เครดิต เอามาจาก
http://what998.blogspot.com/2014/07/timeline-2.html
http://www.sookjai.com/index.php?topic=43576.0;wap2
ในรัชกาลสมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์หรือ พระเจ้าเอกทัศ พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๓๓ พระองค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา
ดังจะกล่าวต่อไปนี้นับเป็นการเสียกรุงครั้งที่ ๒ และเป็นครั้งสุดท้ายแห่งราชธานีกรุงศรีอยุธยา
ลางนิมิตบอกเหตุเสียกรุง
ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับ สมเด็จพระพนรัตน์ กล่าวเหตุการณ์ไว้ว่า
พม่าล้อมกรุงอยู่ครั้งนั้นนานถึงสองปีเศษ ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยอาสาออกรบแตกยับเยินเข้ามา ในที่สุดขุนนางจีน
ขุนนางแขก ขุนนางฝรั่ง ขุนนางมอญ ขุนนางลาว และนายโจร นายซ่อง ก็ชวนกันออกอาสาตีกองทัพพม่า
ที่ล้อมกรุงทั้งแปดทิศก็มิได้ชนะ พม่ากลับฆ่าฟันล้มตายแตกเข้ามาทั้งสิ้นด้วยอายุแผ่นดินกรุงพระนครศรีอยุธยา
ถึงกาลขาด จึ่งอาเพศให้เห็นประหลาดเป็นนิมิต
• พระประธานวัดเจ้าพระนางเชิง น้ำพระเนตรไหลลงมาจากพระนาภี
• วัดพระศรีสรรเพชญ์นั้น พระบรมไตรโลกนารถพระอุระแตก ดวงพระเนตรตกลงมาอยู่ที่ตักเป็นอัศจรรย์
• พระเจดีย์วัดราชบูรณะนั้น กาบินมาเสียบตายอยู่บนปลายยอดโดยอาเพศ
• รูปพระนเรศวรเจ้าโรงแสงใน กระทืบพระบาทสนั่นไปทั้ง ๔ ทิศ
• อากาศก็วิปริตไปต่าง ๆ บอกเหตุบอกลางจะเสียกรุง
ในหนังสือคำให้การชาวกรุงเก่าก็กล่าวถึงอาเพศ เมื่อกรุงศรีอยุธยาจะแตกไว้ว่า
“เมื่อใกล้จะเสียพระนครศรีอยุธยานั้นเกิดลางร้ายต่าง ๆ คือ
พระพุทธปฏิมากรใหญ่ ที่วัดพนัญเชิง มีน้ำพระเนตรไหล
พระพุทธปฏิมากรติโลกนารถ ซึ่งแกะด้วยไม้พระศรีมหาโพธิ์นั้นพระทรวงแยกออกสองภาค
พระพุทธปฏิมากรทองคำเท่าตัวคนและพระพุทธสุรินทร์ซึ่งหล่อด้วยนาค อันประดิษฐานอยู่ในวัดพระศรีสรรเพชญ์
ในพระราชวังนั้นมีพระฉวีเศร้าหมอง พระเนตรทั้งสองหลุดหล่นลงอยู่บนพระหัตถ์
มีกาสองตัวตีกันตัวหนึ่งบินโผลงตรงยอดพระเจดีย์เหมือนดังคนจับเสียบไว้
เทวรูปพระนเรศวรนั้นมีน้ำพระเนตรไหลและเปล่งศัพท์สำเนียงเสียงอันดัง
อสนีบาตตกลงหลายครั้งหลายหน
พระราชวงศานุวงศ์ข้าราชการก็ไม่ตั้งอยู่ในสัจธรรม สำแดงเหตุที่จะเสียพระนครศรีอยุธยาหลายอย่างหลายประการดังกล่าวมาแล้วเบื้องต้น”
สายโลหิต คืนนี้กรุงศรีแตกแล้ว ลางบอกเหตุ และ Timeline เพื่อความเข้าใจก่อนดู
http://www.sookjai.com/index.php?topic=43576.0;wap2
ในรัชกาลสมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์หรือ พระเจ้าเอกทัศ พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๓๓ พระองค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา
ดังจะกล่าวต่อไปนี้นับเป็นการเสียกรุงครั้งที่ ๒ และเป็นครั้งสุดท้ายแห่งราชธานีกรุงศรีอยุธยา
ลางนิมิตบอกเหตุเสียกรุง
ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับ สมเด็จพระพนรัตน์ กล่าวเหตุการณ์ไว้ว่า
พม่าล้อมกรุงอยู่ครั้งนั้นนานถึงสองปีเศษ ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยอาสาออกรบแตกยับเยินเข้ามา ในที่สุดขุนนางจีน
ขุนนางแขก ขุนนางฝรั่ง ขุนนางมอญ ขุนนางลาว และนายโจร นายซ่อง ก็ชวนกันออกอาสาตีกองทัพพม่า
ที่ล้อมกรุงทั้งแปดทิศก็มิได้ชนะ พม่ากลับฆ่าฟันล้มตายแตกเข้ามาทั้งสิ้นด้วยอายุแผ่นดินกรุงพระนครศรีอยุธยา
ถึงกาลขาด จึ่งอาเพศให้เห็นประหลาดเป็นนิมิต
• พระประธานวัดเจ้าพระนางเชิง น้ำพระเนตรไหลลงมาจากพระนาภี
• วัดพระศรีสรรเพชญ์นั้น พระบรมไตรโลกนารถพระอุระแตก ดวงพระเนตรตกลงมาอยู่ที่ตักเป็นอัศจรรย์
• พระเจดีย์วัดราชบูรณะนั้น กาบินมาเสียบตายอยู่บนปลายยอดโดยอาเพศ
• รูปพระนเรศวรเจ้าโรงแสงใน กระทืบพระบาทสนั่นไปทั้ง ๔ ทิศ
• อากาศก็วิปริตไปต่าง ๆ บอกเหตุบอกลางจะเสียกรุง
ในหนังสือคำให้การชาวกรุงเก่าก็กล่าวถึงอาเพศ เมื่อกรุงศรีอยุธยาจะแตกไว้ว่า
“เมื่อใกล้จะเสียพระนครศรีอยุธยานั้นเกิดลางร้ายต่าง ๆ คือ
พระพุทธปฏิมากรใหญ่ ที่วัดพนัญเชิง มีน้ำพระเนตรไหล
พระพุทธปฏิมากรติโลกนารถ ซึ่งแกะด้วยไม้พระศรีมหาโพธิ์นั้นพระทรวงแยกออกสองภาค
พระพุทธปฏิมากรทองคำเท่าตัวคนและพระพุทธสุรินทร์ซึ่งหล่อด้วยนาค อันประดิษฐานอยู่ในวัดพระศรีสรรเพชญ์
ในพระราชวังนั้นมีพระฉวีเศร้าหมอง พระเนตรทั้งสองหลุดหล่นลงอยู่บนพระหัตถ์
มีกาสองตัวตีกันตัวหนึ่งบินโผลงตรงยอดพระเจดีย์เหมือนดังคนจับเสียบไว้
เทวรูปพระนเรศวรนั้นมีน้ำพระเนตรไหลและเปล่งศัพท์สำเนียงเสียงอันดัง
อสนีบาตตกลงหลายครั้งหลายหน
พระราชวงศานุวงศ์ข้าราชการก็ไม่ตั้งอยู่ในสัจธรรม สำแดงเหตุที่จะเสียพระนครศรีอยุธยาหลายอย่างหลายประการดังกล่าวมาแล้วเบื้องต้น”