“ความจริง คือศพแรกที่ตายในสงคราม”
“ดันเคิร์กตอนนี้ไม่มีอะไรเป็นมากกว่าเปลวเพลิง
กองทัพอากาศข้าศึกกำลังส่งความตายมาให้เรา
บางทีในอาจเป็นชั่วโมงสุดท้ายของผม
แต่เราจะต้องไม่ยอมจำนน เพื่อส่งกองทัพพันธมิตรลงเรือ
เราจะต้องตรึงกำลังจนเสร็จภารกิจ และเราเป็นหน่วยสุดท้าย
ที่จะยอมจำนน”
หนึ่งในบันทึกของทหารฝรั่งเศส
พฤษภาคม 1940
กองทัพฝรั่งเศส อังกฤษ เบลเยียม ติดอยู่ในวงล้อมของกองทหารเยอรมัน ที่บูโลญจน์ – เซดอง (Boulogne - Sedan)
ขณะที่นายพลแมกซิม เวกอง (Maxime Weygand) ของฝรั่งเศสที่ถูกเรียกตัวกลับจากซีเรีย กำลังคิดแผนโต้กลับ
แต่ ลอร์ด กอร์ท (Lord Gort) ผู้บัญชาการกองทัพอังกฤษ British Expeditionary Force (BEF) สั่งถอยทัพ
จากดันเคิร์ก ลงเรือกลับเกาะอังกฤษ
ด้วยความขมขื่น สุดท้ายแล้วนายพลฝรั่งเศสต้องยอมรับให้กองทัพฝรั่งเศสคุ้มกันกองทัพอังกฤษให้อพยพกลับสู่อังกฤษ
เรียกปฏิบัติการครั้งนี้ว่า “ปฏิบัติการไดนาโม (Operation Dynamo)” มีศูนย์ปฏิบัติการอยู่ที่เมืองโดเวอร์
24 – 26 พ.ค. กองทัพที่เหนื่อยล้าของเยอรมันหยุดการรุก ทำให้กองทัพพันธมิตรมีโอกาสได้จัดกระบวนแนวป้องกัน
กองทัพพันธมิตร 400,000 นาย ถูกล้อมด้วยกองทหารเยอร์มัน 800,000 นาย
กองทัพเรืออังกฤษ ฝรั่งเศส เริ่มทำการอพยพในวันที่ 27 ร่วมด้วยกองเรือเล็ก “Little ships Amada” เรือเอกชนทุกชนิด
ประกอบด้วย อังกฤษ 519 ลำ ฝรั่งเศส 300 ลำ เนเธอร์แลนด์ 29 ลำ
27 พ.ค. กษัตริย์ลีโอโปลด์ที่สามแห่งเบลเยี่ยม(King Leopold III) ผู้บัญชาการกองทัพเบลเยี่ยม ตัดสินใจยอมแพ้
ทำให้สถานการณ์ของกองทัพอังกฤษ ฝรั่งเศส วิกฤติหนักมากยิ่งขึ้น
29 พ.ค. กองทัพเยอรมัน 160,000 นาย เริ่มรุกเข้าสู่แนวป้องกันของดันเคิร์ก
ทหารฝรั่งเศส 30,000 นำโดยนายพล ฟากัล (General fagalde) + 2,500 นายของอังกฤษ เข้าสู่แนวปะทะ
แต่แนวของกองกำลังอังกฤษแตกทันทีหลังการปะทะในครั้งแรก กลับกลายเป็นว่ากองทัพอากาศอังกฤษเท่านั้น
ที่รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับกองทัพฝรั่งเศส
ผลจากการประชุมร่วมอังกฤษ – ฝรั่งเศสที่โดเวอร์ สรุปจะไม่ให้กองทัพบกอังกฤษเข้าร่วมรบอีกแล้ว โดยการให้เหตุผลว่า
“พวกเขาเหนื่อยมากแล้ว”
นายทหารฝรั่งเศสต้องแจ้งกับทหารกับพวกเขาว่า “เราฝรั่งเศสจะต้องยันแนวรุกของเยอรมันให้ถึงที่สุด เพื่อรักษา
ทหารส่วนใหญ่ที่หัวหาดด้วยชีวิต
ทหารอังกฤษรวมกลุ่มกันรอคอยการอพยพที่ชายหาด
