เมื่อหลายเดือนก่อน ตั้งใจลดน้ำหนักอย่างจริงจัง เลยหันมาสนใจพวก gadget เพื่อสุขภาพ
หนึ่งใน wish list คือ นาฬิกานับก้าว พอหาข้อมูลไปมา มันก็มีให้เลือกใช้อยู่หลายรุ่น
แต่เตะตากับดีไซน์ และชื่อเสียงของแบรนด์อย่าง Fitbit ประจวบเหมาะที่เขาเพิ่งปล่อยรุ่น Blaze ออกมาใหม่
หน้าจอมีสีสันสวยงาม แถมยังเปลี่ยน accessories ทั้งหน้ากาก และสายเป็นแบบต่างๆได้หลากหลาย
ไม่ว่าจะเป็นสายหนังแบบคลาสสิก สายเหล็กแบบโมเดิร์น หรือสายซิลิโคนแบบสปอร์ตก็มีให้เลือกหลายสี
แถมยังมีการเตือนสายโทรเข้า เตือนเวลามีอีเมลและข้อความ (ยังไม่รองรับ text ภาษาไทยนะ)
เลยตกลงปลงใจ เอาล่ะ รุ่นนี้ล่ะกัน Fitbit Blaze
ถัดจากเรื่องหน้าตา คราวนี้มาถึงเรื่องประสิทธิภาพ
หลังจากใช้งานมาหลายสัปดาห์ ... บอกเลยว่า นี่มันไม่ใช่นาฬิกาหรือเครื่องนับก้าวที่เอาไว้ใส่เท่ๆ แต่มันเป็น เทรนเนอร์ประจำตัวแบบ 24 ชั่วโมงเลยนะ
จับอัตราการเต้นของหัวใจได้
ตอนแรกที่คิดจะซื้อเครื่องนับก้าว ก็ชั่งใจอยู่นานว่าจะเอาแบบวัดอัตราการเต้นของหัวใจ หรือ Heart Rate (HR) ได้ดีหรือเปล่า เพราะความแตกต่างของการมีที่วัด HR และไม่มีคือ
ราคา
แต่เอาเข้าจริงๆ ขอเชียร์เลยนะ ว่าถ้าอยากจะซื้ออุปกรณ์ประเภทนี้มาใช้งานจริง เลือกแบบที่วัด HR ได้เถอะ
เพราะมันมีประโยชน์มาก เมื่อเราเอาไปใช้งานจริง โดยเฉพาะเวลาเราออกกำลังกาย มันจะช่วยให้เราประเมินสมรรถภาพตัวเองได้
อย่างเวลาวิ่งหนักๆ หรือออกกำลังกายแบบ Hit เราจะรู้ได้เลยจากหน้าจอ ว่า HR ของเราพุ่งปรี๊ดเกินไปหรือไม่
สำหรับ Fitbit Blaze ยังมีการวัดสิ่งที่เรียกว่า Resting Heart Rate หรือเป็นอัตราการเต้นของหัวใจในยามพักผ่อน
ซึ่งตัวนี้แหละ สะท้อนให้เห็นถึงสุขภาพที่ดีของหัวใจของเราว่าในยามปกติ หัวใจของเราใช้กำลังในการเต้นมากน้อยแค่ไหน เขา(สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา)บอกว่าคนสุขภาพดี จะมี Resting Heart Rate ที่ต่ำ เท่ากับว่าหัวใจไม่ต้องทำงานหนัก
ซึ่งจุดนี้ ได้พิสูจน์ด้วยตัวเองมาแล้ว ตอนเริ่มใช้ใหม่ๆ Resting Heart Rate ของตัวเอง อยู่ที่ 70 - 80 กว่า (เป็นคนอ้วนมาก BMI 30 +ในตอนนั้น) แต่พอหันมาออกกำลังกายทุกวัน ... ปัจจุบัน Resting Heart Rate ลดลงมาเหลือประมาณ 50-55 เท่านั้นเอง
แอปพลิเคชัน Fitbit คำนวณแคลอรี่อัจฉริยะ
สิ่งที่โดดเด่นของ Fitbit ในสายตาของเราคือ เรื่องแอปพลิเคชัน
ไม่ว่าเป้าหมายของเราจะเป็นการลดน้ำหนัก เพิ่มน้ำหนัก หรือ คุมน้ำหนักให้คงที่ เราสามารถกำหนด ให้แอปช่วยเราได้
