กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่จะแบ่งปันประสบการณ์การเดินทางไปเที่ยวหมู่บ้านคลองวาฬ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางตามรอยรายการที่นำเสนอวิถีชีวิตของชาวคลองวาฬที่พวกเราทีมทุยเที่ยวไทย(ชื่อทีมตั้งจากประสบการณ์การเดินทางที่ไม่ว่าจะไปไหนก็หลงทุกครั้ง) มีโอกาสได้ดูและเกิดสนใจหมู่บ้านนี้ขึ้นมา หมู่บ้านคลองวาฬเป็นหมูบ้านชาวประมงที่ยังสมบูรณ์อยู่มากที่หนึ่ง พวกเราเด็กต่างจังหวัดที่บ้านไม่ได้ติดทะเลจึงอยากไปสัมผัสวิถีชีวิตของชาวประมง ทริปการเดินทาง 2 วัน 1 คืน ณ คลองวาฬ จึงเริ่มขึ้น...
พวกเราทีมทุยเที่ยวไทยซึ่งประกอบไปด้วย 3 สาวสุดชิคและ 2 ชายหนุ่มสุดติสท์ เมื่อเคลียร์เวลาได้ลงตัวแล้ววันนัดพบก็มาถึง นัดกันตีห้าครึ่งเพื่อออกเดินทางแต่แน่นอนเวลาก็เป็นเพียงตัวเลขจะสนใจไปไยสุดท้ายสมาชิกมาครบตอนหกโมงสิบนาที ได้ออกเดินทางกัน 06.30 น. การเดินทางนี้เราขับรถกันไปเองตามประสาผู้ชำนาญเส้นทางไปเหนือล่องใต้ (เหรอ 555) ขับรถออกไปยังไม่พ้น 5 กิโลเมตรก็หลงกันแล้วค่ะ ใครๆก็บอกขับรถในกรุงเทพขับยากขับหลงครั้งหนึ่งกลับรถไกลตลอดไป 555 อันนี้จริงมากค่ะ เลี้ยวผิดชีวิตเปลี่ยน จริงๆแล้วการเที่ยวครั้งนี้เป็นการขับรถไปเที่ยวครั้งแรกของพวกเราค่ะ ปกติเวลาไปไหนก็มีคนขับรถ(สาธารณะ55) ขับไปให้การไม่รู้ทางก็ยังไม่เดือดร้อนเท่าไหร่ แต่ขับรถไปเองแบบไม่รู้ทางก็เหมือนท่องไปในโลกกว้างเลยค่ะ โชคยังดีที่พวกเรามี GPS ในโทรศัพท์นำทางค่ะ 555
เดินทางกันไปเรื่อยๆน้ำย่อยในกระเพาะก็เริ่มทำงานค่ะด้วยความที่นัดกันเช้ามากเลยยังไม่มีใครได้กินข้าวเช้าพวกเราจึงแวะทานอาหารเช้ากันที่ร้านอาหารในจังหวัดเพชรบุรี “ร้านตาโต” ซึ่งถ้าขับรถผ่านจะมีป้ายบอกร้านจะอยู่ทางซ้ายมือเลยค่ะ เป็นร้านที่มีข้าวราดแกง กับข้าวเยอะมากค่ะเลือกกินไม่ถูกกันเลยทีเดียว แต่ขนาดเลือกไม่ถูกก็ยังได้มาขนาดนี้เลยค่ะ 55
เมื่อหนังท้องตึงแล้วเราก็ไปต่อได้ค่ะจริงๆแล้วทางไปก็ไม่ยากเลยค่ะ มีป้ายบอกตลอดทางอาจจะต้องดู GPS บ้างตอนช่วงทางแยก หรือหากใครอยากไปแต่ไม่อยากขับรถไปเองก็มีรถตู้สายกรุงเทพ-คลองวาฬซึ่งตอนนี้ย้ายจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไปอยู่ที่สายใต้เก่าแล้วค่ะ ค่ารถก็คนละ 240 บาท ไปถึงหมู่บ้านคลองวาฬเลยค่ะ
