ก่อนอื่นก็จะแจ้งก่อนเลยครับว่าถ้าเว้นบรรทัดแล้วมันแปลกก็ขออภัยด้วยครับและจะเน้นภาษาเขียนมากกว่าพูดเป็นหลัก
ที่มาของการมาตั้งกระทู้นี้ผมได้ฟังละครช่วงนี้ที่มีละครที่ตัวละครหลักเป็นผู้พิการทางสายตาซึ่งจากที่ฟังพี่สาวเล่าก็คือเหมือนจะโดนกระแทกที่หัวทำให้สูญเสียการมองเห็น ส่วนตัวเป็นคนไม่ได้พิการทางสายตามาโดยแต่กำเนิดก็ใช้ชีวิตปกตินี่แหละครับ จนมาได้วันนึงเมื่อปีที่แล้วปลายปีก็มาเกิดอุบัติเหตุทำให้ตานั้นมองไม่เห็นทั้งสองข้างแบบที่ว่าเราตื่นมาและก็มองไม่เห็น ส่วนการเกิดอุบัติเหตุและผมมองไม่เห็นได้อย่างไรขอแยกอีกกระทู้ครับ จะเน้นไปที่การปรับตัวหลักๆและสิ่งที่ผมพบเจอในช่วงแรก
ถ้าเท่าที่จำความได้ก็ตื่นมาระบมทั้งตัวครับแบบปวดจากกระแทรกจากอุบัติเหตุ ส่วนดวงตาใช่ครับมองไม่เห็นเลยถ้าเป็นในหนังก็คงจะถามว่าทำไมมองไม่เห็นเลย แต่สิ่งที่ผมพบเจอและรับรู้คือผมคือเรารับรู้ถึงการมีอยู่ของดวงตากรอกตาได้แต่มองไม่เห็นในตอนแรกก็คิดว่าเราตื่นมากลางดึกแหละ และก็ใช่ครับก็หลับไปอีกรอบ คราวนี้ตื่นมาอีกรอบก็เหมือนเดิมแต่เราก็ไม่ได้กังวลตอนที่เรามองไม่เห็น เราแค่บ่นเจ็บตัวก็มีเหมือนวันนั้นคุณป้าจะมาเฝ้าครับ คุณป้าก็มาพูดคุยตามสิ่งที่เราพูดและแน่นอนครับพูดไม่รู้เรื่องจากสิ่งที่ป้าบอกมานะครับ เข้าสู่อาการถัดไปหมอก็เข้ามาถามอาการต่างๆและหมอก็กลับไป แต่ตาของผมก็ยังมองไม่เห็นนะครับ รู้แค่ว่ามีผ้ามาปิดตาเอาไว้ในช่วงแรกก็ไม่อะไรมากผมก็ถามว่าทำไมต้องปิดตาผมเอาไว้ป้ากับพี่สาวก็ให้เหตุผลมาแจ้งเราไปก่อน จนผ่านไป 2-3 วันครับ ซึ่งในช่วงนี้เป็นอะไรที่ทรมานมากเพราะหนึ่งเวลาเราตื่นและเรามองไม่เห็นเวลามันผ่านไปช้ามากเหมือนเรานั่งสมาธิคอยถามคนที่มาเฝ้าว่ากี่โมง ส่วนมือทั้งสองข้างก็แน่นอนว่าเค้ามัดเอาไว้ครับตอนเราตื่นก็มีเอาออกให้บ้างแต่ตอนนอนนี่เค้าบังคับเยครับว่าต้องมัดเอาไว้กันเราไปดึงสายสวนปัสสาวะด้วย กันแกะผ้าที่ตา ก็ใช้ชีวิตบนเตียงไปเรื่อยๆจนมาวันที่สามหรือวันที่สี่ในวันที่พี่สาวผมเลือกที่จะบอกครับ ก็กินข้าวกลางวันเสร็จพี่สาวก็บอกเรื่องที่ผมจะมองไม่เห็นครับ วันนั้นก็มีป้ากับพี่สาวครับที่อยู่พอบอกเสร็จมันแบบใจมันสั่นแบบหวิวที่หาคำอะไรมาอธิบายก็ไม่ได้ วันนั้นหลังจากรู้ผมไม่ร้องนะครับแต่จมอยู่กับตัวเองไปเกือบอาทิตย์ก็คุยกับป้าและพี่สาวนะครับในระหว่างอาทิตย์แต่วันสองวันแรกก็ไม่คุยเลยเงียบ ก็ใช้ชีวิตแบบจมๆแบบนี้มาได้หลังจากตื่นก็ประมาณอาทิตย์ที่สามครับเราก็เหมือนยอมรับได้กึ่งนึงแต่ในใจลึกๆของเราแน่นอนมันพังไปหมดแล้วคำถามในหัวมากมายกับตัวเอง แต่ก็ผ่านมาได้พอเข้าอาทิตย์ต่อๆมาเราก็เหมือนต้องรับความจริงก็จะมีสอนปรับตัวครับมีเหมือนคนมาแนะนำเราว่า พอกลับไปรักษาตัวต่อควรจะวางแผนชีวิตยังไงตอนนั้นก็ยังอยู่บนเตียงเป็นหลักอยู่ช่วงสายๆเค้าก็จะมาแนะนำเราเหมือนเค้าจะไม่พยายามยัดเยียดเรามาก พอตกบ่ายก็ไปหัดใช้ขาเพราะนอนมานาน ชีวิตก็วนๆไปแบบนี้ครับจนเริ่มใช้วอกเกอร์ก็เริ่มเดินดีขึ้น ก็หัดอยู่ยังงั้นวนไป วันไหนไม่ต้องไปหัดเดินก็ให้ป้าพาเข็นวีลแชร์ไปรับลม พอถึงช่วงใกล้กลับบ้านก็มีคนสอนใช้ไม้เท้าครับ เค้าก็สอนให้สำหรับใช้ชีวิตในบ้านเบื้องต้นก่อน ส่วนป้ากับพี่สาวก็ไปดูวิธีจัดแบบบ้านก็หนักอยู่เหมือนกัน พอช่วงกลับบ้านก็ยังไม่ได้ใช้ไม้เท้าครับ เพราะเหมือนเรายังปรับกับสภาพแวดล้อมไม่ได้ก็เน้นเกาะแขนคนอื่นเขาเดินเอา หนักที่สุดในช่วงแรกก็การอาบน้ำครับหนักเพราะว่าบ้านนั้นจะเป็นแบบห้องน้ำนอกตัวบ้านต้องเดินไปหนักกว่าคือต้องให้ป้าหรือพี่สาวอาบให้ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังคงเป็นแบบนี้เพราะเรื่องสัตว์ร้ายที่เป็นภัยมาก นอกจากเรื่องในบ้านก็มีอาการกลัวเสียงต่างๆเพราะเราจะได้ยินหมดและเราก็จะจินตนาการไปบางครั้งก็มีร้องออกมาแบบน้ำตาไหลเพราะกลัว แต่หลักๆคงหนีไม่พ้นสิ่งที่เราเรียกกันว่าป้าข้างบ้านครับก็มีมาถามไถ่แบบจะคาดคั้นว่าเราจะทำอะไรจากนี้คือเป็นคำถามที่ฟังดูก็รู้ว่าไม่ได้หวังดี แต่ทางบ้านก็ปรับสภาพสิ่งที่ผมเจอและปรับอารมณ์ผมได้ดี ในระหว่างวันก็หาอะไรให้ผมทำส่วนใหญ่ก็เป็นพับผ้า นับชิ้นผ้าที่ป้าเย็บโชคดีที่สุดก็คือมีคนอยู่บ้านเกือบตลอดผมก็เลยสบายเรื่องนี้ไป หลังๆทางบ้านก็เริ่มหางานให้ผมทำเพิ่มล้างจาน งานอะไรที่ไม่ต้องใช้สายตาในการทำงาน ผมก็ใช้ชีวิตวนๆแบบนี้มาเรื่อยๆจนพี่สาวก็อยากให้ผมไปเรียนปรับตัวกับการใช้ชีวิตหลังจากนี้ ซึ่งช่วงถัดไปเดี๋ยวผมจะมาเขียนเรื่องของผมในโรงเรียนนะครับ