ในแอปจะมีฟังก์ชั่นให้เราบันทึกอาหารที่กินเข้าไป เพื่อคำนวณแคลอรี่ และบอกเราว่าวันนี้เรากินขาด กินเกิน
กินโปรตีนไปกี่เปอร์เซ็นต์ คาร์บกี่เปอร์เซ็นต์ ไขมันกี่เปอร์เซ็นต์
แถมยังมีฟังก์ชั่นให้สแกนบาร์โค้ดที่กล่องอาหาร แล้วแคลอรี่เด้งขึ้นมาเลยอีกด้วย (เฉพาะ food database ของอาหารที่มาจากอเมริกานะ) ของไทยเราก็ใช้วิธีใส่ข้อมูลโภชนาการแบบ manual เอาเอง ตอนแรกๆ ของเราเอาขั้นจริงจัง ขนาดชั่ง ตวง วัดอาหารกันเลยทีเดียว หลังๆมานี่ก็กะๆเอา
การคำนวณแคลมีประโยชน์สำหรับการควบคุมน้ำหนัก เพราะไม่น่าเชื่อว่าอาหารบางอย่างที่เราคิดว่าไม่น่าอ้วน เช่น ถั่วลิสง เอาจริงๆ พลังงานสูงมากเลย
จะบอกว่า แอปคำนวณแคลของ Fitbit นี่แหละ ที่ทำให้เรากระจ่างใจว่าทำไมแต่ก่อนเราถึงอ้วน เพราะหากเราไม่ออกกำลังกายเลย วันๆ หนึ่งเราเบิร์นเต็มที่ก็คงไม่เกิน 1600 - 1800 แต่ล่อกินเข้าไปสัก 2,500 เป็นอย่างต่ำ จะไม่อ้วนยังไงไหวค๊าาา!
นับชั้นเวลาขึ้นบันได หรือขึ้นเนิน
นับก้าวก็นับได้อยู่แล้ว และขอบอกว่ามาตรการนับก้าวของ Fitbit โกงลำบากมาก
ถ้าคิดว่าแค่สะบัดแขน ก้าวจะขึ้น ของ Fitbit สะบัดยังไงก็ไม่ขึ้นถ้าไม่มีการยกขา เคลื่อนไหวร่างกาย
ที่ชอบคือ บนหน้าจอจะมีบอกด้วยว่า วันนี้ ขึ้นบันไดไปกี่ชั้นแล้ว มันมีกำลังใจให้ฮึดสู้เวลาเดินขึ้นบันได BTS ดีนะ
ที่สนุกคือ Fitbit เขาจะมี Badges หรือเป็นเหรียญสามารถให้เราด้วย มันก็จะมีตั้งแต่ขั้นอนุบาลเมื่อเดินได้ครบ 10 ชั้น จนเป็นร้อยๆชั้น
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ไปเที่ยวดอย เดินขึ้น เดินลงดอยทั้งวัน วันนั้น ได้ Badge Skyscraper เดินครบ 100 ชั้นมาครองสบายๆ
แทร็คการออกกำลังกายหลากหลายชนิด
เลือกได้เลยว่าจะออกกำลังแบบไหน (ยกเว้น ว่ายน้ำ เพราะ Fitbit Blaze จมน้ำไม่ได้นะ)
ข้อดีของ Fitbit Blaze คือพอเรากดเลือกว่าจะเดิน หรือจะวิ่ง เขาจะลิงค์กับ GPS ทำให้เราเห็นเส้นทางที่เราวิ่งหรือเดิน
และพอเสร็จสิ้นการออกกำลังกายแต่ละครั้ง ก็จะมีสรุปให้ดูด้วยว่า การออกกำลังกายครั้งนี้ของเรา เบิร์นไปกี่แคล
เดินหรือวิ่งไปกี่ก้าว อัตราการเต้นของหัวใจโดยเฉลี่ยเท่าไหร่ เป็นโซนคาร์ดิโอ หรือโซนพีคกี่นาที บลาๆ
ทำให้เรารู้สึกฟินทุกครั้งเมื่อออกกำลังกายเสร็จ และเป็นแรงผลักดันให้เราอยากทำลายสถิติของตัวเองอยู่เนืองๆ
เทรนเนอร์ FitStar อยู่กับเรา 24 ชั่วโมง
FitStar น่าจะเป็นลูกเล่นใหม่ล่าสุดของ Fitbit เขาเลยล่ะ
ใครบอกว่าจะออกกำลังกายต้องไป gym อย่างเดียว Fitbit Blaze เขามีฟีเจอร์ที่เรียกว่า FitStar
