สวัสดีครับ....ผมอยากขอคำแนะนำจากเพื่อนๆหน่อยครับ
ก่อนอื่นผมต้องบอกก่อนนะครับว่าผม จบวิศวะ จากมหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง พอจบปั๊ปก็ได้งานปุ๊ป ตอนนั้นได้งานเป็น Sales Engineer บริษัทเอกชนเล็กๆเเห่งหนึ่ง ทำงานได้ 3 เดือนก็ต้องออกเพราะมีปัญหาเรื่องข้อตกลงสัญญาบลาบลาบลา จากนั้นผมก้อพักมาทำธุรกิจส่วนตัวเล็กๆ เป็นกระเป๋าแฮนด์เมดซึ่งที่จริงผมก็ทำธุรกิจตัวนี้มาตั้งแต่สมัยเรียน ม.ปลายแล้ว จึงตัดสลับมาทำต่อได้เลยไม่ได้มีรอยต่ออะไร ช่วงแรกที่กลับมาลุยอย่างจริงจัง รายได้โอเครมากครับแต่ก้อแอบมีบางช่วงที่แอบเงียบๆ คือแต่ละเดือนไม่แน่นอน ควบคุมหรือวางแผนทางการเงินค่อนข้างยาก และประเด็นเมื่อปลายปี 58 ดูเหมือนภาวะเศรฐกิจเริ่มชะลอตัว คนเริ่มใช้จ่ายกันน้อยลง ทำให้ยอดขายในแต่ละเดือนแทบจะไร้ซึ่งการควบคุมไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างคล้องตัว บวกกับญาติผู้ใหญ่หลายๆคนเริ่มถามว่า ทำไมไม่ทำงาน เรียนมาทำไมวิศวะ ถ้าจะขายของแบบนี้จะจบสูงๆมาทำไม มีคำเหล่านี้วนเวียนผ่านหูมาตลอดมากมาย ตอนแรกก็ยิ้มสู้ พอนานวันเข้า แม่ก็เริ่มพูดว่าอยากให้ลองทำงานประจำดู ลองวิชาที่เรียนมาหน่อย ถือว่าเป็นประสบการณ์ ตอนนั่นลังเลอยู๋พักใหญ่ เลยตัดสินใจลองดูอย่างน้อยจะได้ไม่มีใครดูถูกได้ว่า เรียนสูงแต่ตกงาน จากนั่นผมก็เริ่มสมัครงานจนมาได้งาน ที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่เป็นองค์กรใหญ่พอสมควร เงินเดือนที่ได้ 16500 +ค่าสึกหรอรถ 3500 ค่าโทรศัพท์ 2400 ค่าน้ำมันรถ 6000 +คอมมิชชั่นอีกต่างหาก รวมๆแล้วผมถือว่าโอเครนะสำหรับคนไม่มีประสบการณ์อย่างผม ทำงาน จ-ศ ส่วน วันเสาร์อาทิตย์ผมจะต้องเข้าไปเปิดร้าน เรียกได้ว่าทำงาน 7 วัน ไม่มีเวลาพัก แต่รายได้ก้ไม่ได้เพิ่มขึ้นเพราะถึงได้เงินเดือนเพิ่มเติมเข้ามา แต่รายได้จากการขายของก็ลดลงไปเนื่องจากเราไม่ได้เข้าไปโฟกัสกับมันมากไม่มีคนทำของ พอของน้องลง รายได้ในส่วนนั้นก็น้อยลงตามไปด้วย แต่สิ่งที่ได้มาคือหน้าตาทางสังคมที่ดีขึ้นนะ (ตอนขายของอย่างเดียวรู้สึกว่ามีแต่คนดูถูกอันนี้จริงๆนะ ไม่รู้สังคมเราเป็นอะไรกัน) เครดิตทางการเงินที่ดีขึ้น