การตาบอดในวัย 21 ปี ตอนที่1
ที่มาของการมาตั้งกระทู้นี้ผมได้ฟังละครช่วงนี้ที่มีละครที่ตัวละครหลักเป็นผู้พิการทางสายตาซึ่งจากที่ฟังพี่สาวเล่าก็คือเหมือนจะโดนกระแทกที่หัวทำให้สูญเสียการมองเห็น ส่วนตัวเป็นคนไม่ได้พิการทางสายตามาโดยแต่กำเนิดก็ใช้ชีวิตปกตินี่แหละครับ จนมาได้วันนึงเมื่อปีที่แล้วปลายปีก็มาเกิดอุบัติเหตุทำให้ตานั้นมองไม่เห็นทั้งสองข้างแบบที่ว่าเราตื่นมาและก็มองไม่เห็น ส่วนการเกิดอุบัติเหตุและผมมองไม่เห็นได้อย่างไรขอแยกอีกกระทู้ครับ จะเน้นไปที่การปรับตัวหลักๆและสิ่งที่ผมพบเจอในช่วงแรก
ถ้าเท่าที่จำความได้ก็ตื่นมาระบมทั้งตัวครับแบบปวดจากกระแทรกจากอุบัติเหตุ ส่วนดวงตาใช่ครับมองไม่เห็นเลยถ้าเป็นในหนังก็คงจะถามว่าทำไมมองไม่เห็นเลย แต่สิ่งที่ผมพบเจอและรับรู้คือผมคือเรารับรู้ถึงการมีอยู่ของดวงตากรอกตาได้แต่มองไม่เห็นในตอนแรกก็คิดว่าเราตื่นมากลางดึกแหละ และก็ใช่ครับก็หลับไปอีกรอบ คราวนี้ตื่นมาอีกรอบก็เหมือนเดิมแต่เราก็ไม่ได้กังวลตอนที่เรามองไม่เห็น เราแค่บ่นเจ็บตัวก็มีเหมือนวันนั้นคุณป้าจะมาเฝ้าครับ คุณป้าก็มาพูดคุยตามสิ่งที่เราพูดและแน่นอนครับพูดไม่รู้เรื่องจากสิ่งที่ป้าบอกมานะครับ เข้าสู่อาการถัดไปหมอก็เข้ามาถามอาการต่างๆและหมอก็กลับไป แต่ตาของผมก็ยังมองไม่เห็นนะครับ รู้แค่ว่ามีผ้ามาปิดตาเอาไว้ในช่วงแรกก็ไม่อะไรมากผมก็ถามว่าทำไมต้องปิดตาผมเอาไว้ป้ากับพี่สาวก็ให้เหตุผลมาแจ้งเราไปก่อน จนผ่านไป 2-3 วันครับ ซึ่งในช่วงนี้เป็นอะไรที่ทรมานมากเพราะหนึ่งเวลาเราตื่นและเรามองไม่เห็นเวลามันผ่านไปช้ามากเหมือนเรานั่งสมาธิคอยถามคนที่มาเฝ้าว่ากี่โมง ส่วนมือทั้งสองข้างก็แน่นอนว่าเค้ามัดเอาไว้ครับตอนเราตื่นก็มีเอาออกให้บ้างแต่ตอนนอนนี่เค้าบังคับเยครับว่าต้องมัดเอาไว้กันเราไปดึงสายสวนปัสสาวะด้วย กันแกะผ้าที่ตา ก็ใช้ชีวิตบนเตียงไปเรื่อยๆจนมาวันที่สามหรือวันที่สี่ในวันที่พี่สาวผมเลือกที่จะบอกครับ ก็กินข้าวกลางวันเสร็จพี่สาวก็บอกเรื่องที่ผมจะมองไม่เห็นครับ วันนั้นก็มีป้ากับพี่สาวครับที่อยู่พอบอกเสร็จมันแบบใจมันสั่นแบบหวิวที่หาคำอะไรมาอธิบายก็ไม่ได้ วันนั้นหลังจากรู้ผมไม่ร้องนะครับแต่จมอยู่กับตัวเองไปเกือบอาทิตย์ก็คุยกับป้าและพี่สาวนะครับในระหว่างอาทิตย์แต่วันสองวันแรกก็ไม่คุยเลยเงียบ ก็ใช้ชีวิตแบบจมๆแบบนี้มาได้หลังจากตื่นก็ประมาณอาทิตย์ที่สามครับเราก็เหมือนยอมรับได้กึ่งนึงแต่ในใจลึกๆของเราแน่นอนมันพังไปหมดแล้วคำถามในหัวมากมายกับตัวเอง แต่ก็ผ่านมาได้พอเข้าอาทิตย์ต่อๆมาเราก็เหมือนต้องรับความจริงก็จะมีสอนปรับตัวครับมีเหมือนคนมาแนะนำเราว่า พอกลับไปรักษาตัวต่อควรจะวางแผนชีวิตยังไงตอนนั้นก็ยังอยู่บนเตียงเป็นหลักอยู่ช่วงสายๆเค้าก็จะมาแนะนำเราเหมือนเค้าจะไม่พยายามยัดเยียดเรามาก พอตกบ่ายก็ไปหัดใช้ขาเพราะนอนมานาน ชีวิตก็วนๆไปแบบนี้ครับจนเริ่มใช้วอกเกอร์ก็เริ่มเดินดีขึ้น ก็หัดอยู่ยังงั้นวนไป วันไหนไม่ต้องไปหัดเดินก็ให้ป้าพาเข็นวีลแชร์ไปรับลม พอถึงช่วงใกล้กลับบ้านก็มีคนสอนใช้ไม้เท้าครับ เค้าก็สอนให้สำหรับใช้ชีวิตในบ้านเบื้องต้นก่อน ส่วนป้ากับพี่สาวก็ไปดูวิธีจัดแบบบ้านก็หนักอยู่เหมือนกัน พอช่วงกลับบ้านก็ยังไม่ได้ใช้ไม้เท้าครับ เพราะเหมือนเรายังปรับกับสภาพแวดล้อมไม่ได้ก็เน้นเกาะแขนคนอื่นเขาเดินเอา หนักที่สุดในช่วงแรกก็การอาบน้ำครับหนักเพราะว่าบ้านนั้นจะเป็นแบบห้องน้ำนอกตัวบ้านต้องเดินไปหนักกว่าคือต้องให้ป้าหรือพี่สาวอาบให้ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังคงเป็นแบบนี้เพราะเรื่องสัตว์ร้ายที่เป็นภัยมาก นอกจากเรื่องในบ้านก็มีอาการกลัวเสียงต่างๆเพราะเราจะได้ยินหมดและเราก็จะจินตนาการไปบางครั้งก็มีร้องออกมาแบบน้ำตาไหลเพราะกลัว แต่หลักๆคงหนีไม่พ้นสิ่งที่เราเรียกกันว่าป้าข้างบ้านครับก็มีมาถามไถ่แบบจะคาดคั้นว่าเราจะทำอะไรจากนี้คือเป็นคำถามที่ฟังดูก็รู้ว่าไม่ได้หวังดี แต่ทางบ้านก็ปรับสภาพสิ่งที่ผมเจอและปรับอารมณ์ผมได้ดี ในระหว่างวันก็หาอะไรให้ผมทำส่วนใหญ่ก็เป็นพับผ้า นับชิ้นผ้าที่ป้าเย็บโชคดีที่สุดก็คือมีคนอยู่บ้านเกือบตลอดผมก็เลยสบายเรื่องนี้ไป หลังๆทางบ้านก็เริ่มหางานให้ผมทำเพิ่มล้างจาน งานอะไรที่ไม่ต้องใช้สายตาในการทำงาน ผมก็ใช้ชีวิตวนๆแบบนี้มาเรื่อยๆจนพี่สาวก็อยากให้ผมไปเรียนปรับตัวกับการใช้ชีวิตหลังจากนี้ ซึ่งช่วงถัดไปเดี๋ยวผมจะมาเขียนเรื่องของผมในโรงเรียนนะครับ