ทรานซ์ หรือการบำบัดจิต หรือเรียกแบบชาวบ้านๆว่าการรักษาโดยการสะกดจิต
เริ่มจากการที่เราเลิกกะแฟน เราจิตตก เสียใจ ฟูมฟาย คุยกะใครร้องไห้ได้ตลอดเวลา คอนโทรลตัวเองแทบไม่ได้ กินข้าวไม่ได้ น้ำหนักลดลง ปัญหามันคือเราทิ้งให้ตัวเองอยู่ในสภาพนี้ไม่ได้ เราเป็นหญิงแกร่งในสายตาคนอื่น เราไม่เคยอ่อนแอให้ใครเห็น เราไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าใคร เราเป็นหัวหน้าคน เรามีงานการที่ต้องรับผิดชอบ และเราไม่ใช่วัยรุ่นที่จะมาเสียเวลากับตรงนี้ แต่วันนี้ทุกอย่างตรงกันข้าม ประกอบกับเรามีปัญหากับหัวหน้างาน เราแทบจะเรียกว่าเกลียดเขา สรุปเราไม่มีความสุขเลย จนเราเกลียดตัวเอง เราไม่ให้อภัยตัวเองที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับแฟนต้องเลิกกัน เพราะเราคิดแต่ว่าความคิดของเราถูก เรามีประสบการณ์มากกว่าเขาจนเราเอาชนะเขาไปทุกเรื่อง แม้กระทั่งเขามาง้อ เราก็ยังไม่ยอม สุกท้ายเราเลิกกัน แต่วันที่เขาไปเราเจ็บมากเสียใจมาก ความโชคดีของเราเกิดขึ้นในวันที่เราเสียใจที่สุด เรากำลังร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง แต่สุดท้ายเราทักไลน์ไปที่ญาติคนนึงถามว่าทำอะไรอยู่ แวะมาหาเราหน่อย เขาก็มาหา เห็นสภาพเราเขาตกใจเพราะมันโทรมมาก ดูแย่ ตาบวม เขาฟังเราระบายๆๆๆ พูดไปก็ร้องไห้ไป สุดท้ายเขาให้เราหลับตา จินตนาการไปตามที่เขาบอก ให้มองเห็นความสุข สงบ สักพักเราผ่อนคลายขึ้น และเราก็นัดเขาวันรุ่งขึ้นอีกครั้งเพื่อทำทรา๊นซ์อย่างเต็มรูปแบบ
วันรุ่งขึ้นเราขับรถไปหาญาติคนนี้ ทำแบบสอบถามต่างๆ เพื่อประเมิณภาวะจิตใจ พอเข้าสู่ทร๊านซ์เราคิดว่าเราไม่ได้ลงลึกเพราะเป็นคนจิตแข็งอยู่แล้ว นอนหลับยากมาก แต่ก็จิตนการไปตามที่เขาบอก วิธีที่เขาทำให้ เขาจะไม่ได้ชี้นำหรือตัดสินใจแทนเรา แต่เขาทำให้เราเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น มองเห็นและยอมรับกับมัน และอยู่กับมันให้ได้เพราะความเข้าใจ หลังจากออกจากทร๊านซ์แล้ว เราสบายใจขึ้นแต่ยังบอกไม่ได้ว่าเราหลุดแล้วหรือยัง วันรุ่งขึ้นมีบางสิ่งเปลี่ยนแปลงที่ตัวเรา เรานิ่ง เราสงบ เรายังจำทุกเรื่องราวได้ เพราะความทรงจำไม่ได้ถูกลบออกไป เราพยายามนึกถึงอารมณ์เมื่อวานตอนเราเจ็บปวด ร้องไห้ฟูมฟาย แต่ทำไมวันนี้เราร้องไม่ออก เหมือนจะร้องไม่เป็นแล้วทั้งๆที่ร้องมาหลายอาทิตย์ เหมือนอย่างที่ญาติเราบอก เรายังจำทุกเรื่องราวได้แต่เราจะไม่เจ็บปวดกับมันเพราะเราจะอยู่แบบเข้าใจมัน เราดีใจที่เราข้ามผ่านมันมาได้แล้วโดยที่ใช้เวลาไม่นานกับการฟื้นฟูจิตใจ