ทั้งๆที่เงินผ่านบัญชีเท่าๆเดิมหรืออาจจะน้อยกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่ไม่เป็นไรถือว่าเป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ เจอคนใหม่ๆที่หลากหลายแบบ แตกต่างทั้งที่มาและนิสัย และสิ่งที่ได้เพิ่มขึ้นมาคือรายจ่าย รายจ่ายเดิมที่บ้านก็ยังจ่ายเท่าเดิม ทั้ง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่ารายอาทิตย์ให้แม่ ค่าอาหารหมา ค่าอาหารแมว ค่างวดรถ และเพิ่มเติมมาอีกคือค่า หอพัก เหมือนจ่ายแบบเดิมคูณสอง กลายเป็นมนุษย์ผู้มี 2 บ้านไปโดยปริยาย 5555+ แต่อย่างนอนก็รู้รายรับแน่นอนไง ยังไงก็ได้เงินเดือนแน่ๆจะกลัวอะไร เข้าทำงานแรกๆ รู้สึกโอเครมากเลย เจ้านายดี เพื่อนร่วมงานดี ทำงานได้อย่างคล่องตัว สบายจิต สบายใจ ถือว่าทำงานได้อย่างราบรื่นมีความสุข แต่พอครบ 3 เดือน ช่วงประเมินโปร เหมือนจะไม่ถูกจริตรองประธานกรรมการ ทีแรกแกกะจะไม้ให้ผ่านโปร แต่หัวหน้าช่วยเต็มที่ ให้ต่อโปรไปก่อน ไม่ได้เป็นลูกรักก็เงี้ยแหละ ยิ่งบริษัทที่การเมืองรุนแรงขนาดนี้ หาทางเขี่ยเด็กต่างขั่วคนต่างขั่วออกกันอยู่แล้ว ตอนนั้นเริ่มเครียดนะ รู้สึกจิตตกไปเลย คือผลงานก็มี KPI ก็ไม่หลุด แล้วทำไมทำกันแบบนี้ ท้อนะจนคิดว่าจะไปแล้วบายบาย แต่ ตอนนั้นหัวหน้าก็พยายามช่วย เพื่อนร่วมทีมก็ช่วย ขนาดคนต่างทีมที่อยู่แผนกเดียวกันยังช่วย พูดไปก็แอบซึ้งนะ ที่ทุกคนช่วยเรา เลยมีกำลังใจสู้งานต่อไป เริ่มกลับมาทำงานอย่างมีความสุขอีกครั้งนึง แต่มันก้อไม่นานนัก พอจะหมดช่วงต่อโปรเท่านั่นแหละ ก็มีเรื่องอีก พอดีหัวหน้าลาไป ต่างประเทศ 2 อาทิตย์ พอกลับมาเท่านั่นแหละ โดนประธานกรรมการ เรียกไปจัดชุดใหญ่ เนื่องจากระหว่างที่หัวหน้าไม่อยู่ โดยใส่ร้ายป้ายสีต่างๆนาๆสารพัด คนไม่อยู่ไม่มีสิทธแก้ตัว จนหัวหน้าจะต้องออก เห้ยยย แล้วเรื่องโปรเราล่ะ ตอนนั้นคนในทีมก้อเริ่มหางานใหม่อย่างเร่งด่วน ผมก็เริ่มมีบริษัทอื่นๆติดต่อมาล่ะ แต่อยู่ดีๆหัวหน้าก็โทรมาว่าอย่าเพิ่งไปไหนนะ อยู่ช่วยพี่ก่อน พร้อมบอกว่า แกได้ย้ายไปขึ้นกับรองกรรมการ อีกคนนึง และเค้าคุยเรื่องผ่านโปรให้แล้ว ไม่มีปัญหา ตอนนั้นเหมือนพลังเพิ่มมาอีก 10 เท่าเลย เหมือนโกงความตายชัดๆ จากนั่นเราก็เร่งๆๆๆๆทำงานๆๆๆๆ แบบมีแรงเหลือๆ แต่ยังยังไม่จบ จากนั่นไม่นาน ก็ได้รับข่าวร้ายอีกครั้งนึงเมื่อหัวหน้าโดนให้ออก อีกแล้วว ตอนนั้นคือ รู้สึกแย่มาก แบบเหมือนมันสะสมมาหลายรอบหลายครั้ง เรื่องโปรก้อยังลอยอยู่ จะอะไรยังไง มืดแปดด้านตอนนั้น ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็มีคำสั่งสายฟ้าฟาดดลงมา ให้ย้ายชั้นทำงาน เปลี่ยนทีมใหม่ เปลี่ยนหัวหน้าใหม่ ซึ่งหัวหน้าใหม่ก็คือ 1 ในคนที่จ้องเล่นงานหัวหน้าเก่ามานานแสนนาน คิดว่าจะอยู่อย่างสบายไหมล่ะ เข้าห้องน้ำยังจิกตามเลย เห้อ ยิ่งทำจิตยิ่งตก สุขภาพจิตยิ่งแย่ สุขภาพร่างกายก้อไปตามๆกัน ที่จริงตอนนี้อยากออกมากๆ แต่ก็อยากได้ค่าคอมมิชชั้นที่ยังไม่ออกอีกก้อนนึง และก็กลัวว่ารายได้ที่แน่นอนในส่วนนี้จะหายไป แต่อีกใจก้อไม่ไหวคืออึดอัด ไม่มีใจจะทำงานล่ะ เพื่อนๆว่าผมควรตัดสินใจยังไงดี จะรอค่าคอมแล้วออก หรือออกเลย หรือทนทำไปเพื่อปัจจัยทางการเงินที่แน่นอน และถ้าออกมาทำธุรกิจต่อพอจะแนะนำการทำธุรกิจผมหน่อยได้ไหมครับ ใครพอให้คำปรึกษาเรื่องธุรกิจได้รบกวนด้วยครับ ผมทำธุรกิจกระเป๋าแฮนด์เมด ครับ
ขอคำแนะนำจากเพื่อนๆด้วยครับ
ปล.นี่ทำงานที่นี่มาจะครบปีล่ะ ยังไม่มีใครเซนต์ผ่านโปรให้นะครับ ใบโปรลอยไปลอยมา 5555+
ระหว่างเป็นลูกน้องแต่เงินมั่นคง กับ เป็นเจ้าของกิจการแต่ต้องเสี่ยงกับการขาดทุน
ก่อนอื่นผมต้องบอกก่อนนะครับว่าผม จบวิศวะ จากมหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง พอจบปั๊ปก็ได้งานปุ๊ป ตอนนั้นได้งานเป็น Sales Engineer บริษัทเอกชนเล็กๆเเห่งหนึ่ง ทำงานได้ 3 เดือนก็ต้องออกเพราะมีปัญหาเรื่องข้อตกลงสัญญาบลาบลาบลา จากนั้นผมก้อพักมาทำธุรกิจส่วนตัวเล็กๆ เป็นกระเป๋าแฮนด์เมดซึ่งที่จริงผมก็ทำธุรกิจตัวนี้มาตั้งแต่สมัยเรียน ม.ปลายแล้ว จึงตัดสลับมาทำต่อได้เลยไม่ได้มีรอยต่ออะไร ช่วงแรกที่กลับมาลุยอย่างจริงจัง รายได้โอเครมากครับแต่ก้อแอบมีบางช่วงที่แอบเงียบๆ คือแต่ละเดือนไม่แน่นอน ควบคุมหรือวางแผนทางการเงินค่อนข้างยาก และประเด็นเมื่อปลายปี 58 ดูเหมือนภาวะเศรฐกิจเริ่มชะลอตัว คนเริ่มใช้จ่ายกันน้อยลง ทำให้ยอดขายในแต่ละเดือนแทบจะไร้ซึ่งการควบคุมไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างคล้องตัว บวกกับญาติผู้ใหญ่หลายๆคนเริ่มถามว่า ทำไมไม่ทำงาน เรียนมาทำไมวิศวะ ถ้าจะขายของแบบนี้จะจบสูงๆมาทำไม มีคำเหล่านี้วนเวียนผ่านหูมาตลอดมากมาย