สวัสดีค่ะ เพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกคน
++กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่จะมา Review เกี่ยวกับการตะลุยสังขละบุรีของเรา เพื่อเป็นประโยชน์ให้กับเพื่อนๆที่สนใจอยากไปเยือนเมืองนี้ซักครั้ง++
การเดินทางครั้งนี้ได้ประโยชน์มากจากการตามอ่าน review ใน pantip โดยปกติจะเป็นผู้ตาม ไม่ค่อยเป็นผู้นำในการจัดทริปซักเท่าไหร่ แต่เพื่อนสาวโสดที่ไปด้วยอีกหนึ่งคนเข้าขั้นแย่กว่า มาแต่ตัว ออกแต่ตังค์ เราเลยต้องลุยวางแผนด้วยตัวเอง ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนเลยว่า เราไม่ใช่มือโปรด้านถ่ายรูป รูปทั้งหมดได้จากมือถือกากๆๆ แต่อยากจะแชร์ให้กับคนที่สนใจไป ยังไงก็ลองตามไปเที่ยวกัน ถ้าข้อมูลผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยคร้า....
เราเดินทางไปวันที่ 22-24 ตุลาคม 2559 ที่ผ่านมา ในใจตอนหาที่เที่ยว ไม่มีความรู้อะไรเลย นอกจากอยากไปสะพานมอญ เห็นเค้าถ่ายรูปกันสวยๆ อ้าวววลุยยยยยย!!! >>>>>> GOOOO
<<เริ่มเลยวันแรก:>> ขาไป เราตั้งใจนั่งรถไฟไทย โดยจากการสอบถามข้อมูล รถไฟซึ่งจะมีอยู่ 2 ทางที่ไปได้
1. รถไฟฟรี จาก สถานีธนบุรี (ไม่แนะนำ เพราะคนจะเยอะ ร้อนนนนน ทุรนทุรายแน่นอน และอาจเรทอย่างมาก)
2. รถไฟจากหัวลำโพง เราไปแบบนี้ โดยทุกวันเสาร์ การรถไฟจะมีจัดท่องเที่ยวแบบ 1 day trip โดยปลายทางจะพาไปถึงสถานีน้ำตกไทรโยกน้อย
ราคาตั๋วคนละ 120 บาท รถไฟออก 6:30 น. แนะนำให้มาซื้อล่วงหน้า เพราะส่วนใหญ่จะเต็ม เป็นรถไฟชั้น 3 พัดลม อาจพบหมอกแดงได้ระหว่างทาง ดีตรงมีที่นั่งประจำ และดีตรงที่รถไฟจะแวะพักให้ซื้อของตรงจุดท่องเที่ยวต่างๆ ได้แก่ พระปฐมเจดีย์ (ของกินเพรียบเลย) สะพานข้ามแม่น้ำแคว และน้ำตกไทรโยกน้อย โดยมีนายสถานีเป็นไกด์เล่านู่นนี่ให้ฟังแบบฮาๆๆด้วย
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4-5 ชั่วโมงก็ถึงสถานีน้ำตก ไทรโยคน้อย ให้ลงสุดสถานีเลย ซึ่งรถไฟจะจอดให้นักท่องเที่ยวคนอื่นท่องเที่ยวประมาณ 2 ชั่วโมง แต่เป้าหมายของเราไม่ใช่น้ำตก แต่เป็นสังขละบุรี ฉะนั้นจะช้าอยู่ใย ไปต่อโล๊ดดด
เมื่อถึงน้ำตกไทรโยกน้อย ให้เราข้ามฝั่งมาตรงแผงขายของ แล้วมารอรถบัสฉิ่งฉับตรงนั้น ราคาคนละ 130 บาท มันจะได้ฟิวลิ่งไปอีกแบบ
