" ประสบการณ์ดีๆกับผู้คนดีๆที่ไม่มีวันลืม "
บทเรียนในความมืด
เนื่องด้วยความน่าสนใจของนิทรรศการนี้ ที่บอกเล่าผ่านปากต่อปากจากทั้งเพื่อนและคนรู้จัก จึงเป็นแรงผลักดันให้เกิดความอยากทดลองสัมผัสประสบการณ์นี้ด้วยตัวเองบ้าง จึงเดินทางไปที่ห้างจามจุรีสแควร์
นิทรรศการนี้เปิดทุกวัน จันทร์-อาทิตย์เลยนะคะ / มีรอบการเข้าชมทุกๆ 15 นาที
จันทร์ - ศุกร์ 11.15 - 17.15 น.
เสาร์ - อาทิตย์ 11.15 - 17.45 น.
นิทรรศการนี้จัดตั้งอยู่ในห้างจามจุรี ชั้นบนสุดของห้าง อยู่ใกล้ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านหน้าจะมีส่วนประชาสัมพันธ์และซื้อบัตรเข้าชมค่ะ
ราคาบัตร เด็ก (10ขวบ ถึงปริญญาตรี) : คนละ 50 บาท ผู้ใหญ่ (จบปริญญาตรีแล้ว) : คนละ 90 บาท พร้อมลงทะเบียน ลงชื่อ,เบอร์โทร และเลือกรอบที่เราจะเข้าร่วม แนะนำว่าให้เลือกรอบที่เราพร้อมจริงๆ จะได้ไม่เสียเวลาของพี่ทีมงานในการเตรียมการและเสียคิวของคนอื่นด้วยค่ะ
มีรอบเวลาเข้าชมให้เลือกตามความสะดวกเลย เมื่อเลือกเสร็จก็ให้มาแสดงตัวในเวลาที่เลือกไว้ ส่วนนี้เราเลือกตอน 15.00
ใช้เวลาในการร่วมกิจกรรมทั้งหมดเป็นเวลา 1ชั่วโมงครึ่ง
ด้านขวาเป็นโต๊ะประชาสัมพันธ์ / วันนี้ไม่ค่อยมีคนเข้าชมมากเท่าไหร่
นิทรรศการนี้มีต้นกำเนิดมาจากองค์กรที่เยอรมัน เมื่อเพื่อนของเขาเป็นคนตาบอด เขาจึงอยากรู้ว่าเพื่อนเขาใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง จึงเป็นต้นกำเนิดของ Dialogue in the dark ที่จัดตั้งอยู่ทั่วโลก ในส่วนของประเทศไทยก็คือที่จามจุรีสแควร์นี่แหละค่ะ และเงินค่าเข้าชมที่เราจ่ายไป ก็เป็นค่าลิขสิทธิ์นั่นเอง
เมื่อซื้อบัตรเสร็จ เราก็จะได้สติกเกอร์สีเหลืองกลมๆของนิทรรศการ ให้เราไว้ติดที่เสื้อ จากนั้นก็เดินตรงขึ้นไปแล้วเลี้ยวซ้ายขึ้นบันไดไปยังชั้นนิทรรศการ
" ความตื่นเต้นเริ่มคลืบคลานเข้ามา / เราจะพบเจออะไรบ้างนะ "
เมื่อขึ้นมาถึงชั้นบนก็จะพบภาพโปสเตอร์นี้ อธิบายประวัติความเป็นมาเล็กๆน้อยก่อนจะเข้าชม
และนั่งรอพี่ไกด์
- พี่เสื้อขาวคือคนจัดเตรียมและบอกกฏกติกาการเข้าชม / ในส่วนนี้จะเป็นการนำพาเราเดินไปยัง 6 ส่วนด้วยกัน จนถึงจุดสิ้นสุดของงาน และสิ่งที่จะช่วยนำพาเราให้ไปครบถึง 6 ส่วนของนิทรรศการนี้ได้มีเพียงสองอย่างเท่านั้น คือ "ไม้เท้าขาว" และ "สัมผัสทั้ง 5 ของเรายกเว้นดวงตา"
