วีรบุรุษพลร่มในฮาห์นเฮม(ร่มจริงๆ)

Major:Allison Digby Tatham-Warter
(พันตรี แอลลิสัน ดิกบี้ แทแสม วอร์เทอร์)...ชื่อยาวจังหนอ
ชื่อเล่น ดิกบี้(Digby)
กองพลร่มที่1แห่งอังกฤษ
เกิดวันที่21 พฤษภาคม ค.ศ.1917
ณ เมืองแอแชม ประเทศอังกฤษ

ผมให้ฉายากับเขาว่าวีรบุรุษร่มแห่งชาวอังกฤษ
ดิกบี้เขาคนนี้เป็นลูกคนที่สองของเฮนรี่ ดี เกร แทแสม วอร์เทอร์(Henry de Grey Tatham-Warter)หรือพ่อของเขานั้นเองพ่อของเขาได้เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่1โดยพ่อของเขานั้นได้ประจำการในสนามเพลาะและโดนเยอรมันโจมตีเข้าโดยใช้แก็สพิษทำให้พ่อของเขานั้นเสียชีวิตที่นั้นตอนดิกนั้นอายุ11ปีทำให้ดิกต้องใช้ชีวิตที่ขาดพ่อเลี้ยงดูแต่เขาก็ต่อสู้และเขาเข้ารับการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยที่โรงเรียนเอกชนเวลลิงตันเขาใฝ่ฝันที่จะเข้าเป็นทหารเหมือนพ่อของเขาและเขาต่อสู้จนได้รับการเข้ามหาวิทยาลัยกองทัพที่แซนเฮิร์สในปีค.ศ.1935

(ภาพถ่ายของดิกบี้)
หลังจากนั้นดิกนั้นได้จบจากแซนเฮิร์สและได้รับการแต่งตั้งเป็นร้อยตรีซึ่งเขาเลือกที่จะไปอยู่ในกองทัพอินเดียซึ่งได้อยู่ในกองพันทหารเบาที่2 อ๊อกซฟอร์ดชาย์และบักกิงแฮมชาย์ในวันที่13 มีนาคม ค.ศ1937และต่อมมาเขาถูกโอนให้มาอยู่กรมทหารราบ(กรมนี้ไม่ได้ขึ้นสังกัดกับกองทัพอินเดีย)ในวันนี่27 เมษายน ค.ศ.1938แต่เหตุผลที่เขาเลือกเข้ากองทัพอินเดียนั้นคือเพื่อเข้ากับงานอดิเรกเขานั้นคือการล่าสัตว์นั้นเอง เช่นเสือในอินเดีย
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่2ดิกนั้นไม่ได้สู้รบหรือประจำการในยุโรปแต่ไปอยู่แนวรบทางตะวันตกทางทะเลทหารโดยเขาได้อยู่ในเฮดฟิวสเปียร(Hadfield-Spears Unit)ซึ่งเขาได้รับเหรียญCroix de guerreจากฝรั่งเศส(ผมอ่านภาษาผรั่งเศสไม่ออก)
หลังจากนั้นเมื่อเขาได้รับข่าวแจ้งเกี่ยวกับการเสียชีวิตของพี่ชายเขาซึ่งชื่อจอห์นในศึกอาราเมนซึ่งเป็นช่วงปลายปีค.ศ.1942ซึ่งพี่ของได้ประจำการอยู่ในหน่วยทหารม้าที่2 แห่งควีนเบย์หลังจากนั้นทำให้ดิกนั้นได้อาสาที่จะเข้ากองทัพพลร่มทำให้เขาถูกโอนไปเป็นผู้บังคับบัญชาของกองร้อย A ของกองพันพลร่มที่2 ระหว่างนี้เขาก็ได้ถูกส่งไปฝึกที่แกรนธัม(เป็นที่ฝึกของหน่วยทางอากาศและพลร่มต่างๆก่อนออกปฎิบัติการต่างๆเช่น D-Day)ซึ่งเขาเป็นที่รู้จักกันดีในกองพลร่มเพราะเขาล่าสัตว์และเป็น1ในนักบินที่ลอนดอนสามารถขับเครื่องบินของเมกันได้คือดาโคต้า(DakotaหรือC-47 Skytrain)

