ขอบคุณทุกๆ คนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ น้องดาว Lady Star 919, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, คุณ PuPaKae, คุณ สมาชิกหมายเลข 3415748, คุณลิ ลายลิขิต, คุณ Inverness, คุณ de janeiro
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตทุกคะแนนด้วยค่ะ
บทก่อนๆ ค่ะ
บทที่ 1 - บทที่ 2
http://ppantip.com/topic/35694173
บทที่ 3
http://ppantip.com/topic/35729733
บทที่ 4
รถกระบะสีน้ำเงินที่เคยเห็นจนคุ้นตาจอดอยู่ที่นั่นแล้วเมื่อรัญญาไปถึง ตรงนั้นมีต้นโอ๊กขนาดใหญ่ยืนหยัดให้ร่มเงามานานปี มันแผ่กิ่งก้านสาขากว้างไกลไปโดยรอบจนร่มครึ้ม กลายเป็นที่จอดรถของคนกันเองไปโดยปริยาย ในขณะที่ลานจอดซึ่งเป็นทางการกว่าอยู่หน้าอาคารที่ทำการของท่าเรือ เห็นสถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยทำงานอยู่นานปีเพื่อหาเงินส่งตัวเองเรียนหนังสือ อารมณ์ที่ขุ่นมัวตั้งแต่ออกจากบ้านแม่ก็ค่อยราบเรียบขึ้น
'ที่ทำการ' คือชื่อซึ่งเธอและลุงโจผู้เป็นเจ้าของท่าเรือเก่าแก่แห่งนี้เรียกอย่างภาคภูมิใจ แต่คนอื่นที่มาเห็นคงเรียกว่าเพิงมากกว่า ก็ในเมื่อเป็นเพียงอาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้าหลังเล็กที่ไม่มีรูปมีทรงใดๆ สร้างขึ้นง่ายๆ ด้วยไม้อัดราคาถูกพอให้มีหลังคากันแดดกันฝนเท่านั้นเอง
โจเซฟ ชายสูงวัยซึ่งรัญญาเรียกลุงโจนั้นเคยเป็นชาวประมงมาก่อน เมื่อครั้งที่เธอยังเล็ก ร้านอาหารจีนของพ่อเคยตั้งอยู่ใกล้ๆ แถวนี้ และลุงโจก็มาซื้อท่าเรือซึ่งกำลังจะถูกทิ้งร้างเพื่อใช้เป็นที่จอดเรือสามลำที่แกมี จากนั้นก็ยึดอาชีพพานักท่องเที่ยวออกทะเลเพื่อตกปลา แกสอนวิธีตกปลาให้คนที่สนใจด้วย คนหนึ่งซึ่งเคยปวารณาตัวเข้าเป็นลูกศิษย์ของแกคือเธอเอง หลังจากที่ติดเรือออกทะเลไปตกปลากับลุงโจบ่อยครั้ง รวมทั้งถีบจักรยานมาส่งอาหารเย็นจากร้านของพ่อให้แกแทบจะทุกบ่าย พอครบเกณฑ์ที่กฎหมายอนุญาตให้ทำงานพิเศษนอกเวลาเรียนได้ แกก็ชวนให้มาช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ เริ่มจากวันละสองสามชั่วโมงหลังเลิกเรียน รัญญาตกลงในทันทีเพราะไม่ชอบงานเสิร์ฟอาหารในร้านของพ่อเป็นทุนอยู่แล้ว ลุงโจจึงกลายเป็นนายจ้างอย่างเป็นทางการคนแรกของเธอไปด้วยเหตุนั้น
