ในฝั่งฝัน (บทที่ 20)

ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ คุณ PuPaKae, คุณ อุรุเวลา, คุณ ริมแม่โขง, น้องนุ้ย ณวลี, คุณลิ ลายลิขิต, น้องดาว Lady Star 919, จารย์จี GTW, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, คุณแอนนี่ annie <harmonica>, คุณ เป่าชาง
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ


บทก่อนๆ ค่ะ
บทแรก - บทที่ 1  http://ppantip.com/topic/35638204
บทที่ 2 - บทที่ 3  http://ppantip.com/topic/35648626
บทที่ 4  http://ppantip.com/topic/35655325
บทที่ 5  http://ppantip.com/topic/35665748
บทที่ 6  http://ppantip.com/topic/35669708
บทที่ 7  http://ppantip.com/topic/35673616
บทที่ 8  http://ppantip.com/topic/35680516
บทที่ 9  http://ppantip.com/topic/35683775
บทที่ 10 http://ppantip.com/topic/35688063
บทที่ 11  http://ppantip.com/topic/35695077
บทที่ 12  http://ppantip.com/topic/35729742
บทที่ 13  http://ppantip.com/topic/35740950
บทที่ 14  http://ppantip.com/topic/35748347
บทที่ 15  http://ppantip.com/topic/35759445
บทที่ 16  http://ppantip.com/topic/35763053
บทที่ 17  http://ppantip.com/topic/35770302
บทที่ 18  http://ppantip.com/topic/35774270
บทที่ 19  http://ppantip.com/topic/35780919


บทที่ 20


    
    ไอรีนบิดแขนเพื่อให้หลุดพ้นจากการเกาะกุม แต่มือหยาบกร้านนั้นแข็งแกร่งไม่ต่างอะไรกับคีมเหล็ก ทั้งอีกมือยังคว้าแขนอีกข้างของเธอไว้ได้เสียอีก และแทบไม่ต้องออกแรงดึง ร่างเล็กๆ ก็ปลิวตามลงมาจากรถอย่างง่ายดาย

    ฝนยังคงกระหน่ำหนัก เพียงแค่พ้นจากชายคารถยนต์เธอก็เปียกโชก เหลียวหาน้องชายด้วยความห่วงใย หากทว่าความมืดและสายฝนที่สาดซัดใบหน้าทำให้แม้แต่จะลืมตาก็ยังแสนยาก

    ฉวยโอกาสเมื่ออีกฝ่ายละมือจากแขนลงรวบเอวจากทางด้านหลัง ไอรีนดิ้นสุดฤทธิ์ ยิ่งเมื่อทั้งตัวถูกยกลอยขึ้นสูงจนปลายเท้าพ้นพื้นดินก็ยิ่งดิ้น

    “อย่าดิ้นครับคุณหญิง เจ็บตัวเปล่าๆ” เสียงกระซิบเตือนนั้นต่ำลึก แม้จะสุภาพ แต่ก็ยังไม่วายส่อเค้าข่มขู่และคุกคาม “ผมต้องการแต่รถของคุณหญิงกับของในรถเท่านั้นเอง”

    เธอไม่แน่ใจว่าได้ยินประโยคหลังชัดเจนหรือไม่ในเมื่อใจมุ่งมั่นอยู่แต่เพียงอย่างเดียวคือดิ้นให้หลุด ทั้งในสถานการณ์แบบนี้ใครเลยจะยอมฟังคำสั่งของใคร เธอจึงดิ้นหนักขึ้นอีก และสองแขนล่ำสันที่โอบอยู่รอบเอวก็ยิ่งรัดแน่นขึ้นตามไปด้วย รู้ว่าเขากำลังพาตัวออกมาจากรถซึ่งเปรียบไปก็ไม่ต่างอะไรกับที่หลบภัยสุดท้าย

