“ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท, ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม;
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต;
ดูก่อนอานนท์ ! เมื่อเธอถูกถามว่า “ผัสสะที่มีเพราะสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย มีไหม ?”
ดังนี้ เช่นนี้แล้ว, คำตอบ พึงมีว่า “มีอยู่”.
ถ้าเขาพึงกล่าวต่อไปว่า “ผัสสะมี เพราะปัจจัยอะไร ?” ดังนี้แล้ว,
คำตอบพึงมีว่า “ผัสสะมี เพราะปัจจัยคือนามรูป”.
ดูก่อนอานนท์ ! เมื่อเธอถูกถามว่า “นามรูปที่มีเพราะสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัยมีไหม ?”
ดังนี้ เช่นนี้แล้ว, คำตอบพึงมีว่า “มีอยู่”. ถ้าเขาพึงกล่าวต่อไปว่า “นามรูปมี เพราะปัจจัยอะไร ?”
ดังนี้แล้ว, คำตอบพึงมีว่า “นามรูปมี เพราะปัจจัยคือวิญญาณ”.
ดูก่อนอานนท์ ! เมื่อเธอถูกถามว่า “วิญญาณที่มีเพราะสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย มีไหม ? ”
ดังนี้ เช่นนี้แล้ว, คำตอบ พึงมีว่า “มีอยู่”. ถ้าเขาพึงกล่าวต่อไปว่า “วิญญาณมี เพราะปัจจัยอะไร?”
ดังนี้แล้ว, คำตอบพึงมีว่า “วิญญาณมี เพราะปัจจัยคือ นามรูป”.
ดูก่อนอานนท์ ! ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้แล (เรื่องจึงสรุปได้ว่า) วิญญาณมี เพราะปัจจัยคือนามรูป;
นามรูปมี เพราะปัจจัยคือวิญญาณ ; ผัสสะมี เพราะปัจจัยคือ นามรูป; เวทนามีเพราะปัจจัยคือผัสสะ;
ตัณหามี เพราะปัจจัยคือเวทนา; อุปาทานมี เพราะปัจจัยคือตัณหา; ภพมี เพราะปัจจัยคืออุปาทาน;
ชาติมี เพราะปัจจัยคือภพ; ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย เกิดขึ้นพร้อม
เพราะปัจจัยคือ ชาติ : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้ แล.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปย่อมมี.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุที่พระตถาคตทั้งหลาย จะบังเกิดขึ้นก็ตาม,
จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม, ธรรมธาตุนั้น ย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว;
คือความตั้งอยู่แห่งธรรมดา ธัมมัฏฐิตตา), คือความเป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา (ธัมมนิยามตา),
คือความที่ เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น (อิทัปปัจจยตา).
ว่าด้วยผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้นเชื่อว่าเห็นธรรม”;
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต;
ดูก่อนอานนท์ ! เมื่อเธอถูกถามว่า “ผัสสะที่มีเพราะสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย มีไหม ?”
ดังนี้ เช่นนี้แล้ว, คำตอบ พึงมีว่า “มีอยู่”.
ถ้าเขาพึงกล่าวต่อไปว่า “ผัสสะมี เพราะปัจจัยอะไร ?” ดังนี้แล้ว,
คำตอบพึงมีว่า “ผัสสะมี เพราะปัจจัยคือนามรูป”.
ดูก่อนอานนท์ ! เมื่อเธอถูกถามว่า “นามรูปที่มีเพราะสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัยมีไหม ?”
ดังนี้ เช่นนี้แล้ว, คำตอบพึงมีว่า “มีอยู่”. ถ้าเขาพึงกล่าวต่อไปว่า “นามรูปมี เพราะปัจจัยอะไร ?”
ดังนี้แล้ว, คำตอบพึงมีว่า “นามรูปมี เพราะปัจจัยคือวิญญาณ”.
ดูก่อนอานนท์ ! เมื่อเธอถูกถามว่า “วิญญาณที่มีเพราะสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย มีไหม ? ”
ดังนี้ เช่นนี้แล้ว, คำตอบ พึงมีว่า “มีอยู่”. ถ้าเขาพึงกล่าวต่อไปว่า “วิญญาณมี เพราะปัจจัยอะไร?”
ดังนี้แล้ว, คำตอบพึงมีว่า “วิญญาณมี เพราะปัจจัยคือ นามรูป”.
ดูก่อนอานนท์ ! ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้แล (เรื่องจึงสรุปได้ว่า) วิญญาณมี เพราะปัจจัยคือนามรูป;
นามรูปมี เพราะปัจจัยคือวิญญาณ ; ผัสสะมี เพราะปัจจัยคือ นามรูป; เวทนามีเพราะปัจจัยคือผัสสะ;
ตัณหามี เพราะปัจจัยคือเวทนา; อุปาทานมี เพราะปัจจัยคือตัณหา; ภพมี เพราะปัจจัยคืออุปาทาน;
ชาติมี เพราะปัจจัยคือภพ; ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย เกิดขึ้นพร้อม
เพราะปัจจัยคือ ชาติ : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้ แล.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปย่อมมี.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุที่พระตถาคตทั้งหลาย จะบังเกิดขึ้นก็ตาม,
จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม, ธรรมธาตุนั้น ย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว;
คือความตั้งอยู่แห่งธรรมดา ธัมมัฏฐิตตา), คือความเป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา (ธัมมนิยามตา),
คือความที่ เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น (อิทัปปัจจยตา).