- เขาจะเลือกไม้เท้ามีขนาดเหมาะสมกับส่วนสูงของเราให้ สอนถึงวิธีการใช้ไม้เท้า, การจับที่ถูกต้อง และหากไม้หล่นจะต้องทำอย่างไร เราเรียนรู้สิ่งเหล่านี้เพื่อเป็นการใช้ที่ปลอดภัยต่อตนเองและผู้อื่น (อย่าลืมล่ะว่าเราตาบอด)
ข้อแนะนำก่อนเข้าชม
- ห้ามนำโทรศัพท์มือถือ , นาฬิกาข้อมือ เข้าไป เนื่องจากจะเป็นการส่องแสงและสะท้อนแสงได้ค่ะ / จะมีล็อคเกอร์ให้เราไว้เก็บของส่วนตัว และลงชื่อไว้ในใบลงทะเบียน เพื่อความปลอดภัยของทรัพย์สิน ส่วนกุญแจก็เก็บไว้กับตัวค่ะ
- ควรนำจำนวนเงินเล็กน้อยติดตัวเข้าไปด้วย เช่น 20-50 บาท เพราะจะมีในส่วนของบาร์มืด ให้ได้นั่งทานขนมและน้ำค่ะ
- ไม่ควรพยายามมองหาแสง เพราะจะทำให้หน้ามืดและเกิดคลื่นไส้อาเจียนได้ , ให้หลับตาสบายๆ ไม่ต้องเกร็ง ป.ล. พี่ไกด์แนะนำมาอีกที เนื่องจากเคยเกิดขึ้นจริงแล้วกับกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่ง
- หากรู้สึกไม่ดี หรือไม่ไหว สามารถบอกพี่ไกด์ได้เลย เขาจะพามาส่งที่ทางเข้าทันที
" เมื่อพร้อมแล้ว ก็เริ่มต้นรับประสบการณ์ใหม่กันเลย "
กับการเดินเข้าไปในช่องที่เริ่มมีแสงน้อยลง และมืดสนิทในที่สุด สิ่งที่ยังช่วยให้เราเดินต่อได้ คือการใช้มือคลำสัมผัสกับผนังทั้งด้านซ้ายและขวา และยังมีไม้เท้าเพื่อช่วยกวาดดูสิ่งกีดขวางด้านหน้า / ไม่ต้องกลัวหรือกังวล เพราะจะมีพี่ไกด์คอยมาดูแลและเดินนำเราไปตลอดทางจนจบเลยค่ะ
ข้อความต่อไปนี้ ถ้าคุณจะไปพบเจอด้วยตัวเอง
ก็แนะนำว่าอย่าอ่านนะคะ
(เป็นการบอกเล่าเรื่องราวและความรู้สึกส่วนตัวที่พบเจอมากกว่า)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้แน่ใจนะว่าจะไม่ลองไปเจอด้วยตัวเอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เมื่อเดินเข้ามาตามทาง เราก็เริ่มใช้ไม้กวาดไปข้างหน้าเรื่อยๆ พร้อมกับเริ่มคลำผนัง ตามด้านที่พี่ไกด์บอก มือหนึ่งถือไม้ส่วนอีกมือหนึ่งคลำกำแพง เราจะผ่านห้องทั้งหมด 6 ห้องด้วยกัน ในส่วนของห้องแรก เขาให้เราเดินไปเรื่อยๆจนติดอยู่กับสิ่งๆหนึ่ง ใช้มือของเราสัมผัสก็พบว่ามันคือโซฟา พี่ไกด์ให้เรานั่งลงก่อนเพื่อเตรียมความพร้อม และพูดคุยทำความรู้จักกันเล็กน้อย (โชคดีที่ในรอบนี้มีเพียงเรากับเพื่อน 2 คนที่เข้าไป จึงเป็นกันเองกับพี่ไกด์มากขึ้น / ถึงเราไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อนแต่ก็พูดคุยกันอย่างเป็นกันเองมากๆเลย) พี่ไกด์ถามว่าเรียนอยู่ที่ไหนกัน