WATever2016
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาเล่าประสบการณ์ของตัวเองแบบนี้บนโลกออนไลน์ค่ะ ได้ไปท่องโลกมามากมายแต่ไม่มีโอกาสได้มาบอกเล่ากันเสียที ครั้งนี้เลยคิดว่า การมาบอกเล่าประสบการณ์ในครั้งนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อหลายๆคนที่กำลังจะไป Work&Travel 2017 ค่ะ อีกทั้งอยากจะเก็บไว้เป็นไดอารี่บันทึกความทรงจำของการเดินทางของเราในครั้งที่ผ่านมาด้วยค่ะ
เราได้อ่านกระทู้และบล็อกมากมายเกี่ยวกับ Work&Travel (ซึ่งต่อไปจะขอย่อเป็น W&T นะคะ) แต่จะมาอ่านก็หลังสมัครโครงการไปแล้วค่ะ 555555 ด้วยความที่รับประสบการณ์โดยตรงจากเพื่อนที่ไปมาในปี 2015 ค่ะ แม้จะมีถ้อยคำรีวิวหมื่นพันจากเพื่อนที่สมัครไปงานและเมืองเดียวกันนี้แล้ว แต่ก็อดจะกังวลไม่ได้เลยค่ะ เพราะคำเล่าลือเกี่ยวกับ W&T นี่แสนจะเยอะเหลือเกินแต่ก็ทำใจสู้จนถึงวันก่อนวันที่จะได้ทำงานจริงๆเลยล่ะค่ะ
________________________________________
Part.1 กว่าจะได้ไป
ด้วยความที่ชอบท่องเที่ยวและชอบการเรียนรู้ภาษาอยู่แล้ว เลยตื่นเต้นมากๆๆๆที่จะสมัครไปโครงการ W&T เพราะนอกจากจะได้ไปเรียนรู้สิ่งๆใหม่ ก็ยังได้ลองทำงาน(แบบจริงจัง) ที่เราไม่เคยได้สัมผัส และได้ทักษะทางด้านภาษาเพิ่มขึ้น อีกสิ่งหนึ่งก็คือการได้กลับไปอเมริกาค่ะ ซึ่งเราเคยไปอยู่หนึ่งปีในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยนตอนสมัยมัธยมปลาย ทำให้ติดใจการใช้ชีวิตและการดำเนินชีวิตมากค่ะ อีกสิ่งหนึ่งก็คือของกินนั่นเองค่ะ 5555555
จะพาเข้าสู่เรื่องมีสาระแล้วค่ะ อิ___อิ ตอนสมัครโครงการ เรารีบสมัครตั้งแต่เค้าเปิดให้สมัครตอนเดือนสิงหาคม 2015 เลยค่ะ จะได้เป็นรอบ Early bird ได้รับส่วนลดค่าโครงการ 5,000 บาท แต่นั่นไม่ได้ทำให้มีความแตกต่างจากค่าโครงการของเอเจนซี่อื่นเท่าไหร่ค่ะ แต่การสมัครเร็วนี้ สำหรับเอเจนซี่ที่เราเลือกไปจะทำให้เรามีโอกาสเลือกงานได้มากกว่าและเร็วกว่าคนอื่น โดยในตอนนั้นเองเรามีงานในใจอยู่ 2-3 งานแล้วค่ะ ซึ่งเอเจนซี่เองก็ให้เราได้จัดอันดับงานที่ต้องการไว้ 3 อันดับ และถ้าไปกับเพื่อน หรือไปกันเป็นกลุ่ม ก็สามารถเลือกให้เหมือนกันได้ค่ะ (แต่ต้องผ่านการสัมภาษณ์จากนายจ้างทั้งหมดนะคะ)