รวบรวมสติและกำลังที่มีทั้งหมด แล้วกระแทกข้อศอกไปข้างหลังจนสุดแรงเกิด ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเป้าหมายคืออะไร ผลคือเสียงสบถหยาบๆ คายๆ และเกือบจะทันทีนั้น อะไรบางอย่างทั้งหนาและหนักก็ฟาดลงมาอย่างรุนแรงที่ท้ายทอย ความรู้สึกดับวูบลงเพียงแค่นั้น

    รู้สึกตัวอีกครั้งอย่างมึนงงเมื่อรอบด้านมืดสนิท มืดจนไม่เห็นอะไรเลยแม้เพียงอย่างเดียว ขยับจะลุกแต่ก็ต้องทิ้งตัวกลับลงนอนราบดังเดิมเมื่อปวดหนึบบริเวณท้ายทอย ปวดจนร้าวขึ้นมาถึงกลางศีรษะ ไม่เพียงเท่านั้นยังเจ็บแปลบๆ ที่แขนทั้งสองข้างอีกด้วย

    อากาศหลังฝนตกเย็นจนหนาว ประกอบกับเสื้อและกระโปรงทรงตรงที่สวมยังคงเปียกชื้น แสดงว่าคงไม่ได้หมดสติไปนานสักเท่าไรนัก เมื่อแน่ใจว่ารอบตัวไม่มีใครคนอื่น ไอรีนหลับตาลงอีกครั้ง พยายามทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น ที่นี่คือที่ไหน และมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร

    พอตาหลับ สติก็ค่อยมั่นคงขึ้น เริ่มได้ยินเสียงน้ำหยดเปาะแปะลงบนหลังคามุงจาก มีเสียงอึ่งอ่างร้องระงมอยู่ไม่ไกล ประสานกับเสียงหนึ่งซึ่งฟังดูแปลกจนไม่แน่ใจในทีแรก จนเสียงนั้นดังขึ้นซ้ำสอง เป็นเสียงฟืดฟาดของม้า เธอแน่ใจเช่นนั้น และมีมากกว่าตัวเดียว คราวนี้ได้ยินชัดเจน เมื่อรวมกับกลิ่นอับผสมกลิ่นดิน ทั้งหมดนั้นช่วยเรียกความทรงจำกลับคืนมาได้บ้าง จำได้คลับคล้ายคลับคลาแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้

พอจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ความกังวลแรกคือน้องชาย ครั้งสุดท้ายที่เห็นน้องและเท่าที่จำได้เป็นเพียงภาพเลือนรางในความหม่นมัวเมื่อนนท์ถูกลากลงจากรถยนต์ อดสังหรณ์ใจไม่ได้ว่าน้องอาจกำลังตกอยู่ในอันตราย

ใช้แขนยันตัวขึ้นนั่งพร้อมกับร้องเรียกแผ่วๆ ด้วยเกรงว่าจะมีใครได้ยิน

    “นนท์”

    เงียบ ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา เท่าที่ได้ยินมีเพียงแคร่ไม้ไผ่ลั่นเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่ขยับตัว

เพิ่งเห็นว่าแท้จริงแล้วบริเวณนี้ก็ไม่ได้มืดไปเสียทั้งหมด ฝั่งตรงข้ามด้านปลายเท้ามีแสงสว่างลอดผ่านกรอบสี่เหลี่ยมทรงสูงเข้ามารำไร พอดูออกว่าตรงนั้นเป็นประตู และแสงที่เห็นก็มาจากภายนอก ตรงนั้นเองคือทางออกไปจากที่นี่

    คิดได้อย่างนั้นไอรีนเบี่ยงสองขาลงแล้วขยับลุกยืน แต่พอเท้าแตะพื้น อาการวิงเวียนพุ่งปราดขึ้นมาเป็นริ้วๆ ทั้งร่างโงนเงนไปมาจนเกือบล้ม ดีที่ใช้มือยันแคร่เอาไว้ได้ทัน