ตอนแรกก็ยิ้มสู้ พอนานวันเข้า แม่ก็เริ่มพูดว่าอยากให้ลองทำงานประจำดู ลองวิชาที่เรียนมาหน่อย ถือว่าเป็นประสบการณ์ ตอนนั่นลังเลอยู๋พักใหญ่ เลยตัดสินใจลองดูอย่างน้อยจะได้ไม่มีใครดูถูกได้ว่า เรียนสูงแต่ตกงาน จากนั่นผมก็เริ่มสมัครงานจนมาได้งาน ที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่เป็นองค์กรใหญ่พอสมควร เงินเดือนที่ได้ 16500 +ค่าสึกหรอรถ 3500 ค่าโทรศัพท์ 2400 ค่าน้ำมันรถ 6000 +คอมมิชชั่นอีกต่างหาก รวมๆแล้วผมถือว่าโอเครนะสำหรับคนไม่มีประสบการณ์อย่างผม ทำงาน จ-ศ ส่วน วันเสาร์อาทิตย์ผมจะต้องเข้าไปเปิดร้าน เรียกได้ว่าทำงาน 7 วัน ไม่มีเวลาพัก แต่รายได้ก้ไม่ได้เพิ่มขึ้นเพราะถึงได้เงินเดือนเพิ่มเติมเข้ามา แต่รายได้จากการขายของก็ลดลงไปเนื่องจากเราไม่ได้เข้าไปโฟกัสกับมันมากไม่มีคนทำของ พอของน้องลง รายได้ในส่วนนั้นก็น้อยลงตามไปด้วย แต่สิ่งที่ได้มาคือหน้าตาทางสังคมที่ดีขึ้นนะ (ตอนขายของอย่างเดียวรู้สึกว่ามีแต่คนดูถูกอันนี้จริงๆนะ ไม่รู้สังคมเราเป็นอะไรกัน) เครดิตทางการเงินที่ดีขึ้น ทั้งๆที่เงินผ่านบัญชีเท่าๆเดิมหรืออาจจะน้อยกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่ไม่เป็นไรถือว่าเป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ เจอคนใหม่ๆที่หลากหลายแบบ แตกต่างทั้งที่มาและนิสัย และสิ่งที่ได้เพิ่มขึ้นมาคือรายจ่าย รายจ่ายเดิมที่บ้านก็ยังจ่ายเท่าเดิม ทั้ง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่ารายอาทิตย์ให้แม่ ค่าอาหารหมา ค่าอาหารแมว ค่างวดรถ และเพิ่มเติมมาอีกคือค่า หอพัก เหมือนจ่ายแบบเดิมคูณสอง กลายเป็นมนุษย์ผู้มี 2 บ้านไปโดยปริยาย 5555+ แต่อย่างนอนก็รู้รายรับแน่นอนไง ยังไงก็ได้เงินเดือนแน่ๆจะกลัวอะไร เข้าทำงานแรกๆ รู้สึกโอเครมากเลย เจ้านายดี เพื่อนร่วมงานดี ทำงานได้อย่างคล่องตัว สบายจิต สบายใจ ถือว่าทำงานได้อย่างราบรื่นมีความสุข แต่พอครบ 3 เดือน ช่วงประเมินโปร เหมือนจะไม่ถูกจริตรองประธานกรรมการ ทีแรกแกกะจะไม้ให้ผ่านโปร แต่หัวหน้าช่วยเต็มที่ ให้ต่อโปรไปก่อน ไม่ได้เป็นลูกรักก็เงี้ยแหละ ยิ่งบริษัทที่การเมืองรุนแรงขนาดนี้ หาทางเขี่ยเด็กต่างขั่วคนต่างขั่วออกกันอยู่แล้ว ตอนนั้นเริ่มเครียดนะ รู้สึกจิตตกไปเลย คือผลงานก็มี KPI ก็ไม่หลุด