รถฉิ่งฉับนี่หละ จุดที่ไม่ได้คิดมาก่อน ว่าการเดินทางไปสังขละ จะต้องผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่า เนินแล้วเนินเล่า หลับแล้วหลับเล่าก็ยังไม่ถึง โดยลุงคนขับจะแวะพักรถที่ทองผาภูมิก่อน ให้เข้าห้องน้ำประมาณ 40 นาที หลังจากนั้น ก็เดินทางไปต่อ
เราใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้นเกือบ 5 ชั่วโมงงง.....ก็จะมาถึง บขส สังขละบุรีพอดี๊เลย
เราจองที่พักไว้แล้วล่วงหน้า โดยพักที่ Coffee Berry ห้องละ 1,000 บาทต่อคืน ไม่มีอาหารเช้า ก็นั่งพี่วินเข้าไป คนละ 20 บาท ระหว่างทางเห็นมีถนนคนเดิน เลยตั้งใจว่า check-in และจะออกมาเดินเล่นซักหน่อย มาถึงที่พักช่างโชคดีเหลือเกิน เพราะที่พักอยู่ใกล้สะพานมอญแค่ 500 เมตร สบ๊ายยย แล้วก็ไม่ไกลจากเมืองมาก เราคิดว่าที่พักบริเวณนี้เหมาะกับคนที่ไม่มีรถส่วนตัวมาที่ซู๊ดดดด ^^
ทีนี้ก็เริ่มหามอเตอร์ไซต์สิ กะว่าจะแว๊นไปตลาด และขับไปสะพานมอญพรุ่งนี้เช้า เห็นบอกว่ามีร้านเช่าอยู่ตรงข้ามที่พัก ค่าเช่า 24 ชั่วโมง 200 บาท และต้องมีมัดจำ 100 บาทพร้อมเติมน้ำมันเต็มถังตอนเอามาคืน แต่คุณพระช่วย!! ไม่มีมอเตอร์ไซต์เหลือเลยซักคัน เนื่องด้วยเป็นช่วงวันหยุดยาว เราก็เลยโทรเรียกพี่วินให้มารับพาไปหามอเตอร์ไซต์ที่ร้านอื่น วันนั้นพี่วินสุดแสนใจดี พาไปถึง 3 ร้านที่เปิดให้เช่า หมดจร้าาาาาาา....ไม่เหลือเลย T_T ต้องรอพรุ่งนี้เช้า เลยให้พี่วินไปส่งที่ถนนคนเดินแทน... พี่วินคิดเรา 80 บาท
ถนนคนเดินค่อนข้างเงียบ เนื่องจากเป็นช่วงไว้ทุกข์ของคนไทย แต่ร้านอาหารก็ยังคึกคักอยู่บ้าง มาสะดุดตาตรงเมนูหมูเสียบต้มในกาละมัง เมนูขึ้นชื่อของพม่า ก็เลยแวะกิน อื้อหืออออออออออ.....เด็ด แปลก มีทุกส่วนของหมูทั้ง 3 ชั้น ลิ้น ใส้ หัวใจ ไม้ละ 1 บาทเอง ชื่อร้านที่ไปกินคือ ร้านมูมู หมูจุ่มพม่า เค้าว่าเจ้านี้อร่อยสุด ถามคนท้องที่มา....
+++กินอิ่มก็เดินเล่น กลับที่พัก หมดไปวันแรกแบบสลบเหมือด+++
หมายเหตุประจำวันที่ 1: ใครอยากซื้อยาหม่องพม่า ทะนาคา แนะนำให้ไปซื้อที่ฝั่งพม่าจะถูกว่า และให้ดูวันหมดอายุให้ดีนะ
วันที่ 2 เราตื่นตี 5 ครึ่งเพื่อรีบเดินไปสะพานมอญ กลัวว่าคนจะเยอะ โอ้โห เยอะตั้งแต่เช้าตรู่เลย ถ่ายรูปแทบไม่ได้ ทุกคนมุ่งหน้าไปตักบาตรฝั่งมอญ ใช้เวลารอพระคุณเจ้าจนถึงประมาณ 7 โมง พระคุณเจ้าจากวัดหลวงพ่ออุตตมะ ก็ลงมารับบาตร ก็อิ่มบุญยามเช้ากันถ้วนหน้า ^_^