ภายหลังจากสมัครอะไรเรียบร้อยแล้วก็ต้องเตรียมเอกสารกันค่ะ เอเจนซี่จะลิสต์เอกสารทั้งหมดที่ทางเค้าต้องการ( ซึ่งในบางอันพึ่งจะมาใช้ตอนทำวีซ่าเดือนเมษายน 2016 2เดือนก่อนไปเองค่ะ พี่รีบมากค่ะ แต่คิดว่าคงเพราะอยากให้ทุกคนมีความพร้อมในด้านเอกสารมากที่สุด จะได้ไม่ต้องมารนตอนช่วงจะทำวีซ่า) เอกสารนี้ก็จะเป็นพวก ใบสมัครต่างๆของเอเจนซี่ ใบทรานสคริปท์ ใบรับรองสถานะนักศึกษา รูปถ่ายวีซ่าอเมริกา (พื้นขาว รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส) ประมาณนี้ค่ะ
ในช่วงหลายเดือนก่อนหน้าจะทำวีซ่านี้เอง ทางเอเจนซี่ก็จะคอยส่งเมลมาอัพเดทความคืบหน้าต่างๆให้เราค่ะ เราชอบมากเลย อาจเพราะสมัครเร็วไปหน่อย เลยเหมือนว่ารอนานกว่าคนอื่น 555555555 พอใกล้จะเดือนธันวาคม ทางเอเจนซี่เริ่มประกาศงานที่เราได้แล้วค่ะ ว่าเราได้งานอะไร ซึ่งจะต้องไปสัมภาษณ์กับนายจ้างในเดือนมกราคม 2016 (ที่มีทั้งบินมาสัมเองจากอเมริกาและสไกป์) ปรากฏว่าเราได้งานอันดับ1ที่เลือกไว้ค่ะ นั่นก็คือ Six Flags Magic Mountain อยู่ที่เมืองวาเลนเซีย รัฐแคลิฟอร์เนีย
ซึ่งก่อนจะถึงวันสัมภาษณ์เนี่ย ทางเอเจนซี่ได้มีนัดเพื่อติวการสัมภาษณ์กับนายจ้างด้วยค่ะ รวมถึงแนะนำ ให้ประสบการณ์เกี่ยวกับ W&T พอมาถึงวันสัมภาษณ์งานกับนายจ้างหรือเรียกกันว่า Job Fair การสัมภาษณ์จะแบ่งออกตามงานค่ะ ของเรานายจ้างบินมาสัมภาษณ์เองเลย ต้องบอกว่าตื่นเต้นมากๆๆๆๆ เพราะเคยมีคนไม่ผ่านด้วยค่ะ Six Flags เองก็รับไม่กี่คนแถมคนมาสมัครเยอะ ทางเอเจนซี่ก็บอกว่าถึงจะมีคนมาสมัครตามโควตาที่เค้ารับ แต่ถ้าไม่ผ่าน เค้าก็ตัดออก ไม่แคร์ว่าคนจะไม่ครบ T^T ซึ่งนั่นก็เพิ่มความกดดันไปอีกค่ะ เราเข้าไปสัมภาษณ์พร้อมเพื่อนที่เราไปด้วยและมีผู้ชายอีก2คนค่ะ นายจ้างที่มาสัมภาษณ์เป็นผู้ชายใส่ยูนิฟอร์มของ Six Flags มาเลยค่ะ พอนั่งลงเค้าก็ถามคำถามเบสิคทั่วไป ทุกคนที่มาถึงจุดที่ได้มาJob Fairแล้วย่อมตอบได้แน่นอนค่ะ แต่อย่างSig Flagsเนี่ย เค้าไม่ซีเรียสว่าคุณจะต้องพูดได้คล่องปร๋อหรือสำเนียงอลังการแบบอเมริกันมาเอง ที่เค้าสนใจคือการพยายามพูดและความเป็นมิตรค่ะ การพยายามพูดหมายความว่า ถามอะไรแล้วไม่นิ่งเงียบ มีความพยายามที่จะสื่อสารกับเค้า ไม่นั่งอ้ำๆอึ้งๆ พูดผิดหรือสำเนียงไม่ดีก็ไม่ได้ส่งผลขนาดนั้นค่ะ พูดออกมาเลย ความเป็นมิตรนี่ก็สำคัญมากเลยค่ะ Six Flags เนี่ยให้ความสำคัญกับการบริการมากๆ ก่อนทำงานทุกคนจะโดนอบรมเกี่ยวการการปฎิบัติต่อลูกค้า (ซึ่งไม่เรียก customerค่ะ Six Flags เรียกลูกค้าว่า guest เพราะเป็นเสมือนแขกที่มาบ้านของเรา #อู้ววว ฉะนั้นแล้วต้องยิ้มเข้าไว้นะคะ แต่ไม่ใช่ยิ้มจนนายจ้างตกใจนะคะ เอาพอประมาณพอค่ะ ร่าเริงนิดหน่อย เอาเป็นว่าเป็นท่าทางที่ถ้าเราไปซื้อของแล้วอยากได้การกระทำแบบนั้นจากคนขายค่ะ 55555555
คำถามที่ทุกคนน่าจะโดนกันก็คือ “เพราะอะไรถึงอยากมาทำงานที่นี่ ทำไมถึงเลือกที่นี่?” ของเราตอบว่าเคยมีเพื่อนได้ไปทำที่นี่แล้วเพื่อนมาเล่าให้ฟัง เลยทำให้สนใจแล้วอยากไปทำที่นี่บ้าง ก็เลยเล่าต่อว่าเพื่อนเคยไปทำแผนก Food Service (ขายอาหาร) เพื่อนไปทำพิซซ่าขาย ก็เฮฮากันไปค่ะ อิอิ สุดท้ายมีการถามส่วนสูงพวกเราทั้ง4คนด้วยค่ะ (เรา เพื่อน ผู้ชายที่ไม่รู้จักอีก2คน) ตอนนั้นสงสัยมากว่าเอาไปทำอะไร จะไปวัดไซส์เสื้อผ้าเราหรอ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบค่ะ 555555555
พอสัมภาษณ์เสร็จแล้วทางเอเจนซี่จะส่งผลมาทีหลังค่ะว่าเราผ่านหรือเปล่า ถ้าเราไม่ผ่านก็ต้องไปสัมภาษณ์งานในอันดับรองลงมาที่เราเลือกไว้ค่ะ ซึ่งงงงงงง! เรากับเพื่อนผ่านค่ะ ดีใจกันมากมาย เพราะนี่หมายถึงว่าสเต็ปต่อไปมีเพียงการทำวีซ่าเท่านั้นค่ะ
เมื่อได้งานแล้วเอเจนซี่ก็จะส่งรายละเอียดเกี่ยวกับงานมาให้เราค่ะรวมถึงเอกสารต่างๆจากทาง US Sponsor (เอเจนซี่ที่ดูแลเราที่อเมริกา) เพราะเอกสารต่างๆนี้ US Sponsor ของเราต้องจัดการดำเนินการทางด้านเอกสารให้กับเราค่ะ ไม่เช่นนั้นเราจะไม่สามารถทำวีซ่าได้อย่างลื่นปรี้ดแน่นอนค่ะ การมีUS Sponsorทำให้สถานภาพของเรามั่นคงในแง่ที่ว่า เราจะไม่ไปโรบินฮู้ดในบ้านเค้าแน่นอน แม้จะเป็นวีซ่านักเรียนแลกเปลี่ยน J-1 เหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกับนักเรียนแลกเปลี่ยนมัธยม เพราะอยู่มหาลัยแล้วเนาะ โตในระดับนึงแล้ว จะหนีไม่กลับมาก็มีอัตรามากกว่าเด็กน้อย ซึ่งค่าโครงการที่เราจ่ายไปตั้งแต่ทีแรกนี้เองจะกลายมาเป็นค่าดำเนินการหลายๆอย่างทางเอกสารค่ะ เพราะต้องมีการส่งเอกสารกันจริงๆข้ามประเทศ