ที่เป็นเหมือนเทรนเนอร์ให้เราออกกำลังกายได้ทุกเมื่อ
แค่กดเมนู FitStar บนหน้าจอ ที่ข้อมือของเราก็จะมีภาพตัวอย่างการออกกำลังกายท่าต่างๆ ที่ไม่ยากนัก
เช่น ท่ากระโดดตบ ท่า plank หรือ crunches พร้อมกับจับเวลาไปด้วย
เราจะได้ใช้ประโยชน์จากฟีเจอร์นี่ เวลาไปเที่ยว เพราะอาจจะรู้สึกเหนื่อยเกินไปที่จะไป gym
แต่ก็ยังอยากออกกำลังกายอยู่ FitStar สักรอบ ก็จะทำให้รู้สึกสบายตัวขึ้นนะ รอบหนึ่งก็เบิร์นพอแฮ่กอยู่นะ
เตือนการเคลื่อนไหวระหว่างวัน
ลูกเล่นดีงามสำหรับชาวออฟฟิตอีกอย่างของ Fitbit Blaze คือการเตือนระหว่างวันให้เราขยับร่างกายบ้าง
เพราะทุกๆ หนึ่งชั่วโมง หากเราเดินไม่ถึง 250 ก้าว เครื่องจะสั่นเตือนให้เราเดิน พร้อมบอกด้วย ว่าเหลืออีกกี่ก้าวต้องเดินให้ครบ
แล้วทำไมต้อง 250 ก้าว ? เขาบอกว่า 250 ก้าวจะเท่ากับการเดินสักสองสามนาที ซึ่งการขยับร่างบ้าง จะดีต่อสุขภาพของเราเอง
แทร็คการนอน
สุขภาพที่ดี ไม่ได้อยู่ที่การกิน หรือออกกำลังกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการนอนด้วย
หากเราใส่นอน Fitbit Blaze จะช่วยแทร็คคุณภาพการนอนหลับให้เราด้วย ว่าเรานอนไปกี่ชั่วโมง มีกระสับกระส่าย หรือมีลุกตื่นขึ้นมากลางดึกกี่ครั้ง แล้วก็ยังตั้งปลุกได้ด้วย
สำหรับข้อเสียของ Fitbit Blaze ที่รู้สึกหลังจากใส่มาเดือนกว่าๆ คือยังไม่สามารถใส่อาบน้ำหรือว่ายน้ำได้ และบางครั้งต้องชาร์ตแบตบ่อยๆ อยู่ได้ประมาณ 5 วัน ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคนด้วย
ทั้งนี้ ทั้งนั้น ขอสรุปสั้นๆ ว่า หากกำลังมองหาอุปกรณ์ Fitness device ดีๆสักเครื่อง Fitbit Blaze เป็นอุปกรณ์ที่ควรค่าต่อการไปหามาใส่ เป็นการเพิ่มสีสันให้กับการออกกำลังกาย และก็มีประโยชน์ในแง่ของการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร
เมื่อหลายเดือนก่อน ได้มีโอกาสไปดูนิทรรศการชื่อว่า "ชนชราแห่งอนาคต" ของ TCDC ในนิทรรศการ มีพูดถึงนาฬิกาตรวจจับการเคลื่อนไหวจำพวกนี้ ไว้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว เขาบอกว่า มันจะเป็นอุปกรณ์ที่เป็นเสมือนแพทย์ประจำตัวของพวกเราทุกคนในอนาคต เมื่อสามารถพัฒนาแอปไปได้เรื่อยๆ อาจถึงขั้นนำข้อมูลจากอัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการเบิร์น หรือการนอนหลับในแต่ละวันไปใช้ในการวินิจฉัยโรคในเบื้องต้นได้ คือมันจะไม่ได้เป็นเพียงนาฬิกานับก้าว แต่จะเป็นเทรนเนอร์ เป็นแพทย์ประตัวที่อยู่กับเราตลอด 24 ชั่วโมงเลยล่ะ