ฝากไว้ว่า ตอนมาสะพานมอญ ไม่ต้องรีบซื้ออาหารใส่บาตรก็ได้ ฝั่งมอญมีขายเพรียบเลย มีแบบชุดละ 99 แถมชุดพื้นเมืองให้ใส่ถ่ายรูปด้วย มีเก้าอี้ให้นั่งอีกต่างหาก เรายังเสียดายไม่หาย อดใส่ชุดพื้นเมืองถ่ายรูปกับเค้าเลย เพราะเราไม่รู้ รีบซื้อมาจากฝั่งไทย เดินถือข้ามสะพานมา 400 เมตร ทำให้เป็นอุปสรรคในการถ่ายรูปพอสมควรเลย T_T
ตักบาตรเสร็จเราไม่รอช้ารีบมาติดต่อเรือของฝั่งมอญเพื่อในนั่งชมวัดกลางน้ำ 3 ชนชาติมาบรรจบกัน มีวัดไทย วัดมอญและวัดกระเหรี่ยง เหมาทั้งลำ 2 คนเค้าคิด 500 บาท พาไปดู 3 วัด คนขับเป็นคนมอญใจดีมากๆๆ
พอถึงแต่ละวัดจะมีไกด์มอญตัวน้อย ทำหน้าที่พาทัวร์ และเล่าเรื่องราว ประวัติให้ฟัง แถมยังถ่ายรูปให้อีกด้วย ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ โดยก่อนเข้าแต่ละวัด ไกด์บอกว่ามีเคล็ดอยู่ "ก่อนเข้าโบสถ์ พี่จะขอพรได้ 3 ข้อ ให้เอามือแตะที่ผนังโบสถ์"
ข้อที่ 1 ขออนุญาติเข้าโบสถ์
ข้อที่ 2 กับ 3 พี่จะขออะไรก็ได้ พรนั้นจะเป็นจริง!!! (นี่ก็รออยู่นะ ผ่านมาซักพักแล้ว 555)
เริ่มที่วัดแรกวัดมอญ (วัดบ้านเก่า) จุดที่ตั้งของวัดนี้ อยู่ในบริเวณที่เรียกว่า สามประสบ คือมีแม่น้ำ 3 สายมาบรรจบกัน คือ แม่น้ำบิคลี่ ซองกาเลีย และรันตี อันนี้ฟังจากไกด์ตัวน้อยมา ผิดถูกต้องขออภัย
วัดที่สองวัดไทย (วัดสมเด็จ)
วัดที่สามวัดกระเหรี่ยง (วัดศรีสุวรรณ) ถ้าน้ำลด จะสามารถเดินดูวัดได้เลย แต่ตอนเราไปน้ำขึ้น ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ
เสร็จจากชมวัด เราก็ไปหาข้าวช้าวกินกันด้วยความหิวโซ โดยเป็นร้านโจ๊กชาวมอญ รสชาติจะเน้นจืดๆๆให้ปรุงเอง
หนังท้องตึงก็เริ่มหนังตาหย่อน เลยกลับไปนอนเล่นที่บ้านพัก และหาเบอร์โทรเพื่อติดต่อเช่ามอเตอร์ไซต์ และแล้วก็ได้ มีว่างอยู่ 1 คัน เลยต้องเรียกพี่วินคนเดิมให้ไปส่งเอารถอีกรอบ
ได้รถแว๊น ก็เลยไปที่ร้านกาแฟตาม review "Graph Café" เค้าบอกว่าต้องมาให้ได้ โดยพี่วินชี้ให้ดูก่อนได้รถมอเตอร์ไซต์ เราก็หาไปสิ .....อ่าวเฮ้ย พอมาถึงมันไม่ใช่ชื่อร้านนี้ งงอยู่นาน จนมีนักท่องเที่ยวในร้านกำลังเดินออกมา และบอกว่าเป็นร้านนี้แหละ แต่เค้าเปลี่ยนชื่อไป เป็น "KafKafé" ร้านนี้อยู่ตำแหน่งเดียวกับบ้านพักญี่ปุ่นเลย เจ้าของร้านใจดีให้เราเดินชมบ้านพักได้ด้วย โดยเค้าบอกว่าร้านเก่าเค้าเซ้งกิจการไปแล้วไปเปิดที่เชียงใหม่ เค้าเลยต้องเปลี่ยนชื่อร้าน....