นายพล ฟากัล จัดกองกำลังรบฝรั่งเศสใหม่เพื่อตั้งรับการรุกเยอรมัน และรักษาช่องว่างให้กองทัพอังกฤษได้อพยพ
ในอีกส่วนที่เมือง ลีล (Lille) สองกองพลของฝรั่งเศสต้องจัดกองกำลังใหม่อย่างรีบเร่ง เพื่อตั้งรับทหารเจ็ดกองพลของเยอรมัน
สามในนั้นคือสุดยอดกองพลยานเกราะที่โดยนายพล รอมเมล ของเยอรมัน
28-31 พ.ค. เกิดตำนานการต่อต้านการรุกเข้าชายหาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งนึงในสงคราม
ปืนใหญ่ เครื่องบินทิ้งระเบิดเยอรมัน เปิดฉากถล่มเมืองดันเคิร์ก และแน่นอนทหารฝรั่งเศสยืนหยัดสู้ในทุกแนวรบ
ถึงขนาดนายพลเยอรมันบันทึกในไดอารี่ว่า การรุกโต้กลับของฝรั่งเศสเกิดขึ้นในทุกๆ แนวรบ ในจำนวนที่ต่างกันถึง
หนึ่งต่อยี่สิบ “ผมไม่เข้าใจพวกเขาทำได้อย่างไร ซึ่งมันเหมือนกับที่ แวร์เดิง 1916 (Battle of Verdun)
เราไม่สามารถทะลวงไปได้สักที่ และการสูญเสียของเราเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ”
ต้องขอบคุณการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ของทหารฝรั่งเศส การอพยพเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
2 มิถุนา ทหารอังกฤษคนสุดท้ายอพยพออกไปได้หมด แต่ในวันเดียวกัน นายพลเจนเซ่น นำกองทัพฝรั่งเศสที่ 12DMI
เข้าโจมตีเยอรมันและถูกสังหาร และทหารฝรั่งเศสบางส่วนเริ่มอพยพเป็นกลุ่มสุดท้าย
การอพยพถูกเยอรมันกดดันเป็นอย่างมาก และเป็นไปอย่างทุลักทุเล และโกลาหล
ความจริงคือทหารอังกฤษจัดทหารมาหนึ่งกอง ติดดาบขู่คอยไล่ขู่ทหารฝรั่งเศส ห้ามขึ้นเรือเล็ก
ก่อนอังกฤษและต้องไปเป็นกลุ่มสุดท้าย
เรือลำสุดท้ายออกจากดันเคิร์กเมื่อตี 3 วันที่ 4 มิถุนา และการรบสิ้นสุดเมื่อเวลา 10 โมงเช้า
ทหารฝรั่งเศส 35,000 คน วางอาวุธและถูกจับเป็นเชลย
เชอร์ชิล นายกรัฐมาตรีอังกฤษคาดว่าการอพยพจะช่วยทหารได้สูงสุด 30,000 – 40,000 คน
สุดท้ายการอพยพทหารอังกฤษทำได้ถึง 198,000 นาย รวมถึงนายพล มอนโกโมรี
ทหารเบลเยียม 140,000 นาย ทหารฝรั่งเศส 338,226 นาย
ราชนาวีอังกฤษเสียเรือไป 112 ลำ ฝรั่งเศส 123 ลำ ทหารอังกฤษทิ้งอาวุธหนักไว้ที่ชายหาดมากมาย
เมืองดันเคิร์ทเสียหายไปถึง 90% 9 วันในการรบพันธมิตรเสียทหาร 18,219 นาย
16,000 นายเป็นทหารฝรั่งเศส
ใช่แล้ว...ปฏิบัติการไดนาโมถูกเครมว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของทหารอังกฤษ
ซึ่งสามารถรักษาแนวป้องกันที่ดันเคิร์ก และปลอดภัยถึงเกาะอังกฤษ กลับบ้านอย่างวีรบุรุษ
ตรงข้ามกับทหารฝรั่งเศสพวกเขาพักขึ้นบกได้เพียง 2-3 ชั่วโมง แล้วถูกส่งกลับไปที่เมืองแบร็สต์
