แก้ปัญหาอย่างไร..ให้นักเรียน...เลิกจิตอ่อนกับ การแชร์ข้อความลูกโซ่

ผมเป็นครูโรงเรียนแห่งหนึ่ง เป็นครูประจำชั้น เรื่องมีอยู่ว่า ผมจะตั้งกลุ่มไลน์ "ป.5 ห้องครูไผ่" เพื่อให้นักเรียนสะดวกในการติดต่อ ถามการบ้าน หรือเรื่องราวต่าง ๆ ในโรงเรียน (การที่ตั้งกลุ่มไลน์ให้นักเรียนเพราะผมเล็งเห็นว่าไม่มีทางที่จะห้ามไม่ให้นักเรียนใช้โทรศัพท์มือถือหลังเลิกเรียนได้ ดังนั้นเมื่อห้ามไม่ได้ ครูควรสอนวิธีการใช้สื่ออย่างถูกต้องจะดีกว่านะครับ ดังนั้นอย่าดราม่า ว่าเด็กไม่ควรใช้ เป็นครูได้อย่างไรส่งเสริมให้เด็กเล่นไลน์ ฯลฯ)
     วันหนึ่ง เด็กชายอ้วน(นามสมมุติ) ได้รับข้อความลูกโซ่ เป็นรูปเด็กถูกรถชน เลือดไหลนองตามพื้นถนน แล้วก็มีข้อความระบุว่า หากไม่ส่งข้อความไปครบ 100 คน จะมีอันเป็นไป
     เด็กชายอ้วนเกิดความกลัว จึงแชร์ข้อความดังกล่าว ไปให้เพื่อนนักเรียนครบทุกคนให้ห้อง ไม่เว้นแม้แต่ผม เช้าวันต่อมา ผมเข้าสอนในห้อง เด็กนักเรียนต่างรุมต่อว่า เด็กชายอ้วนอย่างรุนแรง เด็กหญิงบางคนร้องไห้
      สิ่งที่ผมพูดกับเด็กชายอ้วน มีดังต่อไปนี้ "การที่เราส่งข้อความลูกโซ่ไปให้คนอื่น ทำให้คนอื่นไม่สบายใจ นั่นคือเรากำลังทำบาป แต่ถ้าเราไม่ส่งก็เท่ากับเราได้ทำความดี เสียสละเก็บสิ่งนั้นไว้ ไม่ให้ไปทำลายจิตใจของผู้อื่น ย่อมได้บุญมากกว่า และฝึกฝนจิตใจให้เข้มแข็งด้วย ด.ช.อ้วน ก็ส่งภาพและข้อความนั้นมาหาครู แต่ครูก็ไม่ส่งต่อไปหาใคร เพราะครูเชื่อว่าการเป็นคนจิตอ่อนมาก ๆ สักวัน ก็จะกลายเป็น อ่อนต่อการใช้เหตุผล (อยากจะใช้คำว่าปัญญาอ่อนนั่นแหละ แต่ไม่กล้าพูด กลัวเสียภาพพจน์ความเป็นครู ได้แต่คิดในใจ 555) แต่ถ้าเธอไม่สบายใจจริง ๆ ให้เธอส่งข้อความลูกโซ่เหล่านั้น มาให้ครูคนเดียวพอ แล้วนักเรียนคอยดูนะว่า เจ็ดวันครูจะตายจริงไหม?" เด็กนักเรียนทุกคนนั่งฟังกันเงียบกริบ หลังจากนั้นเจ็ดวัน ผมก็ยังแข็งแรงดีเหมือนเดิม ผ่านคศ.3 ด้วย ผมก็บอกนักเรียนว่า เห็นไหม ครบเจ็ดวันแล้วครูก็ยังสุขภาพดีเหมือนเดิม มีสิ่งที่ดี ๆ เข้ามาในชีวิต เพราะบุญจากการไม่ทำให้ใครเดือดร้อนใจไง  
       ทุกวันนี้ เด็กนักเรียนของผมไม่มีใครส่งข้อความลูกโซ่แบบนั้นกันอีกเลย
       ปล. ผมเป็นคนไม่หวั่นไหวกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้วครับ แล้วก็ไม่ใช่คนกลัวผีด้วยครับ (แต่ก็ไม่กล้าถึงขนาดไปออกรายการ ของคุณป๋อง ล่าท้าผี คนอวดผี อะไรพวกนั้นน่ะครับ 555)
       ท่านสามารถนำเรื่องราวของผมไปปรับใช้ในชีวิตการเป็นครูได้นะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
คือ มีผู้ใหญ่กี่คนจะคอยสอนเด็กแบบนี้บ้าง ต่างก็ไม่มีเวลา ไม่สอน พอเกิดเรื่องก็บอกไปว่า ไร้สาระ แล้วก็ไปทำอย่างอื่นต่อ ปล่อยให้เด็กงงและคิดวนเวียนเองในหัว แล้วอย่างนี้เด็กประถมเค้าจะไปเข้าใจได้อย่างไร
ถ้าอยากให้เข้าใจและเลิกกลัวกับเรื่องการแชร์ลูกโซ่ อย่างเดียวเลยคือการศึกษา ถ้าเด็กถูกสอนแบบเป็นเหตุเป็นผลแบบข้างบน ประโยชน์และโทษของการกระทำ ถูกสอนแบบใช้ตรรกะความเป็นจริงคิดเองได้ ก็คงไม่ส่งต่อ