จนมาถึงช่วงใกล้ทำวีซ่า ประมาณเกือบเดือนก่อนทำ ทางเอเจนซี่ได้นัดให้มี Visa Orientation คือการติวการสัมภาษณ์วีซ่านั่นเองค่ะ และก็มีการนำการจัดเอกสารและนัดแนะกำหนดการต่างๆในวันทำวีซ่าซึ่งแต่ละคนจะได้วันและเวลาต่างกันไปค่ะ ไม่สามารถจะให้อยู่ในวันเดียวกันได้ เพราะเดือนเมษายนและพฤษภาคมเป็นเดือนยอดฮิตในการทำวีซ่าของนักเรียนแลกเปลี่ยนและเด็กเวิร์คเลยล่ะค่ะ ฉะนั้นต้องพยายามให้ผ่านในรอบเดียว เพราะจะหาล็อคในการทำครั้งต่อไปยากมากๆ แม้อัตราการผ่านวีซ่าของนักเรียนแลกเปลี่ยนจะสูงถึง 99.99% ตามคำเคลมของพี่จากเอเจนซี่ก็ตาม แต่เราก็ยังหวั่นใจอยู่ดีค่ะ ท่องวิธีการสแกนนิ้ว จำศัพท์ภาษาอังกฤษของนิ้วที่ไม่ใช่fingerเฉยๆไปซะเคร่งเครียดเพราะกลัวเค้าบอกให้วางนิ้วนี้ๆนะหนูแล้วไม่รู้เรื่อง lol
และแล้ววันทำวีซ่าก็มาถึง เรามาถึงก่อนเวลานัดเกือบชั่วโมงเลยค่ะ มานั่งรอก่อน พอถึงเวลาก็เดินไปสถานทูตกับเพื่อน แถวนี่ยาวออกจากสถานทูตเป็นร้อยเมตรเลยค่ะ พอถึงประตูก็ฝากกระเป๋า โทรศัพท์ต่างๆ โทรศัพท์เค้าจะเอาของทุกคนมารวมกัน (ของคนที่คิวติดกัน4-5คน) ละวางไว้รวมกัน ส่วนกระเป๋า ทางสถานทูตมีกฎอยู่แล้วว่าไม่ให้เอากระเป๋าใหญ่ๆมาค่ะ พวกเป้ กระเป๋าผ้าทั่วไปที่วัยรุ่นนิยมสะพายกัน วันนั้นเราเลยเอาไปแค่กระเป๋าสะพายเฉียงใบเล็กๆ พอเข้าไปแล้วจะไปถึงด่านที่ตรวจเช็คเอกสารและจดเลขTrackไปรษณีย์ค่ะ เพราะสถานทูตจะจัดส่งพาสปอร์ตเราพร้อมวีซ่าผ่านทางไปรษณีย์ EMS เท่านั้น ซึ่งทางเอเจนซี่จะให้เราเขียนที่อยู่ของเอเจนซี่เพื่อจะได้ไม่มีการตกหล่นและทำการเช็คไปในตัวว่าทุกคนได้รับเอกสารครบถ้วน จากด่านนี้แล้ว ต่อไปคือการเช็คเอกสารอีกรอบค่ะ ถ้าใครเคยมีวีซ่าอเมริกาสามารถพกมาด้วยเพื่อเพิ่มความอุ่นใจได้ค่ะ ทีนี้ล่ะค่ะ การสแกนนิ้วที่ฝึกซ้อมก็มาแล้ว แป้บเดียวเสร็จ 555555555 เคลื่อนตัวไปช่องต่อไปคือเจ้าหน้าที่สถานทูตชาวอเมริกันที่จะมาสปีคกับเราแล้วค่ะ คำถามก็เบสิคทั่วไป เราจำได้แค่ว่าเค้าถามว่าเคยไปประเทศไหนมาบ้าง เราก็ตอบไป จนเค้าปั๊มตรายาง ปึ้ง! พร้อมบอกว่า good luck น้ำตาลแทบไหลค่ะ จะได้ไปแล้วววว!
to be continue...