แปบๆเที่ยงแล้ว ร้านอาหารที่เล็งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ร้านตำอร่อยสังขละบุรี เป็นร้านห้องแอร์ อยู่ติดธนาคารกรุงไทยเลย ต้องบอกว่าดีงาม เจ้าของมาแนะนำเมนูเอง และที่เด็ดจนลืมไม่ลงก็คือ ส้มตำปูม้าจานละ 160 บาท แต่คุณภาพ 300 บาท ใครมีโอกาสได้ไปลิ้มลอง ต้องไปโดน ปูเป็นปู
อิ่มแล้ว พร้อมแล้ว เป้าหมายต่อไป คือเราจะข้ามเขตแดนไปเที่ยวพม่าที่ด่านเจดีย์ 3 องค์ ได้บัตรลดราคามาจากถนนคนเดินเมื่อคืน ให้ติดต่อ อบต. ต้น (รู้สึกจะมีเจ้าเดียว) หัวละ 300 บาท ก็ลุยยยเลยจร้า แว๊นมอเตอร์ไซต์ไปประมาณ 1 ชั่วโมง ลมเย็นๆๆ ฝนตกรำไร แดดเบาๆๆ มีครบ ระยะทางประมาณประมาณ 20 กิโล กับการขี่มอเตอร์ไซต์ลงเขา ขึ้นเขาครั้งแรกในชีวิต
พอมาถึงก็มาติดต่อที่ อบต ต้น เป็นร้านก่อนเข้าชายแดน และก็รอคนอีก 3 คนรถถึงจะออกได้
ส่วนใหญ่จะเน้นพาไปดูวัด ซึ่งก็จะมีวัดเสา 100 ต้น ที่ทำกำแพงเป็นรูปปั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เด็กมอญเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่ออุตตมะท่านตั้งใจสร้างล้อมรอบ แต่งบไม่พอ เห็นแล้วรู้สึกได้ถึงศรัทธาที่มั่นคงในพระพุทธศาสนาของชาวบ้านแถบนี้มาก
ฝั่งพม่านี่หละ ที่บอกว่าของฝากถูกที่สุด ทั้งครีมทาหน้า ขัดผิว ยาหม่อง ไกด์จะพาไปแหล่งซื้อของก่อนกลับ และ Duty Free
เที่ยวพม่าเสร็จ เราก็แว๊นเพื่อไปสักการะที่วัดหลวงพ่ออุตตมะ วัดวังค์วิเวการาม ที่หมู่บ้านชาวมอญ ก่อนจะถึงก็มาเก็บภาพสวยๆที่สะพานปูนก่อนยามเย็น
ค่ำคืนนี้ฝากท้องที่ถนนคนเดินอีกรอบ...
<<เช้าวันที่ 3>> ตาม Target ที่หาเมื่อคืนเราตั้งใจว่าจะไปกิน "ขนมจีนเส้นสดป้าหยิน" ตาม review ร้านอยู่ไม่ไกล ลงสะพานมอญ เป็นร้านหัวมุมฝั่งซ้ายมือ
กินเสร็จก็แวะถ่ายรูปกับสะพานอีกรอบ
และเตรียมตัวเดินทางกลับ โดยขากลับเลือกกลับรถตู้ คนละประมาณ 160 บาท จากสังขละบุรี- บขส กาญจนบุรี
หลับแล้วหลับอีกก็ยังไม่ถึง ใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบ 4 ชั่วโมง และเดินทางโดยรถตู้ กาญจนบุรี มาลงที่หมอชิตอีกประมาณ 2.5 ชั่วโมง
สังขละยังเป็นเมืองที่สงบ ผู้คนใช้ชีวิตเรียบง่าย ใจดี ยิ้มแย้ม และยังคงไว้ซึ่งอารยธรรมที่ดีงาม อากาศบริสุทธิ์ มาแล้วเหมือนได้มาปล่อยใจไปตามเวลาอย่างช้าๆ พักผ่อน หลีกหนีจากความวุ่นวาย ว้าวุ่น ก็ได้แต่หวังไว้ลึกๆในใจว่า สังขละบุรีจะไม่เจริญเกินไปทางด้านวัตถุ และยังรักษาความเจริญทางจิตใจนี้ไว้ตลอดไป
เมื่อ 2 สาวโสด ปล่อยหัวใจให้โลดแล่น ดื่มชีวิตช้าๆแล้วพักผ่อน ตะลอนเมืองสังขละบุรี 3 วัน 2 คืน แบบไม่มีรถส่วนตัว
++กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่จะมา Review เกี่ยวกับการตะลุยสังขละบุรีของเรา เพื่อเป็นประโยชน์ให้กับเพื่อนๆที่สนใจอยากไปเยือนเมืองนี้ซักครั้ง++
การเดินทางครั้งนี้ได้ประโยชน์มากจากการตามอ่าน review ใน pantip โดยปกติจะเป็นผู้ตาม ไม่ค่อยเป็นผู้นำในการจัดทริปซักเท่าไหร่ แต่เพื่อนสาวโสดที่ไปด้วยอีกหนึ่งคนเข้าขั้นแย่กว่า มาแต่ตัว ออกแต่ตังค์ เราเลยต้องลุยวางแผนด้วยตัวเอง ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนเลยว่า เราไม่ใช่มือโปรด้านถ่ายรูป รูปทั้งหมดได้จากมือถือกากๆๆ แต่อยากจะแชร์ให้กับคนที่สนใจไป ยังไงก็ลองตามไปเที่ยวกัน ถ้าข้อมูลผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยคร้า....