มีแสงวูบวาบมาจากทางด้านหลัง และเธอก็หันขวับไปดู แทบผงะเมื่อเห็นว่าเป็นผู้ชายร่างสันทัด ท่อนบนเปลือยเปล่า ท่อนล่างมีเพียงกางเกงสีคล้ำยาวถึงแข้ง มือหนึ่งหิ้วตะเกียงเจ้าพายุ อีกมือยังคงยึดบานประตูไม้ซึ่งพอเห็นชัดๆ ก็รู้ว่าไม่ได้แข็งแรงสักเท่าไรนัก

    ไอรีนถอยกรูดไปจนชนฝาขัดแตะฝั่งตรงข้าม จ้องตอบสายตาตื่นๆ ที่มองฝ่าความมืดเข้ามา สบายใจอยู่บ้างที่ฝ่ายนั้นหยุดยืนอยู่เพียงธรณีประตูและไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาใกล้กว่านั้น ทั้งยังไม่แสดงท่าทีคุกคามใดๆ ให้เห็นอีกด้วย เพียงยืนดูครู่เดียวก็ถอยกลับออกไปพร้อมปิดประตูไว้ดังเดิม  

    ถอนใจยาวอย่างโล่งอกเมื่อทั้งห้องกลับมืดลงอีกครั้ง กลับกลายเป็นว่าในสถานการณ์เช่นนี้ความมืดดูจะเป็นเครื่องคุ้มกันภัยได้ดีกว่าอะไรอื่น และเพิ่งรู้สึกตัวตอนนี้เองว่าใต้เท้าเป็นดินโคลนเฉอะแฉะ รองเท้าหนังส้นเตี้ยที่สวมอยู่เป็นประจำหายไปเสียข้างไหนก็ไม่อาจรู้ได้

พยายามสงบสติอารมณ์อีกครั้งด้วยรู้ดีว่าในสภาพเช่นนี้คงทำอะไรไม่ได้ ทั้งยังไม่กล้าขยับเขยื้อนไปทางไหนในเมื่อมองไม่เห็นอะไรเลย ทบทวนสภาพรอบตัวที่พอเห็นได้จากแสงตะเกียงชั่วขณะสั้นๆ เมื่อครู่ก็พอบอกได้ว่าที่นี่เป็นเพิงหรือกระท่อมที่ไหนสักแห่ง ภายในแคบและไม่มีหน้าต่าง ไม่มีเครื่องเรือนใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากแคร่ไม้ไผ่ซึ่งวางอยู่เกือบกึ่งกลางห้องเท่านั้นเอง

มีเสียงม้าร้องแว่วมาให้ได้ยินจากภายนอกอีกครั้ง คราวนี้ตามด้วยเสียงผู้คนพูดคุยกันเบาๆ เสียงคุยนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดเหมือนมาหยุดอยู่ข้างๆ นี่เอง

    เธอยืนหลังเบียดฝาห้องอยู่นานก็ไม่เห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้นอีก จึงตัดสินใจควานมือเปะปะนำหน้า ก่อนก้าวเท้าเชื่องช้าไปในทิศทางซึ่งแน่ใจว่าเป็นประตู แม้ในเวลานี้จะไม่มีแสงเลือนๆ ส่องผ่านรอยแยกเข้ามาให้เห็นอย่างเมื่อครู่แล้วก็ตาม

    สืบเท้าไปข้างหน้าทีละก้าวจนปลายเท้าขวาเตะแคร่ไม้ไผ่ก็มีอันต้องสะดุดกึกเมื่อจู่ๆ มีแสงสว่างวูบเข้ามาพร้อมกับประตูเปิดออกอีกครั้ง และคนที่ยืนคาอยู่ตรงนั้นคราวนี้ไม่ใช่ผู้ชายวัยกลางคนเช่นเมื่อครู่ แต่คนนี้หนุ่มกว่า แต่งเนื้อแต่งตัวรัดกุมกว่า และเป็นคนซึ่งเธอเพิ่งรู้จัก...หรือคิดว่ารู้จัก

    “คุณหญิง…จะไปไหนหรือครับ” เสียงห้าวๆ นุ่มนวลและคำพูดก็ยังคงสุภาพ ขัดกับสภาพความเป็นไปรอบตัวในเวลานี้ลิบลับ