ขอบคุณที่ให้ความสนใจนะคะ
ถ้าผิดพลาดตรงไหนท้วงติงได้เลยนะคะและขออภัยมาล่วงหน้าด้วยค่ะ
[CR] W&Tever2016<3 Once in California; Six Flags Magic Mountain
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาเล่าประสบการณ์ของตัวเองแบบนี้บนโลกออนไลน์ค่ะ ได้ไปท่องโลกมามากมายแต่ไม่มีโอกาสได้มาบอกเล่ากันเสียที ครั้งนี้เลยคิดว่า การมาบอกเล่าประสบการณ์ในครั้งนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อหลายๆคนที่กำลังจะไป Work&Travel 2017 ค่ะ อีกทั้งอยากจะเก็บไว้เป็นไดอารี่บันทึกความทรงจำของการเดินทางของเราในครั้งที่ผ่านมาด้วยค่ะ
เราได้อ่านกระทู้และบล็อกมากมายเกี่ยวกับ Work&Travel (ซึ่งต่อไปจะขอย่อเป็น W&T นะคะ) แต่จะมาอ่านก็หลังสมัครโครงการไปแล้วค่ะ 555555 ด้วยความที่รับประสบการณ์โดยตรงจากเพื่อนที่ไปมาในปี 2015 ค่ะ แม้จะมีถ้อยคำรีวิวหมื่นพันจากเพื่อนที่สมัครไปงานและเมืองเดียวกันนี้แล้ว แต่ก็อดจะกังวลไม่ได้เลยค่ะ เพราะคำเล่าลือเกี่ยวกับ W&T นี่แสนจะเยอะเหลือเกินแต่ก็ทำใจสู้จนถึงวันก่อนวันที่จะได้ทำงานจริงๆเลยล่ะค่ะ
________________________________________
Part.1 กว่าจะได้ไป
ด้วยความที่ชอบท่องเที่ยวและชอบการเรียนรู้ภาษาอยู่แล้ว เลยตื่นเต้นมากๆๆๆที่จะสมัครไปโครงการ W&T เพราะนอกจากจะได้ไปเรียนรู้สิ่งๆใหม่ ก็ยังได้ลองทำงาน(แบบจริงจัง) ที่เราไม่เคยได้สัมผัส และได้ทักษะทางด้านภาษาเพิ่มขึ้น อีกสิ่งหนึ่งก็คือการได้กลับไปอเมริกาค่ะ ซึ่งเราเคยไปอยู่หนึ่งปีในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยนตอนสมัยมัธยมปลาย ทำให้ติดใจการใช้ชีวิตและการดำเนินชีวิตมากค่ะ อีกสิ่งหนึ่งก็คือของกินนั่นเองค่ะ 5555555
จะพาเข้าสู่เรื่องมีสาระแล้วค่ะ อิ___อิ ตอนสมัครโครงการ เรารีบสมัครตั้งแต่เค้าเปิดให้สมัครตอนเดือนสิงหาคม 2015 เลยค่ะ จะได้เป็นรอบ Early bird ได้รับส่วนลดค่าโครงการ 5,000 บาท แต่นั่นไม่ได้ทำให้มีความแตกต่างจากค่าโครงการของเอเจนซี่อื่นเท่าไหร่ค่ะ แต่การสมัครเร็วนี้ สำหรับเอเจนซี่ที่เราเลือกไปจะทำให้เรามีโอกาสเลือกงานได้มากกว่าและเร็วกว่าคนอื่น โดยในตอนนั้นเองเรามีงานในใจอยู่ 2-3 งานแล้วค่ะ ซึ่งเอเจนซี่เองก็ให้เราได้จัดอันดับงานที่ต้องการไว้ 3 อันดับ และถ้าไปกับเพื่อน หรือไปกันเป็นกลุ่ม ก็สามารถเลือกให้เหมือนกันได้ค่ะ (แต่ต้องผ่านการสัมภาษณ์จากนายจ้างทั้งหมดนะคะ)