[SR] Fitbit Blaze เครื่องเดียว เหมือนมีเทรนเนอร์ประจำตัว 24/7
หนึ่งใน wish list คือ นาฬิกานับก้าว พอหาข้อมูลไปมา มันก็มีให้เลือกใช้อยู่หลายรุ่น
แต่เตะตากับดีไซน์ และชื่อเสียงของแบรนด์อย่าง Fitbit ประจวบเหมาะที่เขาเพิ่งปล่อยรุ่น Blaze ออกมาใหม่
หน้าจอมีสีสันสวยงาม แถมยังเปลี่ยน accessories ทั้งหน้ากาก และสายเป็นแบบต่างๆได้หลากหลาย
ไม่ว่าจะเป็นสายหนังแบบคลาสสิก สายเหล็กแบบโมเดิร์น หรือสายซิลิโคนแบบสปอร์ตก็มีให้เลือกหลายสี
แถมยังมีการเตือนสายโทรเข้า เตือนเวลามีอีเมลและข้อความ (ยังไม่รองรับ text ภาษาไทยนะ)
เลยตกลงปลงใจ เอาล่ะ รุ่นนี้ล่ะกัน Fitbit Blaze
ถัดจากเรื่องหน้าตา คราวนี้มาถึงเรื่องประสิทธิภาพ
หลังจากใช้งานมาหลายสัปดาห์ ... บอกเลยว่า นี่มันไม่ใช่นาฬิกาหรือเครื่องนับก้าวที่เอาไว้ใส่เท่ๆ แต่มันเป็น เทรนเนอร์ประจำตัวแบบ 24 ชั่วโมงเลยนะ
จับอัตราการเต้นของหัวใจได้
ตอนแรกที่คิดจะซื้อเครื่องนับก้าว ก็ชั่งใจอยู่นานว่าจะเอาแบบวัดอัตราการเต้นของหัวใจ หรือ Heart Rate (HR) ได้ดีหรือเปล่า เพราะความแตกต่างของการมีที่วัด HR และไม่มีคือ ราคา
แต่เอาเข้าจริงๆ ขอเชียร์เลยนะ ว่าถ้าอยากจะซื้ออุปกรณ์ประเภทนี้มาใช้งานจริง เลือกแบบที่วัด HR ได้เถอะ
เพราะมันมีประโยชน์มาก เมื่อเราเอาไปใช้งานจริง โดยเฉพาะเวลาเราออกกำลังกาย มันจะช่วยให้เราประเมินสมรรถภาพตัวเองได้
อย่างเวลาวิ่งหนักๆ หรือออกกำลังกายแบบ Hit เราจะรู้ได้เลยจากหน้าจอ ว่า HR ของเราพุ่งปรี๊ดเกินไปหรือไม่
สำหรับ Fitbit Blaze ยังมีการวัดสิ่งที่เรียกว่า Resting Heart Rate หรือเป็นอัตราการเต้นของหัวใจในยามพักผ่อน
ซึ่งตัวนี้แหละ สะท้อนให้เห็นถึงสุขภาพที่ดีของหัวใจของเราว่าในยามปกติ หัวใจของเราใช้กำลังในการเต้นมากน้อยแค่ไหน เขา(สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา)บอกว่าคนสุขภาพดี จะมี Resting Heart Rate ที่ต่ำ เท่ากับว่าหัวใจไม่ต้องทำงานหนัก
ซึ่งจุดนี้ ได้พิสูจน์ด้วยตัวเองมาแล้ว ตอนเริ่มใช้ใหม่ๆ Resting Heart Rate ของตัวเอง อยู่ที่ 70 - 80 กว่า (เป็นคนอ้วนมาก BMI 30 +ในตอนนั้น) แต่พอหันมาออกกำลังกายทุกวัน ... ปัจจุบัน Resting Heart Rate ลดลงมาเหลือประมาณ 50-55 เท่านั้นเอง
แอปพลิเคชัน Fitbit คำนวณแคลอรี่อัจฉริยะ
สิ่งที่โดดเด่นของ Fitbit ในสายตาของเราคือ เรื่องแอปพลิเคชัน
ไม่ว่าเป้าหมายของเราจะเป็นการลดน้ำหนัก เพิ่มน้ำหนัก หรือ คุมน้ำหนักให้คงที่ เราสามารถกำหนด ให้แอปช่วยเราได้