อดไม่ได้ที่จะมองเลยไปทางสะพานเหล็กกว้างขนาดถนนสี่เลนที่เห็นอยู่ไม่ไกล สะพานนั้นทอดยาวลงไปในทะเล เป็นทางเชื่อมเกาะซัลลิแวนซึ่งอยู่กลางทะเลกับแผ่นดินใหญ่ เกาะแห่งนั้นมีแหล่งน้ำจืด จึงมีผู้อยู่อาศัยประปราย ส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากทาสซึ่งได้รับการปลดปล่อยและยึดอาชีพประมงเลี้ยงตัวนับแต่นั้นมา ชีวิตบนเกาะก่อนหน้าจะมีสะพานเชื่อมมาถึงแทบจะเรียกได้ว่าโดดเดี่ยว นานปีทีหนที่ผู้ชายจะขนปลามาขายที่ฝั่งนี้ หรือไม่ก็ผู้หญิงนั่งเรือเอาตะกร้าหรือกระจาดสานทอด้วยหญ้าประเภทที่เรียกว่าหญ้าหวาน*ขึ้นมาเร่ขาย สะพานมิลลิแกน...ตามชื่อสกุลของผู้ออกทุนสร้างให้เมือง...ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของเกาะแห่งนั้นโดยสิ้นเชิง เกาะซัลลิแวนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นหน้าขึ้นตาไปในชั่วข้ามคืน ที่ดินที่นั่นถูกกว้านซื้อจนไม่มีเหลือแม้ตารางเมตรเดียว มีโรงแรม บ้านพักและคอนโดมิเนียมหรูหราผุดขึ้นแทบไม่เว้นแต่ละวัน เริ่มจากโรงแรมแห่งแรกซึ่งคนในครอบครัวมิลลิแกนอีกนั่นแหละที่ไปสร้างไว้
นั่นเป็นอีกครั้งที่ครอบครัวมิลลิแกนมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนโฉมหน้าของเมืองและวิถีชีวิตของผู้คนในเขตนี้
รัญญามีโอกาสเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นอย่างใกล้ชิด เพราะท่าเรือของลุงโจตั้งอยู่ห่างออกมาเพียงไม่กี่เมตร เธอมาทำงานอยู่ที่นี่ตั้งแต่อายุสิบสี่ปี เริ่มจากช่วยงานเบาๆ นับแต่ขายอุปกรณ์และเหยื่อสำหรับตกปลา เรื่อยไปจนถึงรับจองเรือและจัดคิวนักท่องเที่ยวที่มาเช่าเรือ พอโตขึ้นหน่อยและเรียนรู้จากลุงโจจนช่ำชองก็เริ่มสอนนักท่องเที่ยวให้ตกปลาได้อย่างถูกหลักวิธี ปลาโคเบีย**กินเบ็ดเวลาไหน ในสภาพอากาศอย่างไร ควรใช้เบ็ดประเภทใด และใช้เหยื่อชนิดไหน เธออธิบายได้เป็นฉากๆ ยังมี คิง แมกเคอแรล*** อีกอย่างที่เธอถนัด
พอวิทยายุทธิ์แก่กล้าขึ้นอีก รัญญาก็กลายเป็นคนขับเรือชาเตอร์ของลุงโจพานักท่องเที่ยวออกตกปลากลางมหาสมุทรด้วยตัวเอง
เมื่อเธอใช้เวลานอกห้องเรียนอยู่ที่นี่เป็นส่วนใหญ่ ท่าเรือของลุงโจจึงกลายเป็นที่ซึ่งใครคนหนึ่งวนเวียนมาเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลอดช่วงฤดูร้อนขณะวิทยาลัยของเขาปิดภาคการศึกษา ใครคนนั้นมีอายุมากกว่าเธอห้าปี ในเวลาที่เธอกำลังเรียนเกรดแปดในจูเนียร์ไฮสกูล เขาก็เข้าเรียนในสถาบันการทหารเลื่องชื่อที่สุดของรัฐไปเรียบร้อยแล้ว
ชะลอรถเข้าไปจอดใต้ร่มไม้ รัญญาชำเลืองดูป้ายทะเบียนท้ายรถกระบะคันนั้น โล่งใจเมื่อเห็นว่าไม่ใช่ป้ายพิเศษสำหรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เธอบ่นกับเขาเรื่องนั้นเมื่อเขาโทรศัพท์มานัดว่าอยากคุยเป็นการส่วนตัวเรื่องหลาน