(Brest) ฝรั่งเศสเพื่อรบกับเยอรมันและอิตาลีต่อ
สรุปผลการรบ ทหารเยอร์มันสูญเสีย 160,000 รถถัง 1,800 คัน กองทัพอากาศสูญเสียถึง 50%
ก่อนศึก battle of Britain
การรอดไปของทหารอังกฤษในครั้งนี้คือหายนะของเยอรมัน เพราะถ้าอังกฤษละลายในสมรภูมินี้
คงไม่มีกำลังใจในการรบ ซึ่งยืนยันโดยคำพูดของ นายพลเยอรมัน ไฮนซ์ กูเดเรียน
นายพลเยอรมันยกย่องทหารฝรั่งเศสที่กล้าหาญช่วยบล็อกการรุกทางเข้าสู่ทะเลก่อนจะถึงอังกฤษ
“ดันเคิร์กทำให้เยอรมันรู้ว่า ทหารฝรั่งเศสคือหนึ่งในทหารที่ดีที่สุดในโลก การยันกองทัพที่มีจำนวน
ต่างกันมหาศาล และทรงอำนาจ ทหารฝรั่งเศสได้ช่วยชีวิตกองทัพอังกฤษให้ข้ามช่องแคบไปได้”
ตรงกันข้ามที่เกาะอังกฤษ สื่ออังกฤษได้สร้างนิยายที่ชื่อว่า จิตวิญญาณแห่งดันเคิร์ก (Dunkirk Spirit)
กล่าวถึงความกล้าหาญของทหารอังกฤษด้วยการโฆษณาขวนเชื่อ
พวกเขายังเรียกมันว่า ปาฏิหาริย์แห่งดันเคิร์ก (Miracle of Dunkirk)
หึ..มันไม่มีหรอกปาฏิหาริย์ มันมีแต่ความกล้าหาญ และทักษะการรบอันน่าทึ่งของทหารฝรั่งเศส
จากหนังสือ Dunkirk: The Patriotic Myth
https://www.amazon.com/Dunkirk-Patriotic-Myth-Nicholas-Harman/dp/0517364727
จากภาพยนตร์ Dunkirk สู่ประวัติศาสตร์ที่ถูกลืมของกองทัพฝรั่งเศส
“ความจริง คือศพแรกที่ตายในสงคราม”
“ดันเคิร์กตอนนี้ไม่มีอะไรเป็นมากกว่าเปลวเพลิง
กองทัพอากาศข้าศึกกำลังส่งความตายมาให้เรา
บางทีในอาจเป็นชั่วโมงสุดท้ายของผม
แต่เราจะต้องไม่ยอมจำนน เพื่อส่งกองทัพพันธมิตรลงเรือ
เราจะต้องตรึงกำลังจนเสร็จภารกิจ และเราเป็นหน่วยสุดท้าย
ที่จะยอมจำนน”
หนึ่งในบันทึกของทหารฝรั่งเศส
พฤษภาคม 1940
กองทัพฝรั่งเศส อังกฤษ เบลเยียม ติดอยู่ในวงล้อมของกองทหารเยอรมัน ที่บูโลญจน์ – เซดอง (Boulogne - Sedan)
ขณะที่นายพลแมกซิม เวกอง (Maxime Weygand) ของฝรั่งเศสที่ถูกเรียกตัวกลับจากซีเรีย กำลังคิดแผนโต้กลับ
แต่ ลอร์ด กอร์ท (Lord Gort) ผู้บัญชาการกองทัพอังกฤษ British Expeditionary Force (BEF) สั่งถอยทัพ
จากดันเคิร์ก ลงเรือกลับเกาะอังกฤษ
ด้วยความขมขื่น สุดท้ายแล้วนายพลฝรั่งเศสต้องยอมรับให้กองทัพฝรั่งเศสคุ้มกันกองทัพอังกฤษให้อพยพกลับสู่อังกฤษ
เรียกปฏิบัติการครั้งนี้ว่า “ปฏิบัติการไดนาโม (Operation Dynamo)” มีศูนย์ปฏิบัติการอยู่ที่เมืองโดเวอร์
24 – 26 พ.ค. กองทัพที่เหนื่อยล้าของเยอรมันหยุดการรุก ทำให้กองทัพพันธมิตรมีโอกาสได้จัดกระบวนแนวป้องกัน
กองทัพพันธมิตร 400,000 นาย ถูกล้อมด้วยกองทหารเยอร์มัน 800,000 นาย
