 สาขา (รวม U store, iBeat)
นอกจากขายปลีกเป็นหลักแล้ว บริษัทก็ยังมีแผนที่จะขายส่งให้บริษัททั่วไปอีกด้วยโดยเริ่มต้นประมาณปีนี้เป็นต้นไปโดยจะเน้นไปทางด้าน Service ควบคู่กับไปด้วย และบริษัทยังมีเป้าหมายในการขายผ่าน Ecommerce ภายในปีนี้อีกด้วย
รายได้ส่วนใหญ่นั้นก็เปลี่ยนไปได้ตามเทรน แต่ว่าที่เด่นๆในปีล่าสุดนั้นคือการเติบโตของสมาทโฟนถึง 30% ต่อปี ซึ่งทำให้ตอนนี้รายได้ส่วนใหญ่จะมาจากตรงนี้เป็นหลัก ส่วนโน้ตบุ้คนั้นก็ยังสัดส่วนใหญ่เหมือนกันอย่างต่อเนื่อง ที่น่าแปลกใจคือแท็บเล็ตนั้นดูเหมือนจะตกลงจากการที่สมาทโฟนนั้นจอใหญ่ขึ้นกว่าแต่ก่อน น่าจะทำให้คนสนใจแท็บเล็ตน้อยลง
ลูกค้าของบริษัทนั้นเป็นทุกๆคนไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ หรือรายได้น้อยหรือมาก เพราะว่าสินค้าที่นำมาขายนั้นหลากหลายและมีสำหรับทุกกลุ่มเป้าหมาย
ตลาดโดยรวมนั้นก็จะมีประเภทที่หดตัวลง แต่ก็เป็นการหดตัวที่ย้ายไปใช้ผลิตภัณฑ์อีกประเภทแทน
การแข่งขันนั้นก็มีพอสมควรทั้งผู้เล่นรายใหญ่และรายย่อย ซึ่งจากข้างบนแล้ว ข้อได้เปรียบของบริษัทนั้นก็ไม่ได้มีมาก เนื่องจากไม่มีความต่างเท่าไหร่ในการเลือกเข้าร้านของผู้บริโภค
แต่ว่าสิ่งที่บริษัทนั้นมีความได้เปรียบนั้นก็คือการเป็น Authorize Apple retailer ทำให้การเข้ามาของผู้เล่นอื่นนั้นค่อนข้างจำกัด เพราะว่าต้องได้รับการรับรองจาก Apple south Asia ก่อนถึงจะมีสิทธิ โดยบริษัทนั้นมีทั้งสิทธิในการจำหน่าย ให้ศูนย์รับซ่อมจาก Apple
จุดเด่นของ Com7 นั้นก็คือมีสาขามาก กระจายไปทั่วประเทษ และบริษัทยังมีการเปิดสาขาใหม่ต่อเนื่อง ทำให้บริษัทสามารถมีสาขาที่อยู่ในทำเลที่มีศักยภาพได้ก่อนคู่แข่งอื่น อีกทั้งการที่บริษัทนั้นเป็นเจ้าใหญ่ ทำให้ห้างต่างๆนั้นก็อยากจะได้บริษัทมาเปิดร้านในที่ขอตน
บริษัทยังแตก line ของร้านเป็นหลายๆแบบเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่มากขึ้น สินค้ามีความหลากหลายของรูปแบบและราคา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยให้บริษัทนั้นสามารถโตได้ต่อเนื่อง
การที่บริษัทนั้นจำหน่ายสินค้าไอที ทำให้มีความเสี่ยงในการล้าสมัยของสินค้าอย่างรวดเร็ว ภายใน 1 ปีนั้นก็ล้าสมัยแล้ว เพราะฉะนั้นบริษัทก็ต้องทำ Promotion ขึ้นมาเพื่อกระตุ้นยอดขาย แต่ก็ทำให้กำไรนั้นลดลง นอกจากนี้บริษัทยังได้รับเงื่อนไขพิเศษจากผู้ผลิตที่สินค้าบางรุ่นสามารถได้รับส่วนลดหรือเปลี่ยนคืนแลกกับสินค้ารุ่นใหม่ได้
ความเสี่ยงอีกอันคือ หาก Apple ไม่ต่อสัญญา รายได้ของบริษัทคงหายไปกว่าครึ่ง ซึ่งเคสนี้ค่อนข้างอันตราย แต่ก็มีโอกาสน้อยที่จะเกิด
งบการเงิน
รายได้