สงบสติอารมณ์เป็นครู่ก่อนกระชับเสื้อหนาวตัวหนาที่สวมแล้วเปิดประตูก้าวลง รู้ว่าตราบใดที่อารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอยแบบนี้ เธอจะพูดไม่รู้เรื่องและคิดอะไรไม่ออก
ฟ้าหม่นเหมือนฝนจะตก รอบตัวดูอ้างว้างและเงียบเหงา มอสสเปน****ที่เกาะระโยงระยางอยู่ตามกิ่งต้นโอ๊กไหวพลิ้วไปตามแรงลม เหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวที่คงเหลืออยู่
นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้มาท่าเรือแห่งนี้ เธอไม่พยายามหวนคิด ในเมื่อทุกตารางนิ้วของที่นี่เต็มไปด้วยความหลังที่อยากลืม
รัญญาปิดประตูรถแล้วอ้อมมาที่โคนต้น แหงนจนคอตั้งบ่าจึงได้เห็นว่าสิ่งที่มองหายังคงอยู่ เธอเขย่งจนสุดปลายเท้าพร้อมเอื้อมมือจนสุดแขน แต่ปลายนิ้วก็ขึ้นไปไม่ถึงตัวอักษรเอ็มและอาร์ ตามด้วยคำว่า ชั่วนิรันดร์ ที่จารึกอยู่บนลำต้น พยายามเขย่งเท่าไรก็ไม่ถึง ลองอีกครั้งก็ยังไม่ถึงอยู่ดี
'สูงเกินไป ไมลส์ สูงไป' ได้ยินเสียงในอดีตของตัวเองโอดครวญว่าอย่างนั้น
จำได้ว่าเขาละมือจากอักษรตัวแรกๆ ที่กำลังบรรจงใช้คมมีดสลักอย่างตั้งอกตั้งใจแล้วก้มลงตอบ เวลานั้นเขายังเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาคมคาย ผมสีน้ำตาลอ่อนตัดสั้นจนเกือบเกรียนตามข้อกำหนดของสถาบันที่เรียนอยู่ ตาสีเดียวกับน้ำทะเลส่งประกายเริงรื่นอยู่เป็นนิตย์ เขาสูงกว่าเธอ สูงกว่ามาก สูงและหนา เหมาะกับตำแหน่งควอเตอร์แบค*****ประจำทีมฟุตบอลของวิทยาลัย
'ไม่เห็นเคยชนะใครเลย' เธอล้อเขาเช่นนั้นเสมอ คำตอบมักเป็นเสียงหัวเราะขบขัน และนัยน์ตาสีสวยก็เปล่งประกายวาววับขึ้นอีก
'สูงแบบนี้แหละดี จะได้ไม่มีใครมาลบออกได้ไงล่ะ' เขาว่า
'สลักไว้อย่างนั้นลบออกได้ง่ายๆ เสียที่ไหน' เธอยังไม่หายข้องใจ
'ก็นั่นล่ะรัญ ยังไงก็อยากให้แน่ใจว่ามันจะคงอยู่ตลอดไป'
สะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงเดียวกันจากด้านหลัง
“เห็นไหมรัญ มันยังอยู่”
เธอลดปลายเท้าลงแล้วหันขวับมาดู พอดีกับร่างทั้งสูงทั้งใหญ่เข้าประชิดตัว
“อยากเห็นใกล้ๆ ใช่ไหม”
ไม่คอยคำตอบ สองมือแข็งแรงรวบเอวเธอจากด้านหลังแล้วยกให้ลอยขึ้นสูง เขาทำได้ง่ายดายราวอุ้มเด็กเล็ก
“ดูให้ชัดๆ ก็ได้ว่าไม่มีลบเลย” คำพูดเหล่านั้นนุ่มนวลเสียนัก
และเสียงในอดีตแสนไกลก็เหมือนจะซ้อนตามเข้ามาด้วย