กองทัพเรืออังกฤษ ฝรั่งเศส เริ่มทำการอพยพในวันที่ 27 ร่วมด้วยกองเรือเล็ก “Little ships Amada” เรือเอกชนทุกชนิด
ประกอบด้วย อังกฤษ 519 ลำ ฝรั่งเศส 300 ลำ เนเธอร์แลนด์ 29 ลำ
27 พ.ค. กษัตริย์ลีโอโปลด์ที่สามแห่งเบลเยี่ยม(King Leopold III) ผู้บัญชาการกองทัพเบลเยี่ยม ตัดสินใจยอมแพ้
ทำให้สถานการณ์ของกองทัพอังกฤษ ฝรั่งเศส วิกฤติหนักมากยิ่งขึ้น
29 พ.ค. กองทัพเยอรมัน 160,000 นาย เริ่มรุกเข้าสู่แนวป้องกันของดันเคิร์ก
ทหารฝรั่งเศส 30,000 นำโดยนายพล ฟากัล (General fagalde) + 2,500 นายของอังกฤษ เข้าสู่แนวปะทะ
แต่แนวของกองกำลังอังกฤษแตกทันทีหลังการปะทะในครั้งแรก กลับกลายเป็นว่ากองทัพอากาศอังกฤษเท่านั้น
ที่รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับกองทัพฝรั่งเศส
ผลจากการประชุมร่วมอังกฤษ – ฝรั่งเศสที่โดเวอร์ สรุปจะไม่ให้กองทัพบกอังกฤษเข้าร่วมรบอีกแล้ว โดยการให้เหตุผลว่า
“พวกเขาเหนื่อยมากแล้ว”
นายทหารฝรั่งเศสต้องแจ้งกับทหารกับพวกเขาว่า “เราฝรั่งเศสจะต้องยันแนวรุกของเยอรมันให้ถึงที่สุด เพื่อรักษา
ทหารส่วนใหญ่ที่หัวหาดด้วยชีวิต
ทหารอังกฤษรวมกลุ่มกันรอคอยการอพยพที่ชายหาด
นายพล ฟากัล จัดกองกำลังรบฝรั่งเศสใหม่เพื่อตั้งรับการรุกเยอรมัน และรักษาช่องว่างให้กองทัพอังกฤษได้อพยพ
ในอีกส่วนที่เมือง ลีล (Lille) สองกองพลของฝรั่งเศสต้องจัดกองกำลังใหม่อย่างรีบเร่ง เพื่อตั้งรับทหารเจ็ดกองพลของเยอรมัน
สามในนั้นคือสุดยอดกองพลยานเกราะที่โดยนายพล รอมเมล ของเยอรมัน
28-31 พ.ค. เกิดตำนานการต่อต้านการรุกเข้าชายหาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งนึงในสงคราม
ปืนใหญ่ เครื่องบินทิ้งระเบิดเยอรมัน เปิดฉากถล่มเมืองดันเคิร์ก และแน่นอนทหารฝรั่งเศสยืนหยัดสู้ในทุกแนวรบ
ถึงขนาดนายพลเยอรมันบันทึกในไดอารี่ว่า การรุกโต้กลับของฝรั่งเศสเกิดขึ้นในทุกๆ แนวรบ ในจำนวนที่ต่างกันถึง
หนึ่งต่อยี่สิบ “ผมไม่เข้าใจพวกเขาทำได้อย่างไร ซึ่งมันเหมือนกับที่ แวร์เดิง 1916 (Battle of Verdun)
เราไม่สามารถทะลวงไปได้สักที่ และการสูญเสียของเราเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ”
ต้องขอบคุณการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ของทหารฝรั่งเศส การอพยพเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
2 มิถุนา ทหารอังกฤษคนสุดท้ายอพยพออกไปได้หมด แต่ในวันเดียวกัน นายพลเจนเซ่น นำกองทัพฝรั่งเศสที่ 12DMI