แต่ มันยังไม่จบ อีกสองวันถัดมา เรานัดญาติให้ทำทร๊านซ์ให้เราอีกรอบเพราะเรายังกลัวว่ามันจะกลับมาเศร้าอีกเราอยากมั่นใจว่าเราเคลียร์ทุกอย่างได้หมดจริงๆ ทั้งๆที่วันนั้นเราดีขึ้นเยอะแล้ว ร่าเริง พูดคุยเล่นได้ การทร๊านซ์ครั้งที่สอง เราทำมันพังเอง เพราะเราคิดว่าเราเป็นคนดีมีเหตุผล ไม่เจ้าอารมณ์เหมือนที่ผ่านมาแล้ว ในทร๊านซ์เรากลับไปเลือกแบบที่จะไม่ปล่อยเขาไป เราอยากให้เขามาเห็นเราคนใหม่ อยากให้เขากลับมาหาเรา ผลลัพธ์ที่ได้ พังสิคะ กลับไปอยู่สภาพเดิม โทรหาเขา อยากให้เขากลับมาแต่เขาปฏิเสธ เสียใจแบบเดิมเลย กลับไปถามญาติเขาบอกว่าเพราะเราเลือกเอง เห็นผลลัพธืหรือยัง เราทรมานค่ะ บอกเขาว่าขออีกรอบเอาแบบทีเดียวจบนะ
ครั้งที่สาม ในทร๊านซ์เราโกรธตัวเอง ไม่ให้อภัยตัวเองที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้ทุกอย่างมันจบแบบนี้ โค้ช (ญาติ) พยายามบอกให้เรายกโทษให้ตัวเอง เราร้องไห้ เราไม่ยกโทษ โค้ชจะมีวิธีพูดให้เราเข้าใจ ชักจูง และสุดท้ายยอมรับกับมัน เรายอมให้อภัยตัวเองและยอมอนุญาตให้ตัวเองในอดีตมาอยู่เป็นเพื่อนกับเราในปัจจุบันโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีใครก็ได้ เราสามารถไปไหนมาไหนกับตัวเองโดยไม่เหงา ไม่เดียวดาย ไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว
สิ่งที่เราอยากมาแชร์ เราคิดว่าการบำบัดรูปแบบนี้เป็นสิ่งใหม่ และรู้จักกันในวงจำกัด เราเองยังตัดสินใจตั้งนานกว่าจะยอมทำ เพราะเราไม่อยากให้ใครมารู้เรื่องส่วนตัว ไม่อยากให้ใครมาเห็นเราในรูปแบบที่อ่อนแอ เราเสริจข้อมูลต่างๆ จนตอนแรกกะจะไปหาจิตแพทย์แต่เราไม่อยากกินยาเพราะมันมีผลข้างเคียง จนในที่สุดเรายอมใช้วิธีนี้ และวันนี้เรามีตัวเราเองเป็นเพื่อน และมองอดีตแบบเข้าใจแต่ไม่เจ็บปวด ในทร๊านซ์สอนให้เราเรียนรู้และได้บทเรียนกับนิสัยแย่ๆของเรา ทร๊านซ์ไม่ใช้รักษาแค่คนอกหักแบบเรานะ มันสามารถรักษาจิตใจของคนในหลายๆสภาวะได้ ความเกลียด ความกลัว ความผิดหวัง ความทุกข์แบบที่หาคำตอบด้วยตัวเองไม่ได้ หวังว่าเรื่องเล่าของเราอาจจะพอเป็นแสงสว่างให้กับทุกๆคนที่อ่านได้นะคะ