'รัญจะได้เห็นชัดๆ ไงล่ะว่ามันจะคงอยู่อย่างนี้ตลอดไป'
รัญญาไล่นิ้วไปตามตัวอักษรสวยงามนั้นจนครบทุกตัว เห็นได้ชัดว่ารอยกดของคมมีดยังคงฝังลึก ราวยืนยันว่าบางสิ่งบางอย่างจะคงอยู่ตลอดไป
...แต่เพื่ออะไรกัน ทุกสิ่งที่เคยสร้างไว้ร่วมกันเป็นได้ก็เพียงความฝันในวัยแรกรุ่นเท่านั้นเอง
ความจริงแทรกเข้ามา และเธอก็จำต้องตื่นจากฝัน
“ปล่อยฉันลงได้แล้วล่ะไมลส์” ออกคำสั่งเสียงระโหย
เขาปฏิบัติตามแต่โดยดี ประคับประคองร่างซึ่งเล็กกว่ามากให้ค่อยๆ เลื่อนกลับลงจนเท้าแตะพื้นดิน หากก็ยังไม่ยอมปล่อยไปเสียในทันที สองแขนสอดเข้าโอบรอบเอวบาง
ณ สุดปลายรัก (บทที่ 4)
ขอบคุณ น้องดาว Lady Star 919, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, คุณ PuPaKae, คุณ สมาชิกหมายเลข 3415748, คุณลิ ลายลิขิต, คุณ Inverness, คุณ de janeiro
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตทุกคะแนนด้วยค่ะ
บทก่อนๆ ค่ะ
บทที่ 1 - บทที่ 2 http://ppantip.com/topic/35694173
บทที่ 3 http://ppantip.com/topic/35729733
รถกระบะสีน้ำเงินที่เคยเห็นจนคุ้นตาจอดอยู่ที่นั่นแล้วเมื่อรัญญาไปถึง ตรงนั้นมีต้นโอ๊กขนาดใหญ่ยืนหยัดให้ร่มเงามานานปี มันแผ่กิ่งก้านสาขากว้างไกลไปโดยรอบจนร่มครึ้ม กลายเป็นที่จอดรถของคนกันเองไปโดยปริยาย ในขณะที่ลานจอดซึ่งเป็นทางการกว่าอยู่หน้าอาคารที่ทำการของท่าเรือ เห็นสถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยทำงานอยู่นานปีเพื่อหาเงินส่งตัวเองเรียนหนังสือ อารมณ์ที่ขุ่นมัวตั้งแต่ออกจากบ้านแม่ก็ค่อยราบเรียบขึ้น
'ที่ทำการ' คือชื่อซึ่งเธอและลุงโจผู้เป็นเจ้าของท่าเรือเก่าแก่แห่งนี้เรียกอย่างภาคภูมิใจ แต่คนอื่นที่มาเห็นคงเรียกว่าเพิงมากกว่า ก็ในเมื่อเป็นเพียงอาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้าหลังเล็กที่ไม่มีรูปมีทรงใดๆ สร้างขึ้นง่ายๆ ด้วยไม้อัดราคาถูกพอให้มีหลังคากันแดดกันฝนเท่านั้นเอง
โจเซฟ ชายสูงวัยซึ่งรัญญาเรียกลุงโจนั้นเคยเป็นชาวประมงมาก่อน เมื่อครั้งที่เธอยังเล็ก ร้านอาหารจีนของพ่อเคยตั้งอยู่ใกล้ๆ แถวนี้ และลุงโจก็มาซื้อท่าเรือซึ่งกำลังจะถูกทิ้งร้างเพื่อใช้เป็นที่จอดเรือสามลำที่แกมี จากนั้นก็ยึดอาชีพพานักท่องเที่ยวออกทะเลเพื่อตกปลา แกสอนวิธีตกปลาให้คนที่สนใจด้วย คนหนึ่งซึ่งเคยปวารณาตัวเข้าเป็นลูกศิษย์ของแกคือเธอเอง หลังจากที่ติดเรือออกทะเลไปตกปลากับลุงโจบ่อยครั้ง