ภายหลังจากสมัครอะไรเรียบร้อยแล้วก็ต้องเตรียมเอกสารกันค่ะ เอเจนซี่จะลิสต์เอกสารทั้งหมดที่ทางเค้าต้องการ( ซึ่งในบางอันพึ่งจะมาใช้ตอนทำวีซ่าเดือนเมษายน 2016 2เดือนก่อนไปเองค่ะ พี่รีบมากค่ะ แต่คิดว่าคงเพราะอยากให้ทุกคนมีความพร้อมในด้านเอกสารมากที่สุด จะได้ไม่ต้องมารนตอนช่วงจะทำวีซ่า) เอกสารนี้ก็จะเป็นพวก ใบสมัครต่างๆของเอเจนซี่ ใบทรานสคริปท์ ใบรับรองสถานะนักศึกษา รูปถ่ายวีซ่าอเมริกา (พื้นขาว รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส) ประมาณนี้ค่ะ
ในช่วงหลายเดือนก่อนหน้าจะทำวีซ่านี้เอง ทางเอเจนซี่ก็จะคอยส่งเมลมาอัพเดทความคืบหน้าต่างๆให้เราค่ะ เราชอบมากเลย อาจเพราะสมัครเร็วไปหน่อย เลยเหมือนว่ารอนานกว่าคนอื่น 555555555 พอใกล้จะเดือนธันวาคม ทางเอเจนซี่เริ่มประกาศงานที่เราได้แล้วค่ะ ว่าเราได้งานอะไร ซึ่งจะต้องไปสัมภาษณ์กับนายจ้างในเดือนมกราคม 2016 (ที่มีทั้งบินมาสัมเองจากอเมริกาและสไกป์) ปรากฏว่าเราได้งานอันดับ1ที่เลือกไว้ค่ะ นั่นก็คือ Six Flags Magic Mountain อยู่ที่เมืองวาเลนเซีย รัฐแคลิฟอร์เนีย
ซึ่งก่อนจะถึงวันสัมภาษณ์เนี่ย ทางเอเจนซี่ได้มีนัดเพื่อติวการสัมภาษณ์กับนายจ้างด้วยค่ะ รวมถึงแนะนำ ให้ประสบการณ์เกี่ยวกับ W&T พอมาถึงวันสัมภาษณ์งานกับนายจ้างหรือเรียกกันว่า Job Fair การสัมภาษณ์จะแบ่งออกตามงานค่ะ ของเรานายจ้างบินมาสัมภาษณ์เองเลย ต้องบอกว่าตื่นเต้นมากๆๆๆๆ เพราะเคยมีคนไม่ผ่านด้วยค่ะ Six Flags เองก็รับไม่กี่คนแถมคนมาสมัครเยอะ ทางเอเจนซี่ก็บอกว่าถึงจะมีคนมาสมัครตามโควตาที่เค้ารับ แต่ถ้าไม่ผ่าน เค้าก็ตัดออก ไม่แคร์ว่าคนจะไม่ครบ T^T ซึ่งนั่นก็เพิ่มความกดดันไปอีกค่ะ เราเข้าไปสัมภาษณ์พร้อมเพื่อนที่เราไปด้วยและมีผู้ชายอีก2คนค่ะ นายจ้างที่มาสัมภาษณ์เป็นผู้ชายใส่ยูนิฟอร์มของ Six Flags มาเลยค่ะ พอนั่งลงเค้าก็ถามคำถามเบสิคทั่วไป ทุกคนที่มาถึงจุดที่ได้มาJob Fairแล้วย่อมตอบได้แน่นอนค่ะ แต่อย่างSig Flagsเนี่ย เค้าไม่ซีเรียสว่าคุณจะต้องพูดได้คล่องปร๋อหรือสำเนียงอลังการแบบอเมริกันมาเอง ที่เค้าสนใจคือการพยายามพูดและความเป็นมิตรค่ะ การพยายามพูดหมายความว่า