ประมาณ 11.30 น. ในที่สุดเราก็มาถึงกันแล้วหมู่บ้านคลองวาฬ ถ้านับเวลาเดินทางของพวกเราก็ 5 ชั่วโมงจริงๆแล้วไม่นานขนาดนี้หรอกค่ะแต่พวกเราแวะปั๊มเข้าห้องน้ำกินข้าวก็ใช้เวลาไปเยอะประมาณ 4 ชั่วโมงก็ถึงแล้วค่ะ ถึงแล้วก็เข้าเช็คอินห้องพักกันดีกว่า ที่พักที่พวกเราเลือกก็คือ “Kalla Pangha Resort (กัลปังหารีสอร์ท)”
กัลปังหารีสอร์ทเป็นรีสอร์ทไม่ใหญ่มากห้องพักก็ไม่ได้เยอะมาก แต่เงียบและสงบซึ่งเหมาะสำหรับการพักผ่อนจริงๆค่ะ สไตล์การตกแต่งเป็นแนวเรียบๆ เน้นสีขาวทำให้รู้สึกผ่อนคลายไปอีกแบบ ห้องพักที่พวกเราเลือกคือห้อง Double Bed Room ที่สามารถพักได้ 3 คน และห้อง Twin Bed Roomสำหรับพัก 2 คน พอดีไม่ได้ถ่ายรูปในห้องพักมาขนาดบรรยากาศในรีสอร์ทยังไม่ค่อยมีเลยค่ะ 555 ถ้าใครสนใจจะดูข้อมูลเพิ่มเติมเช่นลักษณะภายในห้องหรือเช็คราคาสามารถเข้าไปดูได้ที่ลิ้งค์ด้านล่างนะคะ
http://l.facebook.com/l.php?u=http%3A%2F%2Fwww.kallapangharesort.com%2F&h=dAQHPv011
ก่อนเดินทางมาพวกเราได้ติดต่อพี่หญิงซึ่งพี่เค้าเป็นชาวบ้านคลองวาฬที่ใจดีมากและให้คำแนะนำในการท่องเที่ยวสำหรับทริปนี้กับพวกเราทุกอย่าง เมื่อมาถึงเราก็มาคุยกับพี่หญิงที่ร้านกาแฟของพี่เค้าเลยค่ะ พี่หญิงเปิดร้านกาแฟที่ชื่อว่า “กาแฟโบราณบ้านหญิง” ซึ่งร้านพี่เค้าอยู่ตรงข้ามกับกัลปังหารีสอร์ทค่ะใครมาเที่ยวก็แวะมาชิวกาแฟร้านพี่หญิงได้นะคะ
เป็นร้านกาแฟที่ไม่ใหญ่มากแต่มีคนแวะเวียนมาอุดหนุนพี่หญิงไม่ขาดสายทั้งวันเลย เมื่อพวกเรามาถึงตอนแรกที่โทรศัพท์มาสอบถามข้อมูลจากพี่หญิงว่าพวกเราอยากมาศึกษาวิถีชีวิตของชาวคลองวาฬ การทำประมงเช่นปลาหมึกและธนาคารปูที่มีการนำปูที่มีไข่มาอนุบาลไว้เตรียมปล่อยลงสู่ทะเลเพื่อเป็นการช่วยเพิ่มปริมาณปูม้าให้มากขึ้น แต่พี่หญิงบอกว่าวันที่พวกเราจะเดินทางมาเที่ยวนั้นจะเกิดมรสุมซึ่งถ้าหากเกิดมรสุมแผนที่พวกเราวางไว้ว่าอยากมาดูการทำปลาหมึกและการปล่อยปูก็จะล่มไปทันที แต่สุดท้ายรู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง
พี่หญิงได้แนะนำลุงแมว(เสื้อขาว) กับลุงถนอม(เสื้อดำ) ผู้ที่ดูแลเรื่องธนาคารปูที่เราอยากไปศึกษาและจะให้ข้อมูลกับเราแต่โชคร้ายที่มรสุมเข้าทั้งเดือนเรือประมงจึงไม่สามารถออกไปจับปูได้ ทางธนาคารปูจึงไม่มีปูให้พวกเราได้ศึกษาแต่ลุงทั้งสองคนบอกว่ามีภาพและก็อุปกรณ์ให้ศึกษาได้ ไปธนาคารปูกันเถอะค่ะ