เราเดินทางไปวันที่ 22-24 ตุลาคม 2559 ที่ผ่านมา ในใจตอนหาที่เที่ยว ไม่มีความรู้อะไรเลย นอกจากอยากไปสะพานมอญ เห็นเค้าถ่ายรูปกันสวยๆ อ้าวววลุยยยยยย!!! >>>>>> GOOOO
<<เริ่มเลยวันแรก:>> ขาไป เราตั้งใจนั่งรถไฟไทย โดยจากการสอบถามข้อมูล รถไฟซึ่งจะมีอยู่ 2 ทางที่ไปได้
1. รถไฟฟรี จาก สถานีธนบุรี (ไม่แนะนำ เพราะคนจะเยอะ ร้อนนนนน ทุรนทุรายแน่นอน และอาจเรทอย่างมาก)
2. รถไฟจากหัวลำโพง เราไปแบบนี้ โดยทุกวันเสาร์ การรถไฟจะมีจัดท่องเที่ยวแบบ 1 day trip โดยปลายทางจะพาไปถึงสถานีน้ำตกไทรโยกน้อย
ราคาตั๋วคนละ 120 บาท รถไฟออก 6:30 น. แนะนำให้มาซื้อล่วงหน้า เพราะส่วนใหญ่จะเต็ม เป็นรถไฟชั้น 3 พัดลม อาจพบหมอกแดงได้ระหว่างทาง ดีตรงมีที่นั่งประจำ และดีตรงที่รถไฟจะแวะพักให้ซื้อของตรงจุดท่องเที่ยวต่างๆ ได้แก่ พระปฐมเจดีย์ (ของกินเพรียบเลย) สะพานข้ามแม่น้ำแคว และน้ำตกไทรโยกน้อย โดยมีนายสถานีเป็นไกด์เล่านู่นนี่ให้ฟังแบบฮาๆๆด้วย
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4-5 ชั่วโมงก็ถึงสถานีน้ำตก ไทรโยคน้อย ให้ลงสุดสถานีเลย ซึ่งรถไฟจะจอดให้นักท่องเที่ยวคนอื่นท่องเที่ยวประมาณ 2 ชั่วโมง แต่เป้าหมายของเราไม่ใช่น้ำตก แต่เป็นสังขละบุรี ฉะนั้นจะช้าอยู่ใย ไปต่อโล๊ดดด
เมื่อถึงน้ำตกไทรโยกน้อย ให้เราข้ามฝั่งมาตรงแผงขายของ แล้วมารอรถบัสฉิ่งฉับตรงนั้น ราคาคนละ 130 บาท มันจะได้ฟิวลิ่งไปอีกแบบ
รถฉิ่งฉับนี่หละ จุดที่ไม่ได้คิดมาก่อน ว่าการเดินทางไปสังขละ จะต้องผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่า เนินแล้วเนินเล่า หลับแล้วหลับเล่าก็ยังไม่ถึง โดยลุงคนขับจะแวะพักรถที่ทองผาภูมิก่อน ให้เข้าห้องน้ำประมาณ 40 นาที หลังจากนั้น ก็เดินทางไปต่อ
เราใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้นเกือบ 5 ชั่วโมงงง.....ก็จะมาถึง บขส สังขละบุรีพอดี๊เลย
เราจองที่พักไว้แล้วล่วงหน้า โดยพักที่ Coffee Berry ห้องละ 1,000 บาทต่อคืน ไม่มีอาหารเช้า ก็นั่งพี่วินเข้าไป คนละ 20 บาท ระหว่างทางเห็นมีถนนคนเดิน เลยตั้งใจว่า check-in และจะออกมาเดินเล่นซักหน่อย มาถึงที่พักช่างโชคดีเหลือเกิน เพราะที่พักอยู่ใกล้สะพานมอญแค่ 500 เมตร สบ๊ายยย แล้วก็ไม่ไกลจากเมืองมาก เราคิดว่าที่พักบริเวณนี้เหมาะกับคนที่ไม่มีรถส่วนตัวมาที่ซู๊ดดดด ^^
ทีนี้ก็เริ่มหามอเตอร์ไซต์สิ กะว่าจะแว๊นไปตลาด และขับไปสะพานมอญพรุ่งนี้เช้า เห็นบอกว่ามีร้านเช่าอยู่ตรงข้ามที่พัก ค่าเช่า 24 ชั่วโมง 200 บาท และต้องมีมัดจำ 100 บาทพร้อมเติมน้ำมันเต็มถังตอนเอามาคืน แต่คุณพระช่วย!! ไม่มีมอเตอร์ไซต์เหลือเลยซักคัน เนื่องด้วยเป็นช่วงวันหยุดยาว เราก็เลยโทรเรียกพี่วินให้มารับพาไปหามอเตอร์ไซต์ที่ร้านอื่น วันนั้นพี่วินสุดแสนใจดี พาไปถึง 3 ร้านที่เปิดให้เช่า หมดจร้าาาาาาา....ไม่เหลือเลย T_T ต้องรอพรุ่งนี้เช้า เลยให้พี่วินไปส่งที่ถนนคนเดินแทน... พี่วินคิดเรา 80 บาท
ถนนคนเดินค่อนข้างเงียบ เนื่องจากเป็นช่วงไว้ทุกข์ของคนไทย แต่ร้านอาหารก็ยังคึกคักอยู่บ้าง มาสะดุดตาตรงเมนูหมูเสียบต้มในกาละมัง เมนูขึ้นชื่อของพม่า ก็เลยแวะกิน อื้อหืออออออออออ.....เด็ด แปลก มีทุกส่วนของหมูทั้ง 3 ชั้น ลิ้น ใส้ หัวใจ ไม้ละ 1 บาทเอง ชื่อร้านที่ไปกินคือ ร้านมูมู หมูจุ่มพม่า เค้าว่าเจ้านี้อร่อยสุด ถามคนท้องที่มา....