ถามอะไรแล้วไม่นิ่งเงียบ มีความพยายามที่จะสื่อสารกับเค้า ไม่นั่งอ้ำๆอึ้งๆ พูดผิดหรือสำเนียงไม่ดีก็ไม่ได้ส่งผลขนาดนั้นค่ะ พูดออกมาเลย ความเป็นมิตรนี่ก็สำคัญมากเลยค่ะ Six Flags เนี่ยให้ความสำคัญกับการบริการมากๆ ก่อนทำงานทุกคนจะโดนอบรมเกี่ยวการการปฎิบัติต่อลูกค้า (ซึ่งไม่เรียก customerค่ะ Six Flags เรียกลูกค้าว่า guest เพราะเป็นเสมือนแขกที่มาบ้านของเรา #อู้ววว ฉะนั้นแล้วต้องยิ้มเข้าไว้นะคะ แต่ไม่ใช่ยิ้มจนนายจ้างตกใจนะคะ เอาพอประมาณพอค่ะ ร่าเริงนิดหน่อย เอาเป็นว่าเป็นท่าทางที่ถ้าเราไปซื้อของแล้วอยากได้การกระทำแบบนั้นจากคนขายค่ะ 55555555
คำถามที่ทุกคนน่าจะโดนกันก็คือ “เพราะอะไรถึงอยากมาทำงานที่นี่ ทำไมถึงเลือกที่นี่?” ของเราตอบว่าเคยมีเพื่อนได้ไปทำที่นี่แล้วเพื่อนมาเล่าให้ฟัง เลยทำให้สนใจแล้วอยากไปทำที่นี่บ้าง ก็เลยเล่าต่อว่าเพื่อนเคยไปทำแผนก Food Service (ขายอาหาร) เพื่อนไปทำพิซซ่าขาย ก็เฮฮากันไปค่ะ อิอิ สุดท้ายมีการถามส่วนสูงพวกเราทั้ง4คนด้วยค่ะ (เรา เพื่อน ผู้ชายที่ไม่รู้จักอีก2คน) ตอนนั้นสงสัยมากว่าเอาไปทำอะไร จะไปวัดไซส์เสื้อผ้าเราหรอ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบค่ะ 555555555
พอสัมภาษณ์เสร็จแล้วทางเอเจนซี่จะส่งผลมาทีหลังค่ะว่าเราผ่านหรือเปล่า ถ้าเราไม่ผ่านก็ต้องไปสัมภาษณ์งานในอันดับรองลงมาที่เราเลือกไว้ค่ะ ซึ่งงงงงงง! เรากับเพื่อนผ่านค่ะ ดีใจกันมากมาย เพราะนี่หมายถึงว่าสเต็ปต่อไปมีเพียงการทำวีซ่าเท่านั้นค่ะ
เมื่อได้งานแล้วเอเจนซี่ก็จะส่งรายละเอียดเกี่ยวกับงานมาให้เราค่ะรวมถึงเอกสารต่างๆจากทาง US Sponsor (เอเจนซี่ที่ดูแลเราที่อเมริกา) เพราะเอกสารต่างๆนี้ US Sponsor ของเราต้องจัดการดำเนินการทางด้านเอกสารให้กับเราค่ะ ไม่เช่นนั้นเราจะไม่สามารถทำวีซ่าได้อย่างลื่นปรี้ดแน่นอนค่ะ การมีUS Sponsorทำให้สถานภาพของเรามั่นคงในแง่ที่ว่า เราจะไม่ไปโรบินฮู้ดในบ้านเค้าแน่นอน แม้จะเป็นวีซ่านักเรียนแลกเปลี่ยน J-1 เหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกับนักเรียนแลกเปลี่ยนมัธยม เพราะอยู่มหาลัยแล้วเนาะ โตในระดับนึงแล้ว จะหนีไม่กลับมาก็มีอัตรามากกว่าเด็กน้อย ซึ่งค่าโครงการที่เราจ่ายไปตั้งแต่ทีแรกนี้เองจะกลายมาเป็นค่าดำเนินการหลายๆอย่างทางเอกสารค่ะ เพราะต้องมีการส่งเอกสารกันจริงๆข้ามประเทศ