ในแอปจะมีฟังก์ชั่นให้เราบันทึกอาหารที่กินเข้าไป เพื่อคำนวณแคลอรี่ และบอกเราว่าวันนี้เรากินขาด กินเกิน
กินโปรตีนไปกี่เปอร์เซ็นต์ คาร์บกี่เปอร์เซ็นต์ ไขมันกี่เปอร์เซ็นต์
แถมยังมีฟังก์ชั่นให้สแกนบาร์โค้ดที่กล่องอาหาร แล้วแคลอรี่เด้งขึ้นมาเลยอีกด้วย (เฉพาะ food database ของอาหารที่มาจากอเมริกานะ) ของไทยเราก็ใช้วิธีใส่ข้อมูลโภชนาการแบบ manual เอาเอง ตอนแรกๆ ของเราเอาขั้นจริงจัง ขนาดชั่ง ตวง วัดอาหารกันเลยทีเดียว หลังๆมานี่ก็กะๆเอา
การคำนวณแคลมีประโยชน์สำหรับการควบคุมน้ำหนัก เพราะไม่น่าเชื่อว่าอาหารบางอย่างที่เราคิดว่าไม่น่าอ้วน เช่น ถั่วลิสง เอาจริงๆ พลังงานสูงมากเลย
จะบอกว่า แอปคำนวณแคลของ Fitbit นี่แหละ ที่ทำให้เรากระจ่างใจว่าทำไมแต่ก่อนเราถึงอ้วน เพราะหากเราไม่ออกกำลังกายเลย วันๆ หนึ่งเราเบิร์นเต็มที่ก็คงไม่เกิน 1600 - 1800 แต่ล่อกินเข้าไปสัก 2,500 เป็นอย่างต่ำ จะไม่อ้วนยังไงไหวค๊าาา!
นับชั้นเวลาขึ้นบันได หรือขึ้นเนิน
นับก้าวก็นับได้อยู่แล้ว และขอบอกว่ามาตรการนับก้าวของ Fitbit โกงลำบากมาก
ถ้าคิดว่าแค่สะบัดแขน ก้าวจะขึ้น ของ Fitbit สะบัดยังไงก็ไม่ขึ้นถ้าไม่มีการยกขา เคลื่อนไหวร่างกาย
ที่ชอบคือ บนหน้าจอจะมีบอกด้วยว่า วันนี้ ขึ้นบันไดไปกี่ชั้นแล้ว มันมีกำลังใจให้ฮึดสู้เวลาเดินขึ้นบันได BTS ดีนะ
ที่สนุกคือ Fitbit เขาจะมี Badges หรือเป็นเหรียญสามารถให้เราด้วย มันก็จะมีตั้งแต่ขั้นอนุบาลเมื่อเดินได้ครบ 10 ชั้น จนเป็นร้อยๆชั้น
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ไปเที่ยวดอย เดินขึ้น เดินลงดอยทั้งวัน วันนั้น ได้ Badge Skyscraper เดินครบ 100 ชั้นมาครองสบายๆ
แทร็คการออกกำลังกายหลากหลายชนิด
เลือกได้เลยว่าจะออกกำลังแบบไหน (ยกเว้น ว่ายน้ำ เพราะ Fitbit Blaze จมน้ำไม่ได้นะ)
ข้อดีของ Fitbit Blaze คือพอเรากดเลือกว่าจะเดิน หรือจะวิ่ง เขาจะลิงค์กับ GPS ทำให้เราเห็นเส้นทางที่เราวิ่งหรือเดิน
และพอเสร็จสิ้นการออกกำลังกายแต่ละครั้ง ก็จะมีสรุปให้ดูด้วยว่า การออกกำลังกายครั้งนี้ของเรา เบิร์นไปกี่แคล
เดินหรือวิ่งไปกี่ก้าว อัตราการเต้นของหัวใจโดยเฉลี่ยเท่าไหร่ เป็นโซนคาร์ดิโอ หรือโซนพีคกี่นาที บลาๆ
ทำให้เรารู้สึกฟินทุกครั้งเมื่อออกกำลังกายเสร็จ และเป็นแรงผลักดันให้เราอยากทำลายสถิติของตัวเองอยู่เนืองๆ
เทรนเนอร์ FitStar อยู่กับเรา 24 ชั่วโมง
FitStar น่าจะเป็นลูกเล่นใหม่ล่าสุดของ Fitbit เขาเลยล่ะ
ใครบอกว่าจะออกกำลังกายต้องไป gym อย่างเดียว Fitbit Blaze เขามีฟีเจอร์ที่เรียกว่า FitStar