+++กินอิ่มก็เดินเล่น กลับที่พัก หมดไปวันแรกแบบสลบเหมือด+++
หมายเหตุประจำวันที่ 1: ใครอยากซื้อยาหม่องพม่า ทะนาคา แนะนำให้ไปซื้อที่ฝั่งพม่าจะถูกว่า และให้ดูวันหมดอายุให้ดีนะ
วันที่ 2 เราตื่นตี 5 ครึ่งเพื่อรีบเดินไปสะพานมอญ กลัวว่าคนจะเยอะ โอ้โห เยอะตั้งแต่เช้าตรู่เลย ถ่ายรูปแทบไม่ได้ ทุกคนมุ่งหน้าไปตักบาตรฝั่งมอญ ใช้เวลารอพระคุณเจ้าจนถึงประมาณ 7 โมง พระคุณเจ้าจากวัดหลวงพ่ออุตตมะ ก็ลงมารับบาตร ก็อิ่มบุญยามเช้ากันถ้วนหน้า ^_^
ฝากไว้ว่า ตอนมาสะพานมอญ ไม่ต้องรีบซื้ออาหารใส่บาตรก็ได้ ฝั่งมอญมีขายเพรียบเลย มีแบบชุดละ 99 แถมชุดพื้นเมืองให้ใส่ถ่ายรูปด้วย มีเก้าอี้ให้นั่งอีกต่างหาก เรายังเสียดายไม่หาย อดใส่ชุดพื้นเมืองถ่ายรูปกับเค้าเลย เพราะเราไม่รู้ รีบซื้อมาจากฝั่งไทย เดินถือข้ามสะพานมา 400 เมตร ทำให้เป็นอุปสรรคในการถ่ายรูปพอสมควรเลย T_T
ตักบาตรเสร็จเราไม่รอช้ารีบมาติดต่อเรือของฝั่งมอญเพื่อในนั่งชมวัดกลางน้ำ 3 ชนชาติมาบรรจบกัน มีวัดไทย วัดมอญและวัดกระเหรี่ยง เหมาทั้งลำ 2 คนเค้าคิด 500 บาท พาไปดู 3 วัด คนขับเป็นคนมอญใจดีมากๆๆ
พอถึงแต่ละวัดจะมีไกด์มอญตัวน้อย ทำหน้าที่พาทัวร์ และเล่าเรื่องราว ประวัติให้ฟัง แถมยังถ่ายรูปให้อีกด้วย ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ โดยก่อนเข้าแต่ละวัด ไกด์บอกว่ามีเคล็ดอยู่ "ก่อนเข้าโบสถ์ พี่จะขอพรได้ 3 ข้อ ให้เอามือแตะที่ผนังโบสถ์"
ข้อที่ 1 ขออนุญาติเข้าโบสถ์
ข้อที่ 2 กับ 3 พี่จะขออะไรก็ได้ พรนั้นจะเป็นจริง!!! (นี่ก็รออยู่นะ ผ่านมาซักพักแล้ว 555)
เริ่มที่วัดแรกวัดมอญ (วัดบ้านเก่า) จุดที่ตั้งของวัดนี้ อยู่ในบริเวณที่เรียกว่า สามประสบ คือมีแม่น้ำ 3 สายมาบรรจบกัน คือ แม่น้ำบิคลี่ ซองกาเลีย และรันตี อันนี้ฟังจากไกด์ตัวน้อยมา ผิดถูกต้องขออภัย
วัดที่สองวัดไทย (วัดสมเด็จ)
วัดที่สามวัดกระเหรี่ยง (วัดศรีสุวรรณ) ถ้าน้ำลด จะสามารถเดินดูวัดได้เลย แต่ตอนเราไปน้ำขึ้น ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ
เสร็จจากชมวัด เราก็ไปหาข้าวช้าวกินกันด้วยความหิวโซ โดยเป็นร้านโจ๊กชาวมอญ รสชาติจะเน้นจืดๆๆให้ปรุงเอง
หนังท้องตึงก็เริ่มหนังตาหย่อน เลยกลับไปนอนเล่นที่บ้านพัก และหาเบอร์โทรเพื่อติดต่อเช่ามอเตอร์ไซต์ และแล้วก็ได้ มีว่างอยู่ 1 คัน เลยต้องเรียกพี่วินคนเดิมให้ไปส่งเอารถอีกรอบ
ได้รถแว๊น ก็เลยไปที่ร้านกาแฟตาม review "Graph Café" เค้าบอกว่าต้องมาให้ได้ โดยพี่วินชี้ให้ดูก่อนได้รถมอเตอร์ไซต์ เราก็หาไปสิ .....อ่าวเฮ้ย พอมาถึงมันไม่ใช่ชื่อร้านนี้ งงอยู่นาน จนมีนักท่องเที่ยวในร้านกำลังเดินออกมา และบอกว่าเป็นร้านนี้แหละ แต่เค้าเปลี่ยนชื่อไป เป็น "KafKafé" ร้านนี้อยู่ตำแหน่งเดียวกับบ้านพักญี่ปุ่นเลย เจ้าของร้านใจดีให้เราเดินชมบ้านพักได้ด้วย โดยเค้าบอกว่าร้านเก่าเค้าเซ้งกิจการไปแล้วไปเปิดที่เชียงใหม่ เค้าเลยต้องเปลี่ยนชื่อร้าน....