จนมาถึงช่วงใกล้ทำวีซ่า ประมาณเกือบเดือนก่อนทำ ทางเอเจนซี่ได้นัดให้มี Visa Orientation คือการติวการสัมภาษณ์วีซ่านั่นเองค่ะ และก็มีการนำการจัดเอกสารและนัดแนะกำหนดการต่างๆในวันทำวีซ่าซึ่งแต่ละคนจะได้วันและเวลาต่างกันไปค่ะ ไม่สามารถจะให้อยู่ในวันเดียวกันได้ เพราะเดือนเมษายนและพฤษภาคมเป็นเดือนยอดฮิตในการทำวีซ่าของนักเรียนแลกเปลี่ยนและเด็กเวิร์คเลยล่ะค่ะ ฉะนั้นต้องพยายามให้ผ่านในรอบเดียว เพราะจะหาล็อคในการทำครั้งต่อไปยากมากๆ แม้อัตราการผ่านวีซ่าของนักเรียนแลกเปลี่ยนจะสูงถึง 99.99% ตามคำเคลมของพี่จากเอเจนซี่ก็ตาม แต่เราก็ยังหวั่นใจอยู่ดีค่ะ ท่องวิธีการสแกนนิ้ว จำศัพท์ภาษาอังกฤษของนิ้วที่ไม่ใช่fingerเฉยๆไปซะเคร่งเครียดเพราะกลัวเค้าบอกให้วางนิ้วนี้ๆนะหนูแล้วไม่รู้เรื่อง lol
และแล้ววันทำวีซ่าก็มาถึง เรามาถึงก่อนเวลานัดเกือบชั่วโมงเลยค่ะ มานั่งรอก่อน พอถึงเวลาก็เดินไปสถานทูตกับเพื่อน แถวนี่ยาวออกจากสถานทูตเป็นร้อยเมตรเลยค่ะ พอถึงประตูก็ฝากกระเป๋า โทรศัพท์ต่างๆ โทรศัพท์เค้าจะเอาของทุกคนมารวมกัน (ของคนที่คิวติดกัน4-5คน) ละวางไว้รวมกัน ส่วนกระเป๋า ทางสถานทูตมีกฎอยู่แล้วว่าไม่ให้เอากระเป๋าใหญ่ๆมาค่ะ พวกเป้ กระเป๋าผ้าทั่วไปที่วัยรุ่นนิยมสะพายกัน วันนั้นเราเลยเอาไปแค่กระเป๋าสะพายเฉียงใบเล็กๆ พอเข้าไปแล้วจะไปถึงด่านที่ตรวจเช็คเอกสารและจดเลขTrackไปรษณีย์ค่ะ เพราะสถานทูตจะจัดส่งพาสปอร์ตเราพร้อมวีซ่าผ่านทางไปรษณีย์ EMS เท่านั้น ซึ่งทางเอเจนซี่จะให้เราเขียนที่อยู่ของเอเจนซี่เพื่อจะได้ไม่มีการตกหล่นและทำการเช็คไปในตัวว่าทุกคนได้รับเอกสารครบถ้วน จากด่านนี้แล้ว ต่อไปคือการเช็คเอกสารอีกรอบค่ะ ถ้าใครเคยมีวีซ่าอเมริกาสามารถพกมาด้วยเพื่อเพิ่มความอุ่นใจได้ค่ะ ทีนี้ล่ะค่ะ การสแกนนิ้วที่ฝึกซ้อมก็มาแล้ว แป้บเดียวเสร็จ 555555555 เคลื่อนตัวไปช่องต่อไปคือเจ้าหน้าที่สถานทูตชาวอเมริกันที่จะมาสปีคกับเราแล้วค่ะ คำถามก็เบสิคทั่วไป เราจำได้แค่ว่าเค้าถามว่าเคยไปประเทศไหนมาบ้าง เราก็ตอบไป จนเค้าปั๊มตรายาง ปึ้ง! พร้อมบอกว่า good luck น้ำตาลแทบไหลค่ะ จะได้ไปแล้วววว!
to be continue...
ขอบคุณที่ให้ความสนใจนะคะ ถ้าผิดพลาดตรงไหนท้วงติงได้เลยนะคะและขออภัยมาล่วงหน้าด้วยค่ะ