ในฝั่งฝัน (บทที่ 22)

ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ คุณโอ เขมปัณณ์, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, คุณ สมาชิกหมายเลข 816465, จารย์จี GTW, คุณ PuPaKae, คุณลิ ลายลิขิต, คุณนัน turtle_cheesecake, น้องนุ้ย ณวลี, คุณ เป่าชาง, คุณ มานีโอลา ถูกใจ
ขอบคุณสำหรับทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ

บทก่อนๆ ค่ะ
บทแรก - บทที่ 1  http://ppantip.com/topic/35638204
บทที่ 2 - บทที่ 3  http://ppantip.com/topic/35648626
บทที่ 4  http://ppantip.com/topic/35655325
บทที่ 5  http://ppantip.com/topic/35665748
บทที่ 6  http://ppantip.com/topic/35669708
บทที่ 7  http://ppantip.com/topic/35673616
บทที่ 8  http://ppantip.com/topic/35680516
บทที่ 9  http://ppantip.com/topic/35683775
บทที่ 10 http://ppantip.com/topic/35688063
บทที่ 11  http://ppantip.com/topic/35695077
บทที่ 12  http://ppantip.com/topic/35729742
บทที่ 13  http://ppantip.com/topic/35740950
บทที่ 14  http://ppantip.com/topic/35748347
บทที่ 15  http://ppantip.com/topic/35759445
บทที่ 16  http://ppantip.com/topic/35763053
บทที่ 17  http://ppantip.com/topic/35770302
บทที่ 18  http://ppantip.com/topic/35774270
บทที่ 19  http://ppantip.com/topic/35780919
บทที่ 20  http://ppantip.com/topic/35788258
บทที่ 21  http://ppantip.com/topic/35796132


บทที่ 22



    “เห็นว่าคุณกริชไม่สบาย ก็เลยต้มข้าวต้มมาให้ค่ะ”

    ฉวีฝืนยิ้มอ่อนหวาน ใช้น้ำเสียงเป็นมิตรที่สุดเท่าที่จะทำได้เมื่อหญิงสาวผู้นั้นมาถึงประตูรั้ว หล่อนทำท่าทำทางเหมือนจะไหว้ หากติดที่ถาดซึ่งประคับประคองอยู่

    ไอรีนเปิดประตูรั้วให้ แล้วรับถาดมาเสีย พึมพำบอกขอบคุณขณะที่อีกฝ่ายประนมมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม

ฉวียังไม่เชื่ออยู่ดีว่าผู้หญิงคนนี้เคยเป็นผู้อุปการะนายอำเภอกริชมาก่อน ยิ่งเห็นใกล้ๆ ก็ยิ่งไม่เชื่อ ดูออกหรอกว่าหล่อนอายุเท่าๆ กับนายอำเภอนั่นแหละ จะอ่อนแก่กว่ากันบ้างก็คงไม่กี่ปี แต่ถ้าที่อำไพบอกเป็นความจริง ถ้าผู้หญิงคนนี้คือผู้มีพระคุณของนายอำเภอกริชจริงก็ไม่เสียหลายอะไรถ้าจะสร้างความสนิทสนมไว้แต่แรก เขาแสดงให้เห็นแล้วว่าผู้หญิงคนนี้มีความสำคัญต่อเขามากมายเพียงไร สำคัญขนาดทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงานหรือแม้แต่ความปลอดภัยของตัวเอง

หากถึงกระนั้น ตามประสาหญิงหล่อนอดไม่ได้ที่จะพิจารณาหล่อนในเชิงเปรียบเทียบ จะเปรียบกับใครหล่อนก็ไม่แน่ใจ

เมื่อเห็นใกล้ๆ ฉวีว่าหล่อนเหมือนคนต่างชาติ ผมเส้นละเอียดสีน้ำตาลนั้นเหลือบทองยามต้องแสงอาทิตย์ มีร่องรอยว่าดัดไว้เป็นคลื่นอ่อนๆ หากเวลานี้เหยียดตรง คงเพราะไม่ได้จัดแต่งมานานวัน วงหน้าสวยด้วยเครื่องหน้าบอบบาง ผิวเนียนลออตาแบบที่หล่อนเห็นแล้วอิจฉา นัยน์ตาจรัสแสงล้อมกรอบด้วยแผงขนตาหนาเป็นแพ จมูกเล็กๆ นั้นตั้งสันตรงแบบผู้หญิงตะวันตก ปลายจมูกเชิดน้อยๆ ถ้าไม่สังเกตก็คงไม่เห็น เรียวปากอิ่มเต็มดูนุ่มละมุนกำลังระบายรอยยิ้มอ่อนโยน

…แล้วแบบนี้มีหรือที่ผู้ชายยังหนุ่มยังแน่นอย่างนายอำเภอกริชจะมองไม่เห็น ในเมื่อหล่อนเองยังเห็น เห็นและออกจะขัดใจกับความงามหมดจดนี้ หากก็จำเป็นต้องเก็บกดความรู้สึกนั้นไว้เพียงภายใน ภายนอกจำต้องแสดงออกอีกแบบ

    “คุณกริชเป็นอย่างไรบ้างคะ เมื่อคืนเห็นท่าทางคงเจ็บมาก”

    เมื่อหล่อนแสดงความห่วงใยอย่างจริงใจ ไอรีนจำต้องบอกเล่าตามตรง บอกเพียงเท่าที่คิดว่าเหมาะสม