ที่เป็นเหมือนเทรนเนอร์ให้เราออกกำลังกายได้ทุกเมื่อ
แค่กดเมนู FitStar บนหน้าจอ ที่ข้อมือของเราก็จะมีภาพตัวอย่างการออกกำลังกายท่าต่างๆ ที่ไม่ยากนัก
เช่น ท่ากระโดดตบ ท่า plank หรือ crunches พร้อมกับจับเวลาไปด้วย
เราจะได้ใช้ประโยชน์จากฟีเจอร์นี่ เวลาไปเที่ยว เพราะอาจจะรู้สึกเหนื่อยเกินไปที่จะไป gym
แต่ก็ยังอยากออกกำลังกายอยู่ FitStar สักรอบ ก็จะทำให้รู้สึกสบายตัวขึ้นนะ รอบหนึ่งก็เบิร์นพอแฮ่กอยู่นะ
เตือนการเคลื่อนไหวระหว่างวัน
ลูกเล่นดีงามสำหรับชาวออฟฟิตอีกอย่างของ Fitbit Blaze คือการเตือนระหว่างวันให้เราขยับร่างกายบ้าง
เพราะทุกๆ หนึ่งชั่วโมง หากเราเดินไม่ถึง 250 ก้าว เครื่องจะสั่นเตือนให้เราเดิน พร้อมบอกด้วย ว่าเหลืออีกกี่ก้าวต้องเดินให้ครบ
แล้วทำไมต้อง 250 ก้าว ? เขาบอกว่า 250 ก้าวจะเท่ากับการเดินสักสองสามนาที ซึ่งการขยับร่างบ้าง จะดีต่อสุขภาพของเราเอง
แทร็คการนอน
สุขภาพที่ดี ไม่ได้อยู่ที่การกิน หรือออกกำลังกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการนอนด้วย
หากเราใส่นอน Fitbit Blaze จะช่วยแทร็คคุณภาพการนอนหลับให้เราด้วย ว่าเรานอนไปกี่ชั่วโมง มีกระสับกระส่าย หรือมีลุกตื่นขึ้นมากลางดึกกี่ครั้ง แล้วก็ยังตั้งปลุกได้ด้วย
สำหรับข้อเสียของ Fitbit Blaze ที่รู้สึกหลังจากใส่มาเดือนกว่าๆ คือยังไม่สามารถใส่อาบน้ำหรือว่ายน้ำได้ และบางครั้งต้องชาร์ตแบตบ่อยๆ อยู่ได้ประมาณ 5 วัน ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคนด้วย
ทั้งนี้ ทั้งนั้น ขอสรุปสั้นๆ ว่า หากกำลังมองหาอุปกรณ์ Fitness device ดีๆสักเครื่อง Fitbit Blaze เป็นอุปกรณ์ที่ควรค่าต่อการไปหามาใส่ เป็นการเพิ่มสีสันให้กับการออกกำลังกาย และก็มีประโยชน์ในแง่ของการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร
เมื่อหลายเดือนก่อน ได้มีโอกาสไปดูนิทรรศการชื่อว่า "ชนชราแห่งอนาคต" ของ TCDC ในนิทรรศการ มีพูดถึงนาฬิกาตรวจจับการเคลื่อนไหวจำพวกนี้ ไว้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว เขาบอกว่า มันจะเป็นอุปกรณ์ที่เป็นเสมือนแพทย์ประจำตัวของพวกเราทุกคนในอนาคต เมื่อสามารถพัฒนาแอปไปได้เรื่อยๆ อาจถึงขั้นนำข้อมูลจากอัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการเบิร์น หรือการนอนหลับในแต่ละวันไปใช้ในการวินิจฉัยโรคในเบื้องต้นได้ คือมันจะไม่ได้เป็นเพียงนาฬิกานับก้าว แต่จะเป็นเทรนเนอร์ เป็นแพทย์ประตัวที่อยู่กับเราตลอด 24 ชั่วโมงเลยล่ะ