แปบๆเที่ยงแล้ว ร้านอาหารที่เล็งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ร้านตำอร่อยสังขละบุรี เป็นร้านห้องแอร์ อยู่ติดธนาคารกรุงไทยเลย ต้องบอกว่าดีงาม เจ้าของมาแนะนำเมนูเอง และที่เด็ดจนลืมไม่ลงก็คือ ส้มตำปูม้าจานละ 160 บาท แต่คุณภาพ 300 บาท ใครมีโอกาสได้ไปลิ้มลอง ต้องไปโดน ปูเป็นปู
อิ่มแล้ว พร้อมแล้ว เป้าหมายต่อไป คือเราจะข้ามเขตแดนไปเที่ยวพม่าที่ด่านเจดีย์ 3 องค์ ได้บัตรลดราคามาจากถนนคนเดินเมื่อคืน ให้ติดต่อ อบต. ต้น (รู้สึกจะมีเจ้าเดียว) หัวละ 300 บาท ก็ลุยยยเลยจร้า แว๊นมอเตอร์ไซต์ไปประมาณ 1 ชั่วโมง ลมเย็นๆๆ ฝนตกรำไร แดดเบาๆๆ มีครบ ระยะทางประมาณประมาณ 20 กิโล กับการขี่มอเตอร์ไซต์ลงเขา ขึ้นเขาครั้งแรกในชีวิต
พอมาถึงก็มาติดต่อที่ อบต ต้น เป็นร้านก่อนเข้าชายแดน และก็รอคนอีก 3 คนรถถึงจะออกได้
ส่วนใหญ่จะเน้นพาไปดูวัด ซึ่งก็จะมีวัดเสา 100 ต้น ที่ทำกำแพงเป็นรูปปั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เด็กมอญเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่ออุตตมะท่านตั้งใจสร้างล้อมรอบ แต่งบไม่พอ เห็นแล้วรู้สึกได้ถึงศรัทธาที่มั่นคงในพระพุทธศาสนาของชาวบ้านแถบนี้มาก
ฝั่งพม่านี่หละ ที่บอกว่าของฝากถูกที่สุด ทั้งครีมทาหน้า ขัดผิว ยาหม่อง ไกด์จะพาไปแหล่งซื้อของก่อนกลับ และ Duty Free
เที่ยวพม่าเสร็จ เราก็แว๊นเพื่อไปสักการะที่วัดหลวงพ่ออุตตมะ วัดวังค์วิเวการาม ที่หมู่บ้านชาวมอญ ก่อนจะถึงก็มาเก็บภาพสวยๆที่สะพานปูนก่อนยามเย็น
ค่ำคืนนี้ฝากท้องที่ถนนคนเดินอีกรอบ...
<<เช้าวันที่ 3>> ตาม Target ที่หาเมื่อคืนเราตั้งใจว่าจะไปกิน "ขนมจีนเส้นสดป้าหยิน" ตาม review ร้านอยู่ไม่ไกล ลงสะพานมอญ เป็นร้านหัวมุมฝั่งซ้ายมือ
กินเสร็จก็แวะถ่ายรูปกับสะพานอีกรอบ
และเตรียมตัวเดินทางกลับ โดยขากลับเลือกกลับรถตู้ คนละประมาณ 160 บาท จากสังขละบุรี- บขส กาญจนบุรี
หลับแล้วหลับอีกก็ยังไม่ถึง ใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบ 4 ชั่วโมง และเดินทางโดยรถตู้ กาญจนบุรี มาลงที่หมอชิตอีกประมาณ 2.5 ชั่วโมง
สังขละยังเป็นเมืองที่สงบ ผู้คนใช้ชีวิตเรียบง่าย ใจดี ยิ้มแย้ม และยังคงไว้ซึ่งอารยธรรมที่ดีงาม อากาศบริสุทธิ์ มาแล้วเหมือนได้มาปล่อยใจไปตามเวลาอย่างช้าๆ พักผ่อน หลีกหนีจากความวุ่นวาย ว้าวุ่น ก็ได้แต่หวังไว้ลึกๆในใจว่า สังขละบุรีจะไม่เจริญเกินไปทางด้านวัตถุ และยังรักษาความเจริญทางจิตใจนี้ไว้ตลอดไป