เข้าโจมตีเยอรมันและถูกสังหาร และทหารฝรั่งเศสบางส่วนเริ่มอพยพเป็นกลุ่มสุดท้าย
การอพยพถูกเยอรมันกดดันเป็นอย่างมาก และเป็นไปอย่างทุลักทุเล และโกลาหล
ความจริงคือทหารอังกฤษจัดทหารมาหนึ่งกอง ติดดาบขู่คอยไล่ขู่ทหารฝรั่งเศส ห้ามขึ้นเรือเล็ก
ก่อนอังกฤษและต้องไปเป็นกลุ่มสุดท้าย
เรือลำสุดท้ายออกจากดันเคิร์กเมื่อตี 3 วันที่ 4 มิถุนา และการรบสิ้นสุดเมื่อเวลา 10 โมงเช้า
ทหารฝรั่งเศส 35,000 คน วางอาวุธและถูกจับเป็นเชลย
เชอร์ชิล นายกรัฐมาตรีอังกฤษคาดว่าการอพยพจะช่วยทหารได้สูงสุด 30,000 – 40,000 คน
สุดท้ายการอพยพทหารอังกฤษทำได้ถึง 198,000 นาย รวมถึงนายพล มอนโกโมรี
ทหารเบลเยียม 140,000 นาย ทหารฝรั่งเศส 338,226 นาย
ราชนาวีอังกฤษเสียเรือไป 112 ลำ ฝรั่งเศส 123 ลำ ทหารอังกฤษทิ้งอาวุธหนักไว้ที่ชายหาดมากมาย
เมืองดันเคิร์ทเสียหายไปถึง 90% 9 วันในการรบพันธมิตรเสียทหาร 18,219 นาย
16,000 นายเป็นทหารฝรั่งเศส
ใช่แล้ว...ปฏิบัติการไดนาโมถูกเครมว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของทหารอังกฤษ
ซึ่งสามารถรักษาแนวป้องกันที่ดันเคิร์ก และปลอดภัยถึงเกาะอังกฤษ กลับบ้านอย่างวีรบุรุษ
ตรงข้ามกับทหารฝรั่งเศสพวกเขาพักขึ้นบกได้เพียง 2-3 ชั่วโมง แล้วถูกส่งกลับไปที่เมืองแบร็สต์
(Brest) ฝรั่งเศสเพื่อรบกับเยอรมันและอิตาลีต่อ
สรุปผลการรบ ทหารเยอร์มันสูญเสีย 160,000 รถถัง 1,800 คัน กองทัพอากาศสูญเสียถึง 50%
ก่อนศึก battle of Britain
การรอดไปของทหารอังกฤษในครั้งนี้คือหายนะของเยอรมัน เพราะถ้าอังกฤษละลายในสมรภูมินี้
คงไม่มีกำลังใจในการรบ ซึ่งยืนยันโดยคำพูดของ นายพลเยอรมัน ไฮนซ์ กูเดเรียน
นายพลเยอรมันยกย่องทหารฝรั่งเศสที่กล้าหาญช่วยบล็อกการรุกทางเข้าสู่ทะเลก่อนจะถึงอังกฤษ
“ดันเคิร์กทำให้เยอรมันรู้ว่า ทหารฝรั่งเศสคือหนึ่งในทหารที่ดีที่สุดในโลก การยันกองทัพที่มีจำนวน
ต่างกันมหาศาล และทรงอำนาจ ทหารฝรั่งเศสได้ช่วยชีวิตกองทัพอังกฤษให้ข้ามช่องแคบไปได้”
ตรงกันข้ามที่เกาะอังกฤษ สื่ออังกฤษได้สร้างนิยายที่ชื่อว่า จิตวิญญาณแห่งดันเคิร์ก (Dunkirk Spirit)
กล่าวถึงความกล้าหาญของทหารอังกฤษด้วยการโฆษณาขวนเชื่อ
พวกเขายังเรียกมันว่า ปาฏิหาริย์แห่งดันเคิร์ก (Miracle of Dunkirk)
หึ..มันไม่มีหรอกปาฏิหาริย์ มันมีแต่ความกล้าหาญ และทักษะการรบอันน่าทึ่งของทหารฝรั่งเศส
จากหนังสือ Dunkirk: The Patriotic Myth
https://www.amazon.com/Dunkirk-Patriotic-Myth-Nicholas-Harman/dp/0517364727