(เครื่องบินC-47)
ต่อมาผู้พันจอห์น ดัสตัน ฟอร์ด ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้บัญชาการของกองพันพลล่มที่2 ซึ่งที่จะได้ไปรบที่สะพานอาร์นเฮม(Battle of Arnhem)โดยผู้พันจอห์นนั้นได้ยินชื่อเสียงของดิกว่าเป็นผู้บังคับบัญชาที่ก้าวร้าวทำให้ผู้พันจอห์นพยายามจะสนิทกับดิกและคุยกันให้รู้เรื่องและเข้าใจกันซึ่งต่อมมาทั้งสองคนไม่มั่นใจกับวิทยุสื่อสารจึงมีการหาวิธีการสื่อสารที่ดีและเข้าใจกันในกองพลจึงได้ข้อสรุปมาโดยทุกคนเลือกที่จะใช้วิธีในสงครามนโปเลียนซึ่งนั้นก็คือแตรนั้นเองทำให้ต้องมานั่งศึกษาเกี่ยวกับสัญญาณของแตรแล้วดิกนั้นยังมีปัญหาในการจดจำรหัสผ่านทำให้ดิกนั้นต้องพกร่มไปด้วยเพราะเขาจะใช้ร่มเป็นตัวใช้สื่อรหัสต่างๆในกองพลทำให้ใครที่เห็นเขากับร่มนี้จะรู้สึกว่า"เป็นเพียงความซื่อบื้อของชาวอังกฤษ"ที่จะพกร่มเข้าไปในสนามรบ

(ภาพถ่ายของผู้พันจอห์น ดัสตัน ฟอร์ด)
ในวันปฏิบัติการ กองร้อยของเขาถูกปล่อยลงห่างจากสะพานฮาร์นเฮมในวันนั้นดิกพยายามพาคนของเขาเลี่ยงที่จะเดินไปตามถนนในเมืองเพราะถนนจะถูกพวกเยอรมันบล็อคไว้ทำให้ดิกต้องพาคนของเขาเดินอ้อมไปสวนแถวหลังบ้านหลังจากนั้นดิกและกองร้อยเขาก็มีการจัดการที่จะต้องเดินไปถึงฮาร์นเฮมซึ่งมีระยะทางถึง8ไมค์โดยพวกเขาคิดว่าจะต้องเดินไปถึงให้ได้ภายใน7ชั่วโมงโดยมีเชลยเยอรมัน150คนซึ่งเป็นทหารพวกSSหลังจากนั้นดิกกับกองร้อยของเขากล่าวสู่สนามรบที่สะพานฮาห์นเฮมโดยเขาใส่หมวกเบเร่ต์สีแดงแทนที่จะใส่หมวกโบว์ดี้(Brodie)และเขาเดินโบกร่มในขณะที่เยอรมันได้ยิงปืนครกใส่อย่างหนักและนี้สิ่งที่คุณต้องคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้?เมือเยอรมันเริ่มนำรถถังข้ามมาสะพานโดยดิกเขานั้นเสียบมีดปลายปืนและสวมหมวกโบว์เรอ(Bowler Hat)และหลังจากนั้นเขาวิ่งไปหารถถังและเอาร่มของเขาไปปิดช่องสังเกตุการณ์รถถัง555โครตโหด

(การสู้รบที่สะพานฮาร์นเฮมตอนในรูปนั้นดิกบี้คือคนที่ถือร่มชูซึ่งกำลังเจรจากับทหารเยอรมันที่ขอให้ยอมแพ้)

(ภาพหมวกbowlerที่ดิกบี้ใส่)

(ภาพหมวกbrodieเป็นหมวกมาตรฐานในกองทัพอังกฤษ)
ช่วงท้ายของการป้องกันที่ฮาห์นเฮมต่อมามีทหารอาสาที่กำลังโดนยิงกดหัวอย่างหนักซึ่งดิกเขาวิ่งไปพร้อมกับร่มและพูดกับทหารคนนั้นว่า"ไม่ต้องกังวล นี้ผมมีร่ม"แล้วดิกก็พาทหารคนนั้นข้ามถนนมาภายใต้ร่มที่ดิกกางอยู่และพอเสร็จเขาก็วิ่งกลับไปแนวหน้าอีกครั้งและเพื่อนของเขาได้กล่าวกับร่มอันนี้ว่า"มันเป็นสิ่งที่ไม่ได้ทำอะไรดีขึ้นเลย"และดิกก็ได้ตอบกลับไปว่า"โอ้ความดีของแพทหรอ มันจะดีต่อเมื่อฝนตก"ต่อมาดิกได้ถูกยิงที่หลังกางเกงหรือตรงบริเวณเอวซึ่งเขาก็สู้ต่อไปหลังจากนั้นกองร้อยของเขาวิ่งออกมาจากดงกระสุนและดิกก็คิดจะสื่อสารด้วยวิทยุแต่ด้วยสาเหตุที่มันใช้ไม่ได้ดิกเลยไปจับแตรและเป่าเป็นสัญญาณสื่อออกมาว่า"กระสุนหมดแล้ว God Save The King"หลังสิ้นเสียงแตรดิกก็ถูกจับ