รู้จักที่นี่ได้ยังไง เคยมีประสบการณ์ช่วยเหลือคนตาบอดอะไรบ้าง เป็นต้น ต่อมาเราก็เดินไปเรื่อยๆ เข้าสู่ห้องที่ 2 เป็นห้องของธรรมชาติในป่าและสวน คลำทางจากกำแพงไม้ไผ่ไปเรื่อยๆ ทดลองจินตนาการว่าเรากำลังเดินอยู่ในป่าในความมืด หูของเราได้ยินทั้งเสียงน้ำตก เสียงนก พี่ไกด์ให้เราลองเอามือจับด้านขวาและซ้าย ซึ่งเป็นใบไม้จากต้นไม้หลายๆชนิด และทายดูว่าคือต้นอะไร ต่อมานำเสียงเราไปจนถึงน้ำพุเล็กๆ ให้เราทายว่ามันเป็นแค่เสียงปลอม หรือน้ำพุจริงๆ เราต้องใช้มือเพื่อสัมผัสมัน ( ปรากฏว่าทุกอย่างในนิทรรศการนี้คือของจริง อย่าเผลอทำลายหรือทำให้ชำรุด เช่นฉีกใบไม้ แกะนู่นนี่ นะคะ) เราวนอยู่ในห้องนั้นต่อ พี่ไกด์นำเราไปยังรูปปั้นรูปหนึ่งแล้วให้ทายว่านี่คือรูปปั้นอะไร จับตั้งแต่ส่วนท้ายยันส่วนหัว สัมผัสแรกเลยคือเดาเป็นฮิปโป พี่ไกด์ขำ แล้วบอกเดาใหม่สิๆ ครั้วที่สองตอบว่าเป็นช้าง ผิดอีก พี่ไกด์จึงนำมือเราไปจับส่วนเฉลยซึ่งก็คือเท้า ปรากฏว่าคือรูปปั้นคนนั้นเอง กว่าจะเดากันออกเล่นขำกันไปหลายที เมื่อเสร็จจากรูปปั้น พี่ไกด์ให้นั่งพักลงบนเก้าอี้ในสวน แล้วบอกเล่าแลกเปลี่ยนความรู้สึกสั้นๆของการมาห้องนี้ให้กันฟัง ความรู้สึกของเรา คือ "มันไม่ดีเลยที่ไม่ได้เห็นสีเขียว ไม่ได้พบเจอความสดชื่นจากต้นไม้" พี่ไกด์บอก "อย่างนี้แหละ คนตาบอดก็ต้องจินตนากาลไปว่าเป็นยังไง" /ต่อมาในห้องที่ 3 คลำไปเรื่อยๆก็พบเจอกับกำแพงประตูรั้วบ้าน จำลองสถาณการณ์ว่าเราอยู่หน้าบ้าน มีตู้ไปรษณีย์ มอเตอร์ไซค์จอดอยู่ จับปุ๊ปก็รู้เลยว่าเป็นมอเตอร์ไซค์ พี่ไกด์ถาม"รู้ได้ไงเนี่ย ขับมอไซค์หรอ" เลยบอก "เปล่าค่า มันมีที่เบรคกะที่บิดแบบนี้อะ" และการลองเดินลงฟุตบาทเพื่อข้ามถนน เป็นการก้าวท้าวลงด้วยความกลัวและไม่มั่นใจ ไปยังตลาดที่มีเสียงดังต่างๆนาๆที่ทำให้เรานึกถึงความเป็นตลาดของไทยได้ เช่นเสียงแม่ค้าพูดคุยกัน ที่นั่นมีร้านขายของต่างๆ มีร้านขายเสื้อ ให้เราได้ลองสัมผัสพื้นผิว ลักษณะของผ้า และชนิดของเสื้อ เพื่อนถามขึ้นมาว่า "แล้วเวลาคนตาบอดเลือกซื้อเสื้อผ้า เขาทำยังไง?" พี่ไกด์บอก "เขาก็ลองจับๆเหมือนที่เราจับอยู่นั่นล่ะ แล้วก็ถามแม่ค้า ให้ช่วยดูให้เรา" เราไปต่อที่ร้านขายผักผลไม้ ลองใช้สัมผัสจากรูปร่าง พื้นผิวต่างๆของมันในการคาดเดา ต่อด้วยร้านสุดท้ายที่ต้องใช้การดมกลิ่นเข้ามาช่วย นั่นก็คือร้านขายเครื่องเทศ ........
