(แชร์ประสบการณ์) มนุษย์เงินเดือนลาออก เพื่อเป็นนายตัวเอง กับความร้อนรุ่มในใจ

ผมนั่งอ่านกระทู้มานานแล้วครับ ตอนนี้ผมตัดสินใจแชร์ประสบการณ์ของผมบ้าง เพื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆบ้าง ไม่มากก็น้อย อาจยาวหน่อย แนะนำติชมได้นะครับ
     ตอนนี้ผมอายุ 31 ปี ยังต้องดิ้นรน พร้อมบริษัทที่ต้องดูแล 2 แห่งที่ยังต้องดิ้นรนพอกัน บางเดือนรับเงินเป็นล้าน แต่รายจ่ายก็เป็นล้าน เหลือเงินไม่กี่พัน 555ร้องไห้ เรื่องเศร้าๆ เล่าแล้วมันส์ เริ่มกันเลยครับ

     หลังจากที่จบมหาลัยเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง แถวหัวหมาก สายการตลาด ผมก็ทำงานกินเงินเดือน ชีวิตเรียบง่ายครับชอบมาก เช้ารถเมล์ไปทำงาน เย็นเตะบอล ดึกดื่มเบียร์ เสาร์อาทิตย์เที่ยวต่างจังหวัด

     แล้วโอกาสก็ผ่านมา ทางบ้านผมทำธุรกิจหลายประเภท หนึ่งในนั้นเกี่ยวกับจักรเย็บผ้า ผมเล็งเห็นการทำเงินแบบง่ายๆ ยิ้ม ผมจึงตั้งใจเข้าทำงานที่บริษัท ผลิต ซิป ด้าย กระดุม หรือ อุปกรณ์ ที่เกี่ยวข้องกับการตัดเย็บนั่นล่ะครับ ช่วงที่ทำงานตอนนั้น ยอดขายดีมากเพราะผมขายคู่กับจักรไปเลย ลูกต้ามีทั้งโรงงาน และหน่วยราชการ นั่งยิ้มสิครับรออะไร ชีวิตดีมาก ขายคล่องสุดๆ
      ไม่นานนักผมก็เห็นช่องทางการทำเงิน จากการคุยกับลูกค้า สิ่งที่เขาต้องการนั้นคืออะไหล่ของจักรเย็บผ้า ซึ่งหายาก แต่ผมสามรถหาให้ได้จึงเป็นที่มาของการ "ลาออก" จากงานประจำ แล้วกระโดดเข้าสู่กระแสน้ำอันเกรี้ยวกราด ในโลกของธุรกิจ ซึ่งเปลี่ยนแนวคิดผมไปตลอดกาลบร๊ะเจ้าโจ๊ก

โลกของธุรกิจไม่ง่ายอย่างที่คิด
แต่ก็ไม่ยากเกินความพยายาม ผมเริ่มต้นด้วยเงินกู้ รีไฟแนนซ์คอนโดที่ผมซื้อไว้ ช่วงที่ยังทำงาน และเงินเก็บอีกนิดหน่อยเพื่อเริ่มลงทุน บริษัทตั้งใหม่ๆตอนนั้นมีไม่กี่ตำแหน่งครับ
กรรมการผู้จัดการ ผมและน้องแท้ๆอีก 2 คน
ผู้จัดการ ผม
บัญชี ผม
พนักงานขาย ผม
พนักงานส่งของ ผม
เช็คสต็อค ผม
ลูกค้าสัมพันธ์ ผม
ฝ่ายบุคคล ผม
เปิดบริษัทมา ทำนามบัตรไว้ 7 แบบชื่อเดียวกัน แต่เปลี่ยนตำแหน่ง เยี่ยม
หนี้ก้อนนี้กลายเป็นตัวผลักดันผมซะนี่


ขยายธุรกิจ
ช่วงที่ผมขยาย ผมขับรถทั่วประเทศ เหนือ ใต้ ออก ตก ไปครบ เพื่อเปิดตัวแทนจังหวัดละ 1 ที่ เจอมาสารพัดครับ รถดับคาเท้าเลยก็มี ยางแตกยางรั่วตอนวิ่งต่างจังหวัดจนเคยชิน บางทีหลงทางจนไปไกล โผล่อีกทีเห็นริมฝั่งโขง ค่ำไหนนอนนั่น พกพระไปเป็นตระกร้า เพราะกลัวผี 555 วันวันนึงรับเช็คเป็นแสน แต่รายจ่ายก็วิ่งตามเป็นหางว่าว มีช่วงนึงปัญหาการเมือง ผมเหลือกำไรอยู่ 472 บาท โอ้วแม่เจ้า! ผมกำเงิน 472 บาทไปซื้อมาม่าใส่ท้ายรถไว้ 2 ลัง กับไข่แผงนึง แล้วถามตัวเองว่า ทำอะไรอยู่วะเนี่ย ดีนะได้เพลง ความเชื่อ ของพี่ตูนช่วยไว้ไม่งั้น เลิกไปนานละ ตอนนั้นน้ำตาซึมเกือบทุกวัน แต่กัดฟันไปต่อ