(ภาพหลังจากการรบที่ฮาห์นเฮมสุดท้ายพลร่มอังกฤษโดนจับเป็นเชลยหลังจากต้านเยอรมันมา8วันเต็มเหตุที่แพ้เพราะไม่มีกระสุนยารักษาอาหารมาสนับสนุนเลยงับ)
ช่วงหนีหลังจากนั้นด้วยอาการบาดเจ็บของดิกก็เลยถูกส่งไปที่โรงพยาบาล เซนต์ อลิซาเบธแต่เขาหนีออกจากหน้าต่างพร้อมกับผู้กองโทนี่ แฟรงก์และพยาบาลพวกเยอรมันก็ปล่อยไปหลังจากนั้นดิกก็สร้างเข็มทิศและเดินทางไปยังมารีนดาว(Marindaalซึ่งเป็นที่ดินกว้างและมีบ้านเพียงไม่กี่หลังซึ่งเป็นป่า)และพวกเขาก็วิ่งเข้าไปซ่อนในบ้านผุ้หญิงชาวดัตซ์ซึ่งผู้หญิงคนนี้พูดภาษาอังกฤษไม่ได้และผู้หญิงคนนี้พยายามจะติดต่อเพื่อนบ้านของเขาและให้ดิกและแฟรงก์ปลอมตัวเป็นช่างทาสีซึ่งย้ายไปที่บ้านของบิลซึ่งบิลเป็นผู้นำต่อต้านชาวดัตซ์จากนั้นพวกเขาก็ได้พบกับเมนโนซึ่งเขาเป็นคนในองค์กรต่อต้านชาวดัตซ์ซึ่งเขาให้ยืมจักรยานแก่ดิกและแฟรงก์และเขาให้ยืมบัตรประชาชนปลอมของชาวดัชต์ให้อีกและเขาได้ขี่จักรยานไปเพื่อนของเขาที่ซ่อนตัวและไม่มีเยอรมันสงสัยในตัวเขาและดิกช่วยดันรถของเยอรมันออกจากคูและดิกก็ทุบทหารเยอรมันสลบแล้วไปซ่อนในบ้านที่เขาพักอยู่และเขาได้รวบรวมทหาร150นายหนีออกไปและสำเร็จในที่สุดและดิกเขาได้ขี่จักรยานไปที่ไลน์และจุดแฟรชเป็นรูปตัวVซึ่งแสดงถึงชัยชนะและสมาชิกในหน่วยXXXของเขาและพายเรือข้ามแม่นํ้าเมื่อกลับถึงอังกฤษดิกได้รับเหรียญDistinguished Service Orderซึ่งเป็นเหรียญมอบให้ดิกซึ่งเขาเป็นคนวางแผนปฎิการครั้งนี้ซึ่งปฏิการนี้รู้ในชื่อว่าปฏิบัติการเพกาซัส(Operation Pegasus)

(ภาพแผนยุทธการเปกาซัส)

(ภาพเหรียญDistinguished Service Order)
หลังสงครามโลกครั้งที่2ดิกได้รับเป็นเจ้าหน้าที่บริติชควบคุมปาเลสไตน์และเขาได้เข้าไปอยู่ในกองพลที่5 ราชาแอฟริกันไรเฟิลในปี1946เขาไปซื้อที่ดินEburruและNanyukiต่อมาในช่วงปฏิวัติเมา เมา เขาได้ตั้งกองอาสาสมัครติดตั้งกองกำลังตำรวจโดยที่ค่าใช้จ่ายของตัวเองและนำพวกเขาเข้าสู่การต่อสู้กับเมาเมาหลังจากนั้นเขาออกไปทำงานที่ดินของเขา นอกจากนี้เขายังได้สร้างแนวคิดของซาฟารีที่ทันสมัยที่สัตว์จะได้รับการถ่ายภาพมากกว่าการล่า ในช่วงอิสระเคนยามีรายงานว่าเจ้าหน้าที่อังกฤษกลาโหมบอกข้าหลวงใหญ่อังกฤษ "ดูแล Tatham-Warter"

ดิกได้เสียชีวิตลงอย่างสงบในที่ที่เขาได้ซื้อไว้ที่Nanyuki ในวันที่21 มีนาคม ค.ศ.1993

ก็จบกันไปกับดิกน่ะครับถ้าใครเคยดูหนัง A Bridge Too Farก็จะรู้จักคนนี้ได้ดีเลยซึ่งดิกนั้นก็คือพันตรี เฮนรี่ ซึ่งเป็นคนที่ถือร่มเขาไปในสนามรบนั้นเองซึ่งอันที่จริงผมก็เคยดูแต่ก็ไม่เคยรู้ว่าคนที่ร่มนั้นคือใครลองหาดูก็ไม่เจอเพราะชื่อในหนังนั้นเป็นชื่อตัวละครที่ใช้แทนชื่อจริงของดิกนั้นเอง

(ดิกบี้ในหนังA Bridge Too Far)
อาจอ่านงงๆกันนะงับเพราะผมแปลมาจากหนังสือของต่างชาติมางับ

อ้างอิง
http://www.saxonlodge.net/getperson.php?personID=I0973&tree=Tatham#cite1
http://www.saxonlodge.net/showmedia.php?mediaID=587
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่