" มีอีกหลายๆสิ่งหลายอย่างให้ทำและเราลองนึกคิดในห้วงความเงียบมากมาย สุดท้ายเราจะพบกับทัศนคติและความคิดใหม่ๆ "
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ เมื่อมาถึงห้องสุดท้าย เดินตรงไปยังบาร์ที่มีพี่พนักงานอีกหนึ่งคนคอยบริการอยู่ เขาจะร่ายชื่อน้ำและขนมพร้อมราคาให้เราฟัง เราอยากทานอะไรก็บอก แล้วจ่ายตังค์ เขาก็ถอนเงินเรามาถูกต้องเป๊ะ (นับดูเมื่อออกมาแล้ว) จากนั้นพี่ไกด์ก็พาเรานั่งลงกินขนมที่ซื้อในห้องมืด เรานั่งทานไปพูดคุยกับพี่ไกด์ไป พี่เขานั่งลงข้างๆแล้วพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ว่า "รู้รึเปล่า ว่าทุกคนที่เราเจอในนี้เป็นคนตาบอดหมดเลยนะ" เราเงียบและตกใจใรคำพูดนั้นสักพักหนึ่ง ก่อนจะคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ต่างๆที่พบเจอผ่านมา ไม่ว่าจะเจอพี่ผู้หญิงคนนึงที่ช่วยดูแลเราระหว่างจำลองสถาณการณ์ขับรถไปตามสถานที่ต่างๆ การเล่าเรื่องว่าเราอยู่ที่วัดพระแก้ว ไปสนามหลวง ขึ้นสะพาน เลี้ยวซ้ายขวา เจอรถซิ่งวิ่งมาตัดหน้า ทุกย่างที่พี่เขาเล่ามาในตอนนั้น ก็เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นเช่นเดียวกัน และพี่ไกด์ดูแลเราและนำทางผ่านแยกขึ้นลงทาง และหลบหลีกสิ่งต่างๆ เหมือนใส่แว่นที่มองเห็นตอนกลางคืนไว้ไม่มีผิดเพี้ยน แต่ความจริงแล้วคือความเคยชินของพี่เขา และการใช้สัมผัสทั้ง 5 ยกเว้นดวงตา เช่นเดียวกันกับเรา
พี่ไกด์คนนี้ คือ พี่อุ้ย หนึ่งในผู้เข้าประกวด the voice season 3 (คุณ สุวิช อินทรนุกุลกิจ)
เป็นช่วงที่มีหลายหลายอารมณ์ผสมปนกันระหว่างพูดคุย ทั้งความสงสาร ในการใช้ชีวิต ที่พี่เขาต้องผ่านความลำบากอะไรมา แต่อีกด้านคือความสุขใจที่ได้มีโอกาสพบเจอและพูดคุยทำความรู้จักกับพี่คนนี้ เมื่อถามพี่เขาว่า "แต่พี่ก็มีความสุขดีกับชีวิตแบบนี้ใช่มั้ยคะ ?" ก็ได้คำตอบมาว่า "มีความสุขสิ ชิลๆเลย พี่ก็ใช้ชีวิตแบบคนทั่วไป ไปเที่ยวไปกินข้าวดูหนังจีบสาว" "พี่ชอบไปเที่ยว ต่างประเทศมาหลายที่แล้ว" เพื่อนแทรกถามขึ้นมาว่า "แล้วเวลาพี่ไปเที่ยว ความรู้สึกมันไม่เหมือนอยู่บ้านหรอ เช่นพวกแลนด์มารค์สำคัญๆ ในเมื่อพี่มองไม่เห็นเลย" พี่เขาตอบด้วยน้ำเสียงสุขใจว่า "ไม่เหมือนสิ พี่ได้รู้สึก ได้ยินเสียง ได้ชิมอะไรใหม่ๆ ความรู้สึกแปลกใหม่อยู่แล้ว" ประโยคที่เศร้าที่สุดคือ "พี่ไม่รู้.. พี่ไม่รู้ว่าสีพวกนั้นมันเป็นยังไง เพราะพี่ไม่เคยเห็น"