    “คุณวิรัตน์…” ไอรีนอุทานชื่อซึ่งเขาใช้แนะนำตัวเมื่อบ่าย หากก็ยังไม่แน่ใจเสียทีเดียว แสงตะเกียงก่อให้เกิดแสงเงาแปลกๆ สร้างภาพที่อาจผิดเพี้ยนไปจากความจริงก็เป็นได้ เจอเข้ากับสถานการณ์น่าหวาดหวั่นแบบนี้เธอไม่แน่ใจอีกแล้วว่าอะไรคือความจริง

“คุณวิรัตน์ใช่ไหมคะ”

และเขาก็ยืนยัน “ครับคุณหญิง”

คำตอบนั้นแฝงร่องรอยขบขันชนิดปกปิดไม่มิด ราวพึงพอใจที่ทำให้หญิงสาวเข้าใจผิดได้ถึงเพียงนี้

“ที่นี่ที่ไหนคะ แล้วน้องชายของดิฉันล่ะคะ”

เขาไม่ตอบในทันที กลับก้าวเข้ามาภายในพร้อมปิดประตูตามหลัง เห็นอย่างนั้นไอรีนถอยหลังไปสองก้าวอย่างระแวดระวังภัย ไม่ว่าภายนอกจะเป็นเช่นไร ถ้าเขาเปิดประตูทิ้งไว้เธอคงรู้สึกดีกว่านี้

“น้องชายคุณหญิงคงไม่เป็นอะไร”

เขาถือว่าไม่ได้โกหก ในเมื่อไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าทิ้งร่างไร้สติของชายหนุ่มผู้นั้นไว้ข้างทางซึ่งมีรถผ่านไปมา ต้องมีคนขับรถผ่านมาเห็นเข้าแน่ๆ ถือว่าให้โอกาสเอาชีวิตรอดแล้วในเมื่อฝ่ายนั้นไม่ได้ต่อสู้อะไรมากมาย

เมื่อเขาไม่แสดงอากัปกิริยาดุร้ายใดๆ ไอรีนจึงกล้าถามต่อ “คุณพาดิฉันมาที่นี่ทำไม”

แทนคำตอบกลับเป็นรอยยิ้มน้อยๆ ที่ริมฝีปากใต้เรียวหนวดบาง และเรื่องเล่าที่ทำให้เธอขนลุก

“ที่จริงผมไม่ได้คิดจะเอาตัวคุณหญิงมาหรอกครับ อยากได้แต่รถเท่านั้นเอง แต่พอคุณหญิงสู้ ผมก็เลย…” เขาหยุดไปชั่วอึดใจก่อนว่าไปอีกเรื่อง

“ผมเคยได้ยินผู้คนพูดถึงคุณหญิงของเจ้าคุณสิทธิ์ฯ มานาน ไม่คิดว่าจะได้พบตัวจริงในที่สุด ผมรู้จักเจ้าคุณดีครับคุณหญิง แต่ท่านคงไม่รู้จักผม ผมเห็นท่านมาตั้งแต่ยังเล็ก ผมเคยวิ่งเล่นอยู่แถวบ้านพักหลังนั้นของเจ้าคุณนั่นแหละครับ คุณหญิงคงไม่รู้ว่าเมื่อยังเล็กเจ้าคุณเป็นวีรบุรุษของผม ผมเคยอยากเป็นทหารก็เพราะท่าน”

ยิ้มนั้นกว้างขึ้นเมื่อเดินเรียบเรื่อยมาวางตะเกียงในมือลงบนแคร่ แม้เหมือนเขาจะแสดงความเป็นมิตร อย่างน้อยก็พูดถึงคุณรามในทางดี แต่ไอรีนก็ยังไม่ไว้ใจ ถ้าเขาชื่นชมคุณรามขนาดนั้น แล้วทำไมต้องทำร้ายเธอและนนท์ด้วย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่