รวมทั้งถีบจักรยานมาส่งอาหารเย็นจากร้านของพ่อให้แกแทบจะทุกบ่าย พอครบเกณฑ์ที่กฎหมายอนุญาตให้ทำงานพิเศษนอกเวลาเรียนได้ แกก็ชวนให้มาช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ เริ่มจากวันละสองสามชั่วโมงหลังเลิกเรียน รัญญาตกลงในทันทีเพราะไม่ชอบงานเสิร์ฟอาหารในร้านของพ่อเป็นทุนอยู่แล้ว ลุงโจจึงกลายเป็นนายจ้างอย่างเป็นทางการคนแรกของเธอไปด้วยเหตุนั้น
อดไม่ได้ที่จะมองเลยไปทางสะพานเหล็กกว้างขนาดถนนสี่เลนที่เห็นอยู่ไม่ไกล สะพานนั้นทอดยาวลงไปในทะเล เป็นทางเชื่อมเกาะซัลลิแวนซึ่งอยู่กลางทะเลกับแผ่นดินใหญ่ เกาะแห่งนั้นมีแหล่งน้ำจืด จึงมีผู้อยู่อาศัยประปราย ส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากทาสซึ่งได้รับการปลดปล่อยและยึดอาชีพประมงเลี้ยงตัวนับแต่นั้นมา ชีวิตบนเกาะก่อนหน้าจะมีสะพานเชื่อมมาถึงแทบจะเรียกได้ว่าโดดเดี่ยว นานปีทีหนที่ผู้ชายจะขนปลามาขายที่ฝั่งนี้ หรือไม่ก็ผู้หญิงนั่งเรือเอาตะกร้าหรือกระจาดสานทอด้วยหญ้าประเภทที่เรียกว่าหญ้าหวาน*ขึ้นมาเร่ขาย สะพานมิลลิแกน...ตามชื่อสกุลของผู้ออกทุนสร้างให้เมือง...ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของเกาะแห่งนั้นโดยสิ้นเชิง เกาะซัลลิแวนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นหน้าขึ้นตาไปในชั่วข้ามคืน ที่ดินที่นั่นถูกกว้านซื้อจนไม่มีเหลือแม้ตารางเมตรเดียว มีโรงแรม บ้านพักและคอนโดมิเนียมหรูหราผุดขึ้นแทบไม่เว้นแต่ละวัน เริ่มจากโรงแรมแห่งแรกซึ่งคนในครอบครัวมิลลิแกนอีกนั่นแหละที่ไปสร้างไว้
นั่นเป็นอีกครั้งที่ครอบครัวมิลลิแกนมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนโฉมหน้าของเมืองและวิถีชีวิตของผู้คนในเขตนี้
รัญญามีโอกาสเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นอย่างใกล้ชิด เพราะท่าเรือของลุงโจตั้งอยู่ห่างออกมาเพียงไม่กี่เมตร เธอมาทำงานอยู่ที่นี่ตั้งแต่อายุสิบสี่ปี เริ่มจากช่วยงานเบาๆ นับแต่ขายอุปกรณ์และเหยื่อสำหรับตกปลา เรื่อยไปจนถึงรับจองเรือและจัดคิวนักท่องเที่ยวที่มาเช่าเรือ พอโตขึ้นหน่อยและเรียนรู้จากลุงโจจนช่ำชองก็เริ่มสอนนักท่องเที่ยวให้ตกปลาได้อย่างถูกหลักวิธี ปลาโคเบีย**กินเบ็ดเวลาไหน ในสภาพอากาศอย่างไร ควรใช้เบ็ดประเภทใด และใช้เหยื่อชนิดไหน เธออธิบายได้เป็นฉากๆ ยังมี คิง แมกเคอแรล*** อีกอย่างที่เธอถนัด
พอวิทยายุทธิ์แก่กล้าขึ้นอีก รัญญาก็กลายเป็นคนขับเรือชาเตอร์ของลุงโจพานักท่องเที่ยวออกตกปลากลางมหาสมุทรด้