เราไปทำทรานซ์มาเลยอยากมาแชร์ค่ะ
เริ่มจากการที่เราเลิกกะแฟน เราจิตตก เสียใจ ฟูมฟาย คุยกะใครร้องไห้ได้ตลอดเวลา คอนโทรลตัวเองแทบไม่ได้ กินข้าวไม่ได้ น้ำหนักลดลง ปัญหามันคือเราทิ้งให้ตัวเองอยู่ในสภาพนี้ไม่ได้ เราเป็นหญิงแกร่งในสายตาคนอื่น เราไม่เคยอ่อนแอให้ใครเห็น เราไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าใคร เราเป็นหัวหน้าคน เรามีงานการที่ต้องรับผิดชอบ และเราไม่ใช่วัยรุ่นที่จะมาเสียเวลากับตรงนี้ แต่วันนี้ทุกอย่างตรงกันข้าม ประกอบกับเรามีปัญหากับหัวหน้างาน เราแทบจะเรียกว่าเกลียดเขา สรุปเราไม่มีความสุขเลย จนเราเกลียดตัวเอง เราไม่ให้อภัยตัวเองที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับแฟนต้องเลิกกัน เพราะเราคิดแต่ว่าความคิดของเราถูก เรามีประสบการณ์มากกว่าเขาจนเราเอาชนะเขาไปทุกเรื่อง แม้กระทั่งเขามาง้อ เราก็ยังไม่ยอม สุกท้ายเราเลิกกัน แต่วันที่เขาไปเราเจ็บมากเสียใจมาก ความโชคดีของเราเกิดขึ้นในวันที่เราเสียใจที่สุด เรากำลังร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง แต่สุดท้ายเราทักไลน์ไปที่ญาติคนนึงถามว่าทำอะไรอยู่ แวะมาหาเราหน่อย เขาก็มาหา เห็นสภาพเราเขาตกใจเพราะมันโทรมมาก ดูแย่ ตาบวม เขาฟังเราระบายๆๆๆ พูดไปก็ร้องไห้ไป สุดท้ายเขาให้เราหลับตา จินตนาการไปตามที่เขาบอก ให้มองเห็นความสุข สงบ สักพักเราผ่อนคลายขึ้น และเราก็นัดเขาวันรุ่งขึ้นอีกครั้งเพื่อทำทรา๊นซ์อย่างเต็มรูปแบบ
วันรุ่งขึ้นเราขับรถไปหาญาติคนนี้ ทำแบบสอบถามต่างๆ เพื่อประเมิณภาวะจิตใจ พอเข้าสู่ทร๊านซ์เราคิดว่าเราไม่ได้ลงลึกเพราะเป็นคนจิตแข็งอยู่แล้ว นอนหลับยากมาก แต่ก็จิตนการไปตามที่เขาบอก วิธีที่เขาทำให้ เขาจะไม่ได้ชี้นำหรือตัดสินใจแทนเรา แต่เขาทำให้เราเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น มองเห็นและยอมรับกับมัน และอยู่กับมันให้ได้เพราะความเข้าใจ หลังจากออกจากทร๊านซ์แล้ว เราสบายใจขึ้นแต่ยังบอกไม่ได้ว่าเราหลุดแล้วหรือยัง วันรุ่งขึ้นมีบางสิ่งเปลี่ยนแปลงที่ตัวเรา เรานิ่ง เราสงบ เรายังจำทุกเรื่องราวได้ เพราะความทรงจำไม่ได้ถูกลบออกไป เราพยายามนึกถึงอารมณ์เมื่อวานตอนเราเจ็บปวด ร้องไห้ฟูมฟาย แต่ทำไมวันนี้เราร้องไม่ออก เหมือนจะร้องไม่เป็นแล้วทั้งๆที่ร้องมาหลายอาทิตย์ เหมือนอย่างที่ญาติเราบอก เรายังจำทุกเรื่องราวได้แต่เราจะไม่เจ็บปวดกับมันเพราะเราจะอยู่แบบเข้าใจมัน เราดีใจที่เราข้ามผ่านมันมาได้แล้วโดยที่ใช้เวลาไม่นานกับการฟื้นฟูจิตใจ