สร้างฐานที่มั่น
ผมปักหลักที่ จังหวัดนครราชสีมา เพื่อเป็นศูนย์กระจายสินค้า เพราะลูกค้าทางภาคอิสานเยอะมาก ไม่นานนักผมจึงตัดสินใจเข้าไปเปิดบนห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัด แต่ก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น
"ลูกน้องทะเลาะกัน" กลางห้างเลย เกิดจากการที่ผมไม่มีประสบการณการคุมลูกน้อง ทำให้บริษัทผมถูกเพ่งเล็ง จากนั้นไม่นานก็จำเป็นต้องออกจากห้างนั้น และนี่คือจุดเริ่มต้นของจุดจบ เพราะผมเสียลูกน้องมือดีไปถึง 2 คน ตอนเกิดเรื่อง ตัวนี่สั่นไปหมด ตอนนั้นอยากจะกรี๊ดดังๆ ทุบโต๊ะสัก 10 ที แล้วไปโดดบันจี้จั้มป์ เพราะธุรกิจกำลังไปได้ดี แต่เกิดสิ่งไม่คาดคิดขึ้น

ยอดตก!
หลังการเสียลูกน้องไปส่งผลให้ยอดขายไม่ได้อย่างที่เคย บวกกับ บริษัทคู่ค้าที่เป็นซัพพลายเออร์เริ่มงอแงกับราคาที่ผมเจรจาไว้ จึงเกิดการขึ้นราคาสินค้า ซึ่งกระทบออกไปเป็นวงกว้าง สุดท้ายผมก็ทนแบกต้นทุนไม่ไหว เพราะต้องส่งที่ราคาเดิมเนื่องจากคู่แข่งเริ่มเยอะขึ้น จำเป็นต้องเลิกกิจการไปในที่สุด ซึ่งเกิดจากการซื้อขายโดยไม่มีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร และ การที่เราไม่หาซัพพลายเออร์เจ้าสำรอง อีกทั้งยัง ขาดประสบการณ์ (ตอนนั้นผมอายุ 26)

เป็นประสบการณที่มาบอกเล่าเพื่อช่วยเป็นกำลังใจ ผู้ที่กำลังตัดสินใจเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตนะครับ คุณไม่ได้เจ๊ง หรือ เหนื่อย เพียงลำพัง

พยายามสรุปให้สั้นที่สุดครับ เพราะผมยังไม่ใช่แจ๊ค หม่า

ลาก่อนชีวิตลั้ลลา

จบภาคจักรเย็บผ้าครับ
ภาค 2 เปิดร้านกาแฟ 3 สาขา http://ppantip.com/topic/35836241

เพิ่มภาพประกอบครับ กว่าจะขุดหามาได้ แต่ก่อนไม่ค่อยได้ถ่ายเก็บไว้ครับ เพราะไม่คิดว่าจะได้ให้ใครดู แต่ตอนนี้ถ้ามันเป็นกำลังใจให้หลายๆคนที่กำลังจะเริ่มต้นได้ก็คุ้มไปขุดออกมาครับ
ขอเซ็นเซอร์ตรายี่ห้อนะครับ กับชื่อบริษัทนะครับ เพราะไม่มีวัถุประสงค์ทางการค้า

เปิดร้านบนห้างสรรพสินค้าครับ ตอนนั้นจัดโปรโมชั่น



สินค้าบางส่วนที่ผมนำเข้ามาขายครับ จากญี่ปุ่น



หลังจากล้มเลิกไปก็ได้เหลือสินค้าจำนวนหนึ่งครับ ซึ่งตอนนี้ก็ยังขายไม่หมด 555+ โดนของจีนตีตลาดยับเลยครับ ของผมสู้ราคาไม่ได้



เปิดออฟฟิตที่ จ.นครราชสีมาครับ ทำแบบบ้านๆ ทุนน้อยๆ ไม่เน้นภาพลักษณ์เพราะไม่นัดใครมาออฟฟิตอยู่แล้วครับ นัดลูกค้าไปที่ห้างอย่างเดียว เพราะภาพลักษณ์ดูน่าเชื่อถือ

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่