รายได้นั้นก็เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนจะเริ่มโตช้าลงบ้างแล้ว ต้นทุนนั้นก็ค่อนข้าง fix ไปกับราคาของ แต่จากแนวโน้มแล้วก็น่าจะเป็นช่วงที่เริ่มชะลอตัวลงของ Com7 (ต่างจากราคาหุ้น) การที่บริษัทเปิดสาขาเพิ่มก็เป็นปัจจัยนึงทีทำให้ยอดขายเติบโตด้วย
ยอดขายส่วนใหญ่นั้นเติบโตมาจากกลุ่ม สมาทโฟน ส่วนกลุ่มอื่นๆนั้นก็ไม่มีเติบโตมากนัก แต่การที่บริษัทนั้นขายปลีกสินค้าตามเทคโนโลยีนั้น การเติบโตก็จะอิงไปกับตลาดของเทคโนโลยีไปด้วย
กำไรสุทธินั้นก็ถือว่าดีขึ้นกว่าการเติบโตของยอดขาย เป็นเพราะว่าการบริหารจัดการที่ดีมากขึ้นนั้นเอง
ฐานะทางการเงิน
บริษัทก็มีเงินสดเก็บขึ้นมากทุกปี สินทรัพย์ส่วนใหญ่จะไปอยู่ในรูปแบบของสินค้าคงคลัง ซึ่งก็สมเหตุสมผลเพราะบริษัทมีหน้าที่ค้าปลีก จำเป็นต้องสต้อกสินค้าไว้ ซึ่งจำนวนน้อยลงจากปีที่แล้วก็เป็นสัญญานที่ดีที่บอกว่าสินค้านั้นได้ถูกขายออกไป
บริษัทนั้นมีหนี้ที่น้อยลงเนื่องมาจากการชำระหนี้กู้ยืมระยะสั้นจากกระแสเงินสดที่เข้ามา ทำให้ส่วนใหญ่หนี้ที่เหลือจะเป็นเจ้าหนี้การค้าประมาณ 75% จากการที่บริษัทนั้นยังติดเครดิตของสินค้าที่สั่งเข้ามาเพิ่ม ส่วนเงินกู้ส่วนใหญ่จะเป็นกู้ระยะสั้นแทบทั้งสิ้น เนื่องจากบริษัทไม่มีความจำเป็นต้องนำไปลงทุนระยะยาวหรือโรงงาน
ส่วนของผู้ถือหุ้นก็เพิ่มขึ้นตามกำไรสะสมของบริษัท
กระแสเงินสด
บริษัทนั้นมีเงินสดมาจากการดำเนินงาน แต่ที่ปีก่อนติดลบ คาดว่าเพราะการสั่งซื้อสินค้าเพื่อนำมาเข้ามาสต้อกในปริมาณที่มากกว่าที่ขายได้ ซึ่งก็อาจจะน่าเป็นห่วงนิดหน่อยเพราะว่าสินค้านั้นไม่ควรเก็บไว้นานเนื่องจากตกรุ่นได้ไวมาก
บริษัทนั้นมีระยะเวลาเก็บหนี้ที่ดีมาก ซื้อขายด้วยเงินสด ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดี
อัตราส่วน
การทำกำไรขั้นต้น 12% ROE 22% เป็นตัวเลขที่ดีทีเดียวสำหรับค้าปลีก แต่การที ROE ต่ำกว่าปีที่ผ่านมากนั้นไม่ใช่ประเด้นอะไรมากเพราะว่าเป็นปีที่บริษัทเปิดขาย IPO ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นมากขึ้น ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือจึงลดลงนั้นเอง
Com7 โดยรวมแล้วมีเงินสดที่ค่อนข้างดี มีการเติบโตที่ยังไปได้กับอัตสาหกรรมที่เติบโต และยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นไปได้อีกเรื่อยๆ แต่อย่างที่เห็นจากยอดขายแล้วนั้น การเติบโตก็คงจะหวังได้ไม่มากเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เนื่องจากปัจจุบันผู้ที่มีสมาทโฟนก็กลายเป็นส่วนใหญ่ไปซะแล้ว มีน้อยที่ยังไม่เข้าถึงนั้นก็อาจจะเป็นชาวบ้านตามต่างจังหวัด ถือว่าเป็นบริษัทที่น่าสนใจมาก ต้องคอยติดตามต่อไปว่าหากตลาดสมาทโฟนเริ่มอิ่มตัวแล้ว บริษัทจะมีตลาดอะไรใหม่ๆให้ทำอีก
ที่มา https://www.facebook.com/investdiary