เมื่อฉันเกลียดรูปร่างของตัวเอง : Body Transformation

เอาจริงๆนี่ไม่รู้จะเริ่มที่มาที่ไปตรงไหนดีว่าทำไมจู่ๆถึงหันมาดูแลสุขภาพตัวเองอย่างจริงๆจังๆ

เรื่องของเรื่องคือน้ำหนักขึ้นค่ะ ขึ้นมาราวๆ 7-8 กิโลกรัม ในช่วงที่เรียนจบและทำงาน จนกระทั่งวันนึงที่ใส่เสื้อผ้าไม่ได้เลยสักตัว นั่นยังไม่เท่ากับการใส่กางเกงที่เคยใหญ่โคร่งได้พอดีตัว และคนทักว่า....ท้องเหรอ

เห้ย!! อ้วนเว้ย ไม่ได้ท้อง T_T

เหมือนหนังหว่องเลย ฉันยืนอยู่บนตราชั่ง เข็มตราชั่งดีดไป 61 กก. รอบเอว 32 นิ้ว!!
ด้วยส่วนสูง 165 เซนติเมตร และไม่ชอบแต่งตัวรัดรูปเลยไม่เท่าไหร่ อาศัยโปะเลเยอร์เสื้อผ้าเอา แต่ความจริงก็คือความจริง.....

เนอะ .__________.

เอาเข้าจริง เรายังโชคดีอยู่อย่างนึงตอนที่ใส่เสื้อผ้าบางชุดแล้วมันพรางหุ่นค่ะ ก็เลยใส่มันอยู่นั่น กว่าจะรู้ตัวก็นะ...อย่างที่บอก
พอถอดเสื้อผ้าออก ถามใจตัวเองว่าเรานี่มันเบอร์ไหน จากการนั่งเทียบเปอร์เซนต์ไขมันจากรูปในอินเตอร์เน็ต พูดได้เลยว่ามี 30% of Fat แน่ๆ
แถมนมไม่มี!! จะอะไรอีกล่ะชีวิตเนี่ย (นมมีนะ ตอนตุ้ยนุ้ยนี่นมตู้มมาก 55555555555+ แต่ถ้าจะเบอร์นี้ หนูก็ควรนมใหญ่กว่านี้ป่ะคะ T_T)



ก็นั่นแหละค่ะ บอกได้เท่านั้น นี่นั่งค้นรูปสมัยตุ้บตั้บมันมีไม่เยอะหรอก เรียกว่าเดินหนีกล้องเลยก็ว่าได้ค่ะ เจอมาไม่กี่รูปจริงๆ
ซึ่งก็นะ.... อ้วน (บางคนอาจบอกไม่อ้วน แต่เธอจ๋า ฉันเคยผอมกว่านี้นะคะ)



ตึงเปรี๊ยะ.... ที่เห็นนั่นคือตึงเปรี๊ยะจริงๆ แล้วในรูปนั่นน่ะ แขม่วสุดแรงเกิด แขม่วจนกลัวอึหลุดมาอีกทางนึง TT_TT

สมัยยังไม่ถึงจุดพีค ก็ปลอบใจตัวเองนะว่า หนักกล้ามเนื้อ หนักกระดูก.... หมอบอกว่าอ้วนกล้ามเนื้ออออว์ (หมอไหนวะ?)
เอาเข้าจริง เราไม่เล่นกีฬาอะไรเลยมา 5 ปี จะเอากล้ามเนื้ออะไร?
กระดูกเราก็เล็ก ดูได้จากข้อมือที่ถ้าเอามืออีกข้างกำก็นิ้วชี้แตะนิ้วโป้งสบายมากๆ

เออ เลิกมโนแล้วหันมายอมรับความจริงเถอะกรูววว์ T_______T

สิ่งที่เราทำต่อไป ไม่ใช่ลงมือออกกำลังกายหรอกค่ะ มานั่งวิเคราะห์ความคิดตัวเองเพื่อเปลี่ยน Mind Set เกี่ยวกับการออกกำลังกายก่อนน่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่