แต่ถ้าเด็กวัยนี้จะกลัวก็ไม่แปลกนะเราว่า เพราะสื่อเมืองไทยในแต่ละวันก็วนๆอยู่กับเรื่องงมงายต่างๆพวกนี้อ่ะ สัตว์เกิดมาพิการก็กราบไหว้กันไป น้ำบาดาลน้ำจากท่อยังตักขึ้นมาดื่มได้ ขนาดก้อนเมฆเป็นลักษณะแปลกๆหน่อยก็ยังสร้างเรื่องราวได้เป็นตุเป็นตะ
แทนที่ข่าวจะเสนอว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ยังไง มีโอกาสเกิดขึ้นได้นะในชีวิตจริง กลับไปเอามุมปาฏิหารย์ความพิสดารมาขายข่าว ไม่ค่อยจะอธิบายสักเท่าไหร่ กลุ่มคนที่ด้อยการศึกษาเค้าก็คงมีความเชื่อวนเวียนอยู่แค่นั้นแหละ

สมัยก่อน Junk mail ประเภทนี้เยอะมากจริงๆ และมาในลักษณะหลายรูปแบบ และก็จบด้วยที่ว่าให้ส่งต่อ ไม่อย่างนั้นจะเจออย่างนี้ เรานี่เห็นละเซ็งเลย บางทีก็อ่าน อ่านเสร็จละเฉยๆ เพราะขี้เกียจส่ง บางอันส่งมาซ้ำมาก ยังไม่ทันอ่านก็รู้แล้วว่าเป็นอันเดิม ก็บล็อคกันไปตามระเบียบ เดี๋ยวนี้นอกจากพวกแชร์ลูกโซ่แล้วก็ยังมีพวกลวงโลกในแบบอื่นอีกเพียบ ที่ก็ยังหลอกผู้ใหญ่ได้ และก็พวกแชร์ต่อๆกันใน Line ก็น่ารำคาญไม่แพ้กัน สังเกตได้ว่ามักจะใช้ได้ผลกับคนที่ไม่คิด ไม่กรองข้อมูลที่เข้ามา เห็นอะไรก็ทำตามที่มันบอกหมด ข้อมูลมีประโยชน์ก็ควรแชร์ แต่ถ้าหากแชร์มากๆเดี๋ยวก็มีคนใช้นิสัยนี้ของคนหมู่มากเพื่อหาประโยชน์อีก เช่น แชร์ดาราตาย แชร์ไปเหอะ ข้อมูลจากไหนใครนั่งเทียนเขียนไม่เคยรู้ อัพเดตไว้ก่อนเสมอ -_-
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่