แต่ มันยังไม่จบ อีกสองวันถัดมา เรานัดญาติให้ทำทร๊านซ์ให้เราอีกรอบเพราะเรายังกลัวว่ามันจะกลับมาเศร้าอีกเราอยากมั่นใจว่าเราเคลียร์ทุกอย่างได้หมดจริงๆ ทั้งๆที่วันนั้นเราดีขึ้นเยอะแล้ว ร่าเริง พูดคุยเล่นได้ การทร๊านซ์ครั้งที่สอง เราทำมันพังเอง เพราะเราคิดว่าเราเป็นคนดีมีเหตุผล ไม่เจ้าอารมณ์เหมือนที่ผ่านมาแล้ว ในทร๊านซ์เรากลับไปเลือกแบบที่จะไม่ปล่อยเขาไป เราอยากให้เขามาเห็นเราคนใหม่ อยากให้เขากลับมาหาเรา ผลลัพธ์ที่ได้ พังสิคะ กลับไปอยู่สภาพเดิม โทรหาเขา อยากให้เขากลับมาแต่เขาปฏิเสธ เสียใจแบบเดิมเลย กลับไปถามญาติเขาบอกว่าเพราะเราเลือกเอง เห็นผลลัพธืหรือยัง เราทรมานค่ะ บอกเขาว่าขออีกรอบเอาแบบทีเดียวจบนะ
ครั้งที่สาม ในทร๊านซ์เราโกรธตัวเอง ไม่ให้อภัยตัวเองที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้ทุกอย่างมันจบแบบนี้ โค้ช (ญาติ) พยายามบอกให้เรายกโทษให้ตัวเอง เราร้องไห้ เราไม่ยกโทษ โค้ชจะมีวิธีพูดให้เราเข้าใจ ชักจูง และสุดท้ายยอมรับกับมัน เรายอมให้อภัยตัวเองและยอมอนุญาตให้ตัวเองในอดีตมาอยู่เป็นเพื่อนกับเราในปัจจุบันโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีใครก็ได้ เราสามารถไปไหนมาไหนกับตัวเองโดยไม่เหงา ไม่เดียวดาย ไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว
สิ่งที่เราอยากมาแชร์ เราคิดว่าการบำบัดรูปแบบนี้เป็นสิ่งใหม่ และรู้จักกันในวงจำกัด เราเองยังตัดสินใจตั้งนานกว่าจะยอมทำ เพราะเราไม่อยากให้ใครมารู้เรื่องส่วนตัว ไม่อยากให้ใครมาเห็นเราในรูปแบบที่อ่อนแอ เราเสริจข้อมูลต่างๆ จนตอนแรกกะจะไปหาจิตแพทย์แต่เราไม่อยากกินยาเพราะมันมีผลข้างเคียง จนในที่สุดเรายอมใช้วิธีนี้ และวันนี้เรามีตัวเราเองเป็นเพื่อน และมองอดีตแบบเข้าใจแต่ไม่เจ็บปวด ในทร๊านซ์สอนให้เราเรียนรู้และได้บทเรียนกับนิสัยแย่ๆของเรา ทร๊านซ์ไม่ใช้รักษาแค่คนอกหักแบบเรานะ มันสามารถรักษาจิตใจของคนในหลายๆสภาวะได้ ความเกลียด ความกลัว ความผิดหวัง ความทุกข์แบบที่หาคำตอบด้วยตัวเองไม่ได้ หวังว่าเรื่องเล่าของเราอาจจะพอเป็นแสงสว่างให้กับทุกๆคนที่อ่านได้นะคะ