“เมื่อคืนมีไข้ค่ะ ตอนนี้ยังไม่ตื่นเลย”

    “ตายจริง” นิ้วเรียวยกขึ้นทาบอกอย่างมีจริต ท่าทางหล่อนตกอกตกใจไม่เสแสร้ง “มีไข้ด้วยหรือคะ เรื่องใหญ่นะคะมีไข้นี่”

“เป็นห่วงอยู่เหมือนกันค่ะ คงจากแผลที่ถูกยิงเมื่อวันก่อน”

นนท์เป็นคนตั้งข้อสังเกตว่าอย่างนั้น แม้น้องชายเธอจะไม่ใช่หมอ นนท์เป็นเภสัชกร แต่ไอรีนก็คิดว่าน้องคงรู้อยู่บ้างหรอก อาการของกริชหนักหนาจนน่าเป็นห่วง เขาเริ่มมีไข้ตั้งแต่มาถึงแล้ว บางทีอาจมีอาการมาก่อนหน้านั้นเสียด้วยซ้ำ เธอบอกให้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนอนพักเสีย คิดว่าจะหาน้ำมาให้เขาอย่างน้อยก็ได้ล้างหน้า อาจโกนหนวดเคราเสียด้วย แต่พอลงไปรองน้ำจากถังเก็บน้ำทางด้านหลังบ้านพักขึ้นมา เขาก็หลับไปก่อนแล้ว หลับไปทั้งๆ ที่ยังคงอยู่ในเสื้อผ้าชุดเดิม ร่างสูงล่ำสันนอนเหยียดยาวขวางเตียงอย่างหมดสภาพ ร่องรอยเครียดเคร่งและเหน็ดเหนื่อยยังคงฉายชัดที่สีหน้า ที่หัวคิ้วซึ่งยังคงขมวดมุ่น และที่รอยย่นบนหน้าผาก เธอจึงวางอ่างใส่น้ำใบเล็กและผ้าขนหนูซึ่งเตรียมมาด้วยไว้บนโต๊ะทำงานข้างหน้าต่าง คลี่ผ้าห่มคลุมให้ แล้วเฝ้าดูอาการของเขาอยู่ครู่หนึ่ง

เธอเฝ้าดูชายหนุ่มซึ่งเมื่อหลายปีก่อนเป็นเด็กชายร่างผอมเก้งก้าง แขนขายืดยาวดูเกะกะไปเสียหมด เธอเห็นเด็กคนนั้นครั้งแรกเมื่อเขามีอายุเพียงสิบสองขวบ เมื่อครั้งที่เธอเพิ่งแต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านของคุณราม ในเวลาที่ตัวเธอเองก็เรียกว่าเพิ่งผ่านพ้นวัยเด็กมาได้เพียงไม่นาน เมื่อมองย้อนกลับไป ยังจำได้แม้แต่น้ำเสียงของคุณหญิงละออผู้เป็นมารดาของคุณรามในเย็นวันนั้นเมื่อท่านบอกเธอว่า

“นี่เจ้ากริช…เป็นลูกหลานทางพ่อของพ่อรามเขา เห็นมันกำพร้า ถูกทิ้งถูกขว้าง ก็เลยเอามาเลี้ยง สงสารมัน หน่วยก้านมันดี พ่อรามก็เลยส่งให้เรียนหนังสือที่โรงเรียนสำเหร่”

ยี่สิบปีผ่านไป ไม่น่าเชื่อว่าเด็กกำพร้าผู้นั้นจะเติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มผู้มีเรือนร่างสูงใหญ่และบึกบึนไม่ต่างอะไรจากญาติผู้พี่…ไม่ต่างอะไรจากคุณราม ทั้งยังอึดได้ถึงเพียงนี้ นนท์เองพอรู้เห็นอาการของเขาก็ยังไม่อยากเชื่อว่าเขายืนหยัดอยู่อย่างไรได้นานขนาดนั้น หลังตามล่าจนได้ตัวเสือร้ายที่ผู้คนหวาดกลัวกันมานาน เขาขับรถจี๊ปเปิดประทุนของอำเภอจากหัวหินรวดเดียวถึงชะอำในเวลาดึก พร้อมบาดแผลจากกระสุนปืนรวมทั้งหมดสี่นัดราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อคิดทบทวนไปในหนหลังก็พอสรุปได้ว่ากริชคงเป็นเช่นนั้นเอง เวลาที่เขามุ่งมั่นจะทำอะไรแล้วเขาไม่เคยนึกถึงตัวเอง จนเมื่อรู้ว่างานที่ต้องทำเสร็จสิ้นลงแล้วนั่นแหละ เขาจึงยอมหยุด หยุดและเหมือนล้มทั้งยืนอย่างที่คุณรามเคยเปรียบให้ฟัง

กริช ‘ล้ม’ ในที่สุด ไม่ต่างอะไรกับครั้งที่ถูกยิงจนเกือบตายเมื่อพากำลังตำรวจบุกเข้าไปปิดบ่อนอิทธิพลสมัยที่เป็นปลัดอำเภอ และเวลานี้เธอคิดว่าเขาควรได้พักแล้ว พักยาวๆ อย่างน้อยก็จนกว่าอาการจะดีขึ้น
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่