" จากการที่ได้พูดคุยกันเป็นเวลา10นาทีสั้นๆที่มีความหมาย พี่อุ้ยได้สร้างพลังความรู้สึกดีๆในการใช้ชีวิต และการมองโลก ที่มีความสุขมากยิ่งขึ้น ขอบคุณพี่อุ้ยที่ได้ให้พลังแรงบันดาลใจกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้ / ในตอนที่พี่อุ้ยเดินออกมาส่งในจุดที่เริ่มมีแสงสว่าง เริ่มเห็นพี่อุ้ยตัวจริง เรารู้สึกน้ำตาคลอแต่รู้สึกผูกพันธ์อย่างบอกไม่ถูก แม้รู้จักกันเพียงไม่นาน / มีความสุขและดีใจที่ได้พบเจอนะคะ "
" ลองไปพบเจอสิ่งแปลกใหม่นี้ แล้วเราจะพบกับห้วงความคิดใหม่ ที่เปลี่ยนทัศนคติบางอย่างของเราไปโดยสิ้นเชิง "
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : 02-1605356
เฟสบุ๊คของทางองค์กร :
https://www.facebook.com/didthailand/
เวปไซต์ของทางองค์กรสากล :
http://www.dialogue-in-the-dark.com/
[CR] Dialogue in the dark : ประสบการณ์เมื่อฉัน(ทดลอง)เป็นคนตาบอด
เนื่องด้วยความน่าสนใจของนิทรรศการนี้ ที่บอกเล่าผ่านปากต่อปากจากทั้งเพื่อนและคนรู้จัก จึงเป็นแรงผลักดันให้เกิดความอยากทดลองสัมผัสประสบการณ์นี้ด้วยตัวเองบ้าง จึงเดินทางไปที่ห้างจามจุรีสแควร์
นิทรรศการนี้เปิดทุกวัน จันทร์-อาทิตย์เลยนะคะ / มีรอบการเข้าชมทุกๆ 15 นาที
จันทร์ - ศุกร์ 11.15 - 17.15 น.
เสาร์ - อาทิตย์ 11.15 - 17.45 น.
นิทรรศการนี้จัดตั้งอยู่ในห้างจามจุรี ชั้นบนสุดของห้าง อยู่ใกล้ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านหน้าจะมีส่วนประชาสัมพันธ์และซื้อบัตรเข้าชมค่ะ ราคาบัตร เด็ก (10ขวบ ถึงปริญญาตรี) : คนละ 50 บาท ผู้ใหญ่ (จบปริญญาตรีแล้ว) : คนละ 90 บาท พร้อมลงทะเบียน ลงชื่อ,เบอร์โทร และเลือกรอบที่เราจะเข้าร่วม แนะนำว่าให้เลือกรอบที่เราพร้อมจริงๆ จะได้ไม่เสียเวลาของพี่ทีมงานในการเตรียมการและเสียคิวของคนอื่นด้วยค่ะ
มีรอบเวลาเข้าชมให้เลือกตามความสะดวกเลย เมื่อเลือกเสร็จก็ให้มาแสดงตัวในเวลาที่เลือกไว้ ส่วนนี้เราเลือกตอน 15.00ใช้เวลาในการร่วมกิจกรรมทั้งหมดเป็นเวลา 1ชั่วโมงครึ่ง
ด้านขวาเป็นโต๊ะประชาสัมพันธ์ / วันนี้ไม่ค่อยมีคนเข้าชมมากเท่าไหร่
นิทรรศการนี้มีต้นกำเนิดมาจากองค์กรที่เยอรมัน เมื่อเพื่อนของเขาเป็นคนตาบอด เขาจึงอยากรู้ว่าเพื่อนเขาใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง จึงเป็นต้นกำเนิดของ Dialogue in the dark ที่จัดตั้งอยู่ทั่วโลก ในส่วนของประเทศไทยก็คือที่จามจุรีสแควร์นี่แหละค่ะ และเงินค่าเข้าชมที่เราจ่ายไป ก็เป็นค่าลิขสิทธิ์นั่นเอง
เมื่อซื้อบัตรเสร็จ เราก็จะได้สติกเกอร์สีเหลืองกลมๆของนิทรรศการ ให้เราไว้ติดที่เสื้อ จากนั้นก็เดินตรงขึ้นไปแล้วเลี้ยวซ้ายขึ้นบันไดไปยังชั้นนิทรรศการ