แล้วทำไมทำกันแบบนี้ ท้อนะจนคิดว่าจะไปแล้วบายบาย แต่ ตอนนั้นหัวหน้าก็พยายามช่วย เพื่อนร่วมทีมก็ช่วย ขนาดคนต่างทีมที่อยู่แผนกเดียวกันยังช่วย พูดไปก็แอบซึ้งนะ ที่ทุกคนช่วยเรา เลยมีกำลังใจสู้งานต่อไป เริ่มกลับมาทำงานอย่างมีความสุขอีกครั้งนึง แต่มันก้อไม่นานนัก พอจะหมดช่วงต่อโปรเท่านั่นแหละ ก็มีเรื่องอีก พอดีหัวหน้าลาไป ต่างประเทศ 2 อาทิตย์ พอกลับมาเท่านั่นแหละ โดนประธานกรรมการ เรียกไปจัดชุดใหญ่ เนื่องจากระหว่างที่หัวหน้าไม่อยู่ โดยใส่ร้ายป้ายสีต่างๆนาๆสารพัด คนไม่อยู่ไม่มีสิทธแก้ตัว จนหัวหน้าจะต้องออก เห้ยยย แล้วเรื่องโปรเราล่ะ ตอนนั้นคนในทีมก้อเริ่มหางานใหม่อย่างเร่งด่วน ผมก็เริ่มมีบริษัทอื่นๆติดต่อมาล่ะ แต่อยู่ดีๆหัวหน้าก็โทรมาว่าอย่าเพิ่งไปไหนนะ อยู่ช่วยพี่ก่อน พร้อมบอกว่า แกได้ย้ายไปขึ้นกับรองกรรมการ อีกคนนึง และเค้าคุยเรื่องผ่านโปรให้แล้ว ไม่มีปัญหา ตอนนั้นเหมือนพลังเพิ่มมาอีก 10 เท่าเลย เหมือนโกงความตายชัดๆ จากนั่นเราก็เร่งๆๆๆๆทำงานๆๆๆๆ แบบมีแรงเหลือๆ แต่ยังยังไม่จบ จากนั่นไม่นาน ก็ได้รับข่าวร้ายอีกครั้งนึงเมื่อหัวหน้าโดนให้ออก อีกแล้วว ตอนนั้นคือ รู้สึกแย่มาก แบบเหมือนมันสะสมมาหลายรอบหลายครั้ง เรื่องโปรก้อยังลอยอยู่ จะอะไรยังไง มืดแปดด้านตอนนั้น ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็มีคำสั่งสายฟ้าฟาดดลงมา ให้ย้ายชั้นทำงาน เปลี่ยนทีมใหม่ เปลี่ยนหัวหน้าใหม่ ซึ่งหัวหน้าใหม่ก็คือ 1 ในคนที่จ้องเล่นงานหัวหน้าเก่ามานานแสนนาน คิดว่าจะอยู่อย่างสบายไหมล่ะ เข้าห้องน้ำยังจิกตามเลย เห้อ ยิ่งทำจิตยิ่งตก สุขภาพจิตยิ่งแย่ สุขภาพร่างกายก้อไปตามๆกัน ที่จริงตอนนี้อยากออกมากๆ แต่ก็อยากได้ค่าคอมมิชชั้นที่ยังไม่ออกอีกก้อนนึง และก็กลัวว่ารายได้ที่แน่นอนในส่วนนี้จะหายไป แต่อีกใจก้อไม่ไหวคืออึดอัด ไม่มีใจจะทำงานล่ะ เพื่อนๆว่าผมควรตัดสินใจยังไงดี จะรอค่าคอมแล้วออก หรือออกเลย หรือทนทำไปเพื่อปัจจัยทางการเงินที่แน่นอน และถ้าออกมาทำธุรกิจต่อพอจะแนะนำการทำธุรกิจผมหน่อยได้ไหมครับ ใครพอให้คำปรึกษาเรื่องธุรกิจได้รบกวนด้วยครับ ผมทำธุรกิจกระเป๋าแฮนด์เมด ครับ
ขอคำแนะนำจากเพื่อนๆด้วยครับ
ปล.นี่ทำงานที่นี่มาจะครบปีล่ะ ยังไม่มีใครเซนต์ผ่านโปรให้นะครับ ใบโปรลอยไปลอยมา 5555+