ลุงถนอมกับลุงแมวโกยพวกเราขึ้นรถซาเล้งคู่ใจแล้วขับพาไป นั่งรถกินลมชมวิวไปก็เห็นว่าชาวบ้านที่นี่ส่วนมากใช้รถแบบนี้เยอะ ใช้ขายของเอย ใช้สำหรับขี่เป็นปกติก็มี เลยถามลุงถนอมว่าทำไมถึงนิยมใช้รถแบบนี้ลุงเค้าบอกว่าใช้ประโยชน์ได้เยอะและก็ไม่แพงเหมือนรถยนต์ บางคันตกแต่งสวยมากค่ะทาสีชมพูทั้งคันดูแล้วน่ารักไปอีกแบบ
เมื่อมาถึงธนาคารปูสิ่งที่ดึงดูกว่าธนาคารปูก็วิวนี่แหละค่ะเพราะติดทะเล น้ำทะเลนี่เป็นสีฟ้าออกเขียวมรกตสวยมากจริงๆค่ะ ด้านข้างก็เป็นภูเขา มีโขดหินวางเรียงยาวทอดไปในทะเลสามารถเดินไปชมวิวได้ ธนาคารปูที่ด้านหน้าจะมีศาลเจ้าพ่อเขาแดงซึ่งเป็นศาลที่ชาวประมงเวลาจะออกเรือหรือแล่นเรือมาก็จะกราบไหว้บูชา ธนาคารปูที่เรามาดูไม่ได้ใหญ่มากแต่สร้างประโยชน์ได้มากทีเดียวเพราะธนาคารปูที่นี่จะอนุบาลแม่ปูที่มีไข่อยู่ในท้องเพื่อให้มันสามารถคลอดลูกได้และเมื่อลูกปูสามารถพี่จะออกไปเผชิญโลกกว้างได้ก็จะมีการปล่อยปูคืนสู่ทะเลเพื่อเพิ่มประชากรปูให้มากขึ้น เมื่อประชากรปูมากขึ้นอาชีพของชาวบ้านก็จะดีขึ้นไปด้วยค่ะ
ในภาพที่เป็นแนวหินทอดยาวลงไปจะเห็นภูเขาที่อยู่กลางทะเลซึ่งที่ภูเขานั้นมีถ้ำที่เพิ่งถูกค้นพบใหม่ซึ่งถ้าหากจะเข้าไปต้องหาเรือชาวประมงพาเข้าไปแต่เสียดายที่วันนั้นพวกเราไม่มีเวลามากพอที่จะเข้าไปดูได้ ถ้าหากใครสนใจอยากไปดูสามารถสอบถามได้ที่พี่หญิงค่ะเวลาล่วงเลยเข้าบ่ายกว่าๆแล้วพวกเราจึงขอบคุณลุงถนอมลุงแมวที่พาไปศึกษาที่ธนาคารปูและชมธรรมชาติโดยลุงถนอมแนะนำว่าพรุ่งนี้ตอนเช้าให้มาดูการทำปลาหมึกแดดเดียวที่บ้านลุงเค้าทำเองซึ่งตอนแรกคิดว่าจะไม่ได้ดูแล้วแต่ลุงบอกว่าเรือลุงจะออกไปหาวันนี้ ประมาณเกือบสองโมงแล้วพวกเรารู้สึกหิวข้าวเที่ยงมากเลยชวนกันออกมาทานอาหารกลางวันกันและร้านที่พวกเราค้นพบที่หมูบ้านคลองวาฬนี้จัดว่าเด็ดมากค่ะร้านนี้คือร้าน “ครัวโตโต้”
เมนูที่พวกเราสั่งมีปลากะพงสองหน้า ต้มยำทะเลน้ำข้น ผัดฉ่าทะเล และส้มตำปูปลาร้า ที่อึ้งสุดคือราคาปลากะพงค่ะ ในจานที่เห็นคือราคา 160 บาทค่ะ หากินได้ยากมากปลากะพงพร้อมทำเป็นกับข้าวราคานี้ตามร้านอาหาร อาหารอร่อยมากอิ่มหมีพีมันกันไปสุดๆเลยค่ะมื้อนี้ราคารวมแค่ 500 กว่าบาทเองค่ะ มีพลังที่จะไปต่อแล้วค่ะ
ที่ต่อมาของพวกเราคืออ่าวมะนาว
ที่เค้าเรียกว่าอ่าวมะนาวเพราะว่าที่นี้มีลักษณะเหมือนลูกมะนาว เป็นหาดที่อยู่ในความดูแลของกองบิน 5 เป็นหาดที่ทะเลสวย น้ำใส บรรยากาศดูร่มรื่นมากเพราะมีแนวสนยาวตลอดเส้นทาง มีร้านกาแฟให้นั่งชิลๆ มีสนามยิงปืนให้ลองวัดความแม่นของตัวเองรวมไปถึงยังมีที่สำหรับให้ขี่ม้า แถมยังไม่มีผู้คนมากมายเหมือนที่ท่องเที่ยวอื่นๆหากใครเบื่อความวุ่นวายอ่าวมะนาวน่าจะเป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับการพักผ่อนริมทะเลค่ะ
พวกเราเดินเล่นถ่ายรูปเล่นอยู่ที่อ่าวมะนาวหลายชั่วโมงก็เริ่มเย็นแล้วพี่หญิงบอกว่ามีถนนคนเดินที่อยู่ริมทะเล พวกเราสนใจเลยถามทางสุดท้ายก็หลงเหมือนเดิมค่ะ 555 เลยต้องถามพี่ทหารใจดีในกองบินว่าไปทางไหน
ถนนคนเดินนี้อยู่ห่างจากกองบิน 5 ไม่ไกล ถามทางจากพี่ทหารใจดีได้ค่ะ เมื่อมาถึงก็เหมือนกับตลาดทั่วๆไปที่มีแผงขายของเป็นแถวยาวความพิเศษอยู่ที่สามารถชมนั่งชมวิวอยู่ริมทะเลได้ แม้จะไม่มีหาดแต่บรรยากาศมันก็ชิวๆมากค่ะ ตอนเย็นๆคนยังไม่เยอะมากแต่พอค่ำเท่านั้นแหละค่ะคนค่อนข้างเยอะส่วนมากซื้อของแล้วก็จะมานั่งชมวิวทะเลกันแต่พวกเราสายกินจึงตระเวนหาของกินทั่วตลาดเลยค่ะแต่ที่ชอบก็มีเมนูนี้ค่ะ
หมึกยอกับปูยอค่ะ อยู่กรุงเทพปกติเคยกินแต่หมูยอกับไก่ยอ ราคาท่อนละ 20 บาทเอง เลยจัดมา 2 ท่อนเต็มถาดโฟมเลยค่ะแบ่งกันกิน 5 คนยังเหลือ 555เมนูต่อไปคือจับหลักค่ะอันนี้ไม่ค่อยแปลกเท่าไหร่เพราะที่กรุงเทพก็มีกินเป็นเหมือนทอดมันปั้นเป็นก้อนแล้วเสียบไม้กินร้อนๆก็อร่อยดีค่ะไม้ละ 5 บาทเองเมนูต่อไปของคาวแล้วก็ต้องมาของหวานค่ะปากหม้อกับข้าวเกรียบปากหม้อ รสชาติของไส้ข้าวเกรียบปากหม้อที่เป็นสีเหลืองๆคือถั่วเหลืองรสชาติเหมือนที่อยู่ในถั่วแปบเลยค่ะ ส่วนอีกไว้เป็นมะพร้าวงาดำก็เหมือนไส้ที่อยู่ในขนมถังแตกเลย แต่ชอบตรงบรรจุภัณฑ์นี่แหละค่ะใช้ใบตองห่อดูไทยๆและรักษ์โลกสุดๆค่ะ
เช้าวันใหม่พวกเรารวมตัวกันยืมจักรยานของรีสอร์ทปั่นกันไปพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าที่สะพานปลากันค่ะซึ่งอยู่ใกล้ๆกับธนาคารปูนั้นแหละค่ะ
สะพานปลาเป็นที่ที่ชาวประมงจะมาเทียบเรือขึ้นปลาแต่เดี๋ยวนี้ส่วนมากเค้าจะไปเทียบที่หน้าบ้านเค้าแทนแล้วค่ะ รอพระอาทิตย์ขึ้นรอไปรอมาหกโมงกว่าแล้วยังไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นสุดท้ายเห็นแสงสีส้มๆกลายเป็นว่าพระอาทิตย์ได้ขึ้นไปแล้วแต่พวกเรามองไม่เห็นเนื่องจากวันนั้นเมฆหนามากและดูครึ้มฟ้าครึ้มฝนเลยอดดูไปแต่สอบถามข้อมูลจากลุงคนหนึ่งเค้าถือแหกับฆ่องจะมาจับปลาว่าถ้าอยากดูพระอาทิตย์ขึ้นชัดๆให้ไปดูที่อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จะเห็นชัด พระอาทิตย์อดดูไปแล้วแต่สิ่งที่น่าสนใจตอนนี้คือลุงถือแหกับฆ่องมาทำอะไร อย่าบอกนะว่าลุงจะทอดแหในทะเล สรุปแล้วคือจริงค่ะ ลุงเค้ามาทอดแหในทะเลเพื่อจับปลา
[CR] ชีวิตติดคลองวาฬ เที่ยวยังไงทำไมรู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน
พวกเราทีมทุยเที่ยวไทยซึ่งประกอบไปด้วย 3 สาวสุดชิคและ 2 ชายหนุ่มสุดติสท์ เมื่อเคลียร์เวลาได้ลงตัวแล้ววันนัดพบก็มาถึง นัดกันตีห้าครึ่งเพื่อออกเดินทางแต่แน่นอนเวลาก็เป็นเพียงตัวเลขจะสนใจไปไยสุดท้ายสมาชิกมาครบตอนหกโมงสิบนาที ได้ออกเดินทางกัน 06.30 น. การเดินทางนี้เราขับรถกันไปเองตามประสาผู้ชำนาญเส้นทางไปเหนือล่องใต้ (เหรอ 555) ขับรถออกไปยังไม่พ้น 5 กิโลเมตรก็หลงกันแล้วค่ะ ใครๆก็บอกขับรถในกรุงเทพขับยากขับหลงครั้งหนึ่งกลับรถไกลตลอดไป 555 อันนี้จริงมากค่ะ เลี้ยวผิดชีวิตเปลี่ยน จริงๆแล้วการเที่ยวครั้งนี้เป็นการขับรถไปเที่ยวครั้งแรกของพวกเราค่ะ ปกติเวลาไปไหนก็มีคนขับรถ(สาธารณะ55) ขับไปให้การไม่รู้ทางก็ยังไม่เดือดร้อนเท่าไหร่ แต่ขับรถไปเองแบบไม่รู้ทางก็เหมือนท่องไปในโลกกว้างเลยค่ะ โชคยังดีที่พวกเรามี GPS ในโทรศัพท์นำทางค่ะ 555
เดินทางกันไปเรื่อยๆน้ำย่อยในกระเพาะก็เริ่มทำงานค่ะด้วยความที่นัดกันเช้ามากเลยยังไม่มีใครได้กินข้าวเช้าพวกเราจึงแวะทานอาหารเช้ากันที่ร้านอาหารในจังหวัดเพชรบุรี “ร้านตาโต” ซึ่งถ้าขับรถผ่านจะมีป้ายบอกร้านจะอยู่ทางซ้ายมือเลยค่ะ เป็นร้านที่มีข้าวราดแกง กับข้าวเยอะมากค่ะเลือกกินไม่ถูกกันเลยทีเดียว แต่ขนาดเลือกไม่ถูกก็ยังได้มาขนาดนี้เลยค่ะ 55 เมื่อหนังท้องตึงแล้วเราก็ไปต่อได้ค่ะจริงๆแล้วทางไปก็ไม่ยากเลยค่ะ มีป้ายบอกตลอดทางอาจจะต้องดู GPS บ้างตอนช่วงทางแยก หรือหากใครอยากไปแต่ไม่อยากขับรถไปเองก็มีรถตู้สายกรุงเทพ-คลองวาฬซึ่งตอนนี้ย้ายจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไปอยู่ที่สายใต้เก่าแล้วค่ะ ค่ารถก็คนละ 240 บาท ไปถึงหมู่บ้านคลองวาฬเลยค่ะ
ประมาณ 11.30 น. ในที่สุดเราก็มาถึงกันแล้วหมู่บ้านคลองวาฬ ถ้านับเวลาเดินทางของพวกเราก็ 5 ชั่วโมงจริงๆแล้วไม่นานขนาดนี้หรอกค่ะแต่พวกเราแวะปั๊มเข้าห้องน้ำกินข้าวก็ใช้เวลาไปเยอะประมาณ 4 ชั่วโมงก็ถึงแล้วค่ะ ถึงแล้วก็เข้าเช็คอินห้องพักกันดีกว่า ที่พักที่พวกเราเลือกก็คือ “Kalla Pangha Resort (กัลปังหารีสอร์ท)” กัลปังหารีสอร์ทเป็นรีสอร์ทไม่ใหญ่มากห้องพักก็ไม่ได้เยอะมาก แต่เงียบและสงบซึ่งเหมาะสำหรับการพักผ่อนจริงๆค่ะ สไตล์การตกแต่งเป็นแนวเรียบๆ เน้นสีขาวทำให้รู้สึกผ่อนคลายไปอีกแบบ ห้องพักที่พวกเราเลือกคือห้อง Double Bed Room ที่สามารถพักได้ 3 คน และห้อง Twin Bed Roomสำหรับพัก 2 คน พอดีไม่ได้ถ่ายรูปในห้องพักมาขนาดบรรยากาศในรีสอร์ทยังไม่ค่อยมีเลยค่ะ 555 ถ้าใครสนใจจะดูข้อมูลเพิ่มเติมเช่นลักษณะภายในห้องหรือเช็คราคาสามารถเข้าไปดูได้ที่ลิ้งค์ด้านล่างนะคะhttp://l.facebook.com/l.php?u=http%3A%2F%2Fwww.kallapangharesort.com%2F&h=dAQHPv011
ก่อนเดินทางมาพวกเราได้ติดต่อพี่หญิงซึ่งพี่เค้าเป็นชาวบ้านคลองวาฬที่ใจดีมากและให้คำแนะนำในการท่องเที่ยวสำหรับทริปนี้กับพวกเราทุกอย่าง เมื่อมาถึงเราก็มาคุยกับพี่หญิงที่ร้านกาแฟของพี่เค้าเลยค่ะ พี่หญิงเปิดร้านกาแฟที่ชื่อว่า “กาแฟโบราณบ้านหญิง” ซึ่งร้านพี่เค้าอยู่ตรงข้ามกับกัลปังหารีสอร์ทค่ะใครมาเที่ยวก็แวะมาชิวกาแฟร้านพี่หญิงได้นะคะ
เป็นร้านกาแฟที่ไม่ใหญ่มากแต่มีคนแวะเวียนมาอุดหนุนพี่หญิงไม่ขาดสายทั้งวันเลย เมื่อพวกเรามาถึงตอนแรกที่โทรศัพท์มาสอบถามข้อมูลจากพี่หญิงว่าพวกเราอยากมาศึกษาวิถีชีวิตของชาวคลองวาฬ การทำประมงเช่นปลาหมึกและธนาคารปูที่มีการนำปูที่มีไข่มาอนุบาลไว้เตรียมปล่อยลงสู่ทะเลเพื่อเป็นการช่วยเพิ่มปริมาณปูม้าให้มากขึ้น แต่พี่หญิงบอกว่าวันที่พวกเราจะเดินทางมาเที่ยวนั้นจะเกิดมรสุมซึ่งถ้าหากเกิดมรสุมแผนที่พวกเราวางไว้ว่าอยากมาดูการทำปลาหมึกและการปล่อยปูก็จะล่มไปทันที แต่สุดท้ายรู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง พี่หญิงได้แนะนำลุงแมว(เสื้อขาว) กับลุงถนอม(เสื้อดำ) ผู้ที่ดูแลเรื่องธนาคารปูที่เราอยากไปศึกษาและจะให้ข้อมูลกับเราแต่โชคร้ายที่มรสุมเข้าทั้งเดือนเรือประมงจึงไม่สามารถออกไปจับปูได้ ทางธนาคารปูจึงไม่มีปูให้พวกเราได้ศึกษาแต่ลุงทั้งสองคนบอกว่ามีภาพและก็อุปกรณ์ให้ศึกษาได้ ไปธนาคารปูกันเถอะค่ะ ลุงถนอมกับลุงแมวโกยพวกเราขึ้นรถซาเล้งคู่ใจแล้วขับพาไป นั่งรถกินลมชมวิวไปก็เห็นว่าชาวบ้านที่นี่ส่วนมากใช้รถแบบนี้เยอะ ใช้ขายของเอย ใช้สำหรับขี่เป็นปกติก็มี เลยถามลุงถนอมว่าทำไมถึงนิยมใช้รถแบบนี้ลุงเค้าบอกว่าใช้ประโยชน์ได้เยอะและก็ไม่แพงเหมือนรถยนต์ บางคันตกแต่งสวยมากค่ะทาสีชมพูทั้งคันดูแล้วน่ารักไปอีกแบบ
เมื่อมาถึงธนาคารปูสิ่งที่ดึงดูกว่าธนาคารปูก็วิวนี่แหละค่ะเพราะติดทะเล น้ำทะเลนี่เป็นสีฟ้าออกเขียวมรกตสวยมากจริงๆค่ะ ด้านข้างก็เป็นภูเขา มีโขดหินวางเรียงยาวทอดไปในทะเลสามารถเดินไปชมวิวได้ ธนาคารปูที่ด้านหน้าจะมีศาลเจ้าพ่อเขาแดงซึ่งเป็นศาลที่ชาวประมงเวลาจะออกเรือหรือแล่นเรือมาก็จะกราบไหว้บูชา ธนาคารปูที่เรามาดูไม่ได้ใหญ่มากแต่สร้างประโยชน์ได้มากทีเดียวเพราะธนาคารปูที่นี่จะอนุบาลแม่ปูที่มีไข่อยู่ในท้องเพื่อให้มันสามารถคลอดลูกได้และเมื่อลูกปูสามารถพี่จะออกไปเผชิญโลกกว้างได้ก็จะมีการปล่อยปูคืนสู่ทะเลเพื่อเพิ่มประชากรปูให้มากขึ้น เมื่อประชากรปูมากขึ้นอาชีพของชาวบ้านก็จะดีขึ้นไปด้วยค่ะ ในภาพที่เป็นแนวหินทอดยาวลงไปจะเห็นภูเขาที่อยู่กลางทะเลซึ่งที่ภูเขานั้นมีถ้ำที่เพิ่งถูกค้นพบใหม่ซึ่งถ้าหากจะเข้าไปต้องหาเรือชาวประมงพาเข้าไปแต่เสียดายที่วันนั้นพวกเราไม่มีเวลามากพอที่จะเข้าไปดูได้ ถ้าหากใครสนใจอยากไปดูสามารถสอบถามได้ที่พี่หญิงค่ะเวลาล่วงเลยเข้าบ่ายกว่าๆแล้วพวกเราจึงขอบคุณลุงถนอมลุงแมวที่พาไปศึกษาที่ธนาคารปูและชมธรรมชาติโดยลุงถนอมแนะนำว่าพรุ่งนี้ตอนเช้าให้มาดูการทำปลาหมึกแดดเดียวที่บ้านลุงเค้าทำเองซึ่งตอนแรกคิดว่าจะไม่ได้ดูแล้วแต่ลุงบอกว่าเรือลุงจะออกไปหาวันนี้ ประมาณเกือบสองโมงแล้วพวกเรารู้สึกหิวข้าวเที่ยงมากเลยชวนกันออกมาทานอาหารกลางวันกันและร้านที่พวกเราค้นพบที่หมูบ้านคลองวาฬนี้จัดว่าเด็ดมากค่ะร้านนี้คือร้าน “ครัวโตโต้”
เมนูที่พวกเราสั่งมีปลากะพงสองหน้า ต้มยำทะเลน้ำข้น ผัดฉ่าทะเล และส้มตำปูปลาร้า ที่อึ้งสุดคือราคาปลากะพงค่ะ ในจานที่เห็นคือราคา 160 บาทค่ะ หากินได้ยากมากปลากะพงพร้อมทำเป็นกับข้าวราคานี้ตามร้านอาหาร อาหารอร่อยมากอิ่มหมีพีมันกันไปสุดๆเลยค่ะมื้อนี้ราคารวมแค่ 500 กว่าบาทเองค่ะ มีพลังที่จะไปต่อแล้วค่ะ
ที่ต่อมาของพวกเราคืออ่าวมะนาว
ที่เค้าเรียกว่าอ่าวมะนาวเพราะว่าที่นี้มีลักษณะเหมือนลูกมะนาว เป็นหาดที่อยู่ในความดูแลของกองบิน 5 เป็นหาดที่ทะเลสวย น้ำใส บรรยากาศดูร่มรื่นมากเพราะมีแนวสนยาวตลอดเส้นทาง มีร้านกาแฟให้นั่งชิลๆ มีสนามยิงปืนให้ลองวัดความแม่นของตัวเองรวมไปถึงยังมีที่สำหรับให้ขี่ม้า แถมยังไม่มีผู้คนมากมายเหมือนที่ท่องเที่ยวอื่นๆหากใครเบื่อความวุ่นวายอ่าวมะนาวน่าจะเป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับการพักผ่อนริมทะเลค่ะ
พวกเราเดินเล่นถ่ายรูปเล่นอยู่ที่อ่าวมะนาวหลายชั่วโมงก็เริ่มเย็นแล้วพี่หญิงบอกว่ามีถนนคนเดินที่อยู่ริมทะเล พวกเราสนใจเลยถามทางสุดท้ายก็หลงเหมือนเดิมค่ะ 555 เลยต้องถามพี่ทหารใจดีในกองบินว่าไปทางไหน
ถนนคนเดินนี้อยู่ห่างจากกองบิน 5 ไม่ไกล ถามทางจากพี่ทหารใจดีได้ค่ะ เมื่อมาถึงก็เหมือนกับตลาดทั่วๆไปที่มีแผงขายของเป็นแถวยาวความพิเศษอยู่ที่สามารถชมนั่งชมวิวอยู่ริมทะเลได้ แม้จะไม่มีหาดแต่บรรยากาศมันก็ชิวๆมากค่ะ ตอนเย็นๆคนยังไม่เยอะมากแต่พอค่ำเท่านั้นแหละค่ะคนค่อนข้างเยอะส่วนมากซื้อของแล้วก็จะมานั่งชมวิวทะเลกันแต่พวกเราสายกินจึงตระเวนหาของกินทั่วตลาดเลยค่ะแต่ที่ชอบก็มีเมนูนี้ค่ะ หมึกยอกับปูยอค่ะ อยู่กรุงเทพปกติเคยกินแต่หมูยอกับไก่ยอ ราคาท่อนละ 20 บาทเอง เลยจัดมา 2 ท่อนเต็มถาดโฟมเลยค่ะแบ่งกันกิน 5 คนยังเหลือ 555เมนูต่อไปคือจับหลักค่ะอันนี้ไม่ค่อยแปลกเท่าไหร่เพราะที่กรุงเทพก็มีกินเป็นเหมือนทอดมันปั้นเป็นก้อนแล้วเสียบไม้กินร้อนๆก็อร่อยดีค่ะไม้ละ 5 บาทเองเมนูต่อไปของคาวแล้วก็ต้องมาของหวานค่ะปากหม้อกับข้าวเกรียบปากหม้อ รสชาติของไส้ข้าวเกรียบปากหม้อที่เป็นสีเหลืองๆคือถั่วเหลืองรสชาติเหมือนที่อยู่ในถั่วแปบเลยค่ะ ส่วนอีกไว้เป็นมะพร้าวงาดำก็เหมือนไส้ที่อยู่ในขนมถังแตกเลย แต่ชอบตรงบรรจุภัณฑ์นี่แหละค่ะใช้ใบตองห่อดูไทยๆและรักษ์โลกสุดๆค่ะ
เช้าวันใหม่พวกเรารวมตัวกันยืมจักรยานของรีสอร์ทปั่นกันไปพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าที่สะพานปลากันค่ะซึ่งอยู่ใกล้ๆกับธนาคารปูนั้นแหละค่ะสะพานปลาเป็นที่ที่ชาวประมงจะมาเทียบเรือขึ้นปลาแต่เดี๋ยวนี้ส่วนมากเค้าจะไปเทียบที่หน้าบ้านเค้าแทนแล้วค่ะ รอพระอาทิตย์ขึ้นรอไปรอมาหกโมงกว่าแล้วยังไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นสุดท้ายเห็นแสงสีส้มๆกลายเป็นว่าพระอาทิตย์ได้ขึ้นไปแล้วแต่พวกเรามองไม่เห็นเนื่องจากวันนั้นเมฆหนามากและดูครึ้มฟ้าครึ้มฝนเลยอดดูไปแต่สอบถามข้อมูลจากลุงคนหนึ่งเค้าถือแหกับฆ่องจะมาจับปลาว่าถ้าอยากดูพระอาทิตย์ขึ้นชัดๆให้ไปดูที่อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จะเห็นชัด พระอาทิตย์อดดูไปแล้วแต่สิ่งที่น่าสนใจตอนนี้คือลุงถือแหกับฆ่องมาทำอะไร อย่าบอกนะว่าลุงจะทอดแหในทะเล สรุปแล้วคือจริงค่ะ ลุงเค้ามาทอดแหในทะเลเพื่อจับปลา