" ความตื่นเต้นเริ่มคลืบคลานเข้ามา / เราจะพบเจออะไรบ้างนะ "
เมื่อขึ้นมาถึงชั้นบนก็จะพบภาพโปสเตอร์นี้ อธิบายประวัติความเป็นมาเล็กๆน้อยก่อนจะเข้าชม
และนั่งรอพี่ไกด์
- พี่เสื้อขาวคือคนจัดเตรียมและบอกกฏกติกาการเข้าชม / ในส่วนนี้จะเป็นการนำพาเราเดินไปยัง 6 ส่วนด้วยกัน จนถึงจุดสิ้นสุดของงาน และสิ่งที่จะช่วยนำพาเราให้ไปครบถึง 6 ส่วนของนิทรรศการนี้ได้มีเพียงสองอย่างเท่านั้น คือ "ไม้เท้าขาว" และ "สัมผัสทั้ง 5 ของเรายกเว้นดวงตา"
- เขาจะเลือกไม้เท้ามีขนาดเหมาะสมกับส่วนสูงของเราให้ สอนถึงวิธีการใช้ไม้เท้า, การจับที่ถูกต้อง และหากไม้หล่นจะต้องทำอย่างไร เราเรียนรู้สิ่งเหล่านี้เพื่อเป็นการใช้ที่ปลอดภัยต่อตนเองและผู้อื่น (อย่าลืมล่ะว่าเราตาบอด)
ข้อแนะนำก่อนเข้าชม
- ห้ามนำโทรศัพท์มือถือ , นาฬิกาข้อมือ เข้าไป เนื่องจากจะเป็นการส่องแสงและสะท้อนแสงได้ค่ะ / จะมีล็อคเกอร์ให้เราไว้เก็บของส่วนตัว และลงชื่อไว้ในใบลงทะเบียน เพื่อความปลอดภัยของทรัพย์สิน ส่วนกุญแจก็เก็บไว้กับตัวค่ะ
- ควรนำจำนวนเงินเล็กน้อยติดตัวเข้าไปด้วย เช่น 20-50 บาท เพราะจะมีในส่วนของบาร์มืด ให้ได้นั่งทานขนมและน้ำค่ะ
- ไม่ควรพยายามมองหาแสง เพราะจะทำให้หน้ามืดและเกิดคลื่นไส้อาเจียนได้ , ให้หลับตาสบายๆ ไม่ต้องเกร็ง ป.ล. พี่ไกด์แนะนำมาอีกที เนื่องจากเคยเกิดขึ้นจริงแล้วกับกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่ง
- หากรู้สึกไม่ดี หรือไม่ไหว สามารถบอกพี่ไกด์ได้เลย เขาจะพามาส่งที่ทางเข้าทันที
กับการเดินเข้าไปในช่องที่เริ่มมีแสงน้อยลง และมืดสนิทในที่สุด สิ่งที่ยังช่วยให้เราเดินต่อได้ คือการใช้มือคลำสัมผัสกับผนังทั้งด้านซ้ายและขวา และยังมีไม้เท้าเพื่อช่วยกวาดดูสิ่งกีดขวางด้านหน้า / ไม่ต้องกลัวหรือกังวล เพราะจะมีพี่ไกด์คอยมาดูแลและเดินนำเราไปตลอดทางจนจบเลยค่ะ
ข้อความต่อไปนี้ ถ้าคุณจะไปพบเจอด้วยตัวเอง
ก็แนะนำว่าอย่าอ่านนะคะ
(เป็นการบอกเล่าเรื่องราวและความรู้สึกส่วนตัวที่พบเจอมากกว่า)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
" มีอีกหลายๆสิ่งหลายอย่างให้ทำและเราลองนึกคิดในห้วงความเงียบมากมาย สุดท้ายเราจะพบกับทัศนคติและความคิดใหม่ๆ "
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : 02-1605356
เฟสบุ๊คของทางองค์กร :
https://www.facebook.com/didthailand/
เวปไซต์ของทางองค์กรสากล :
http://www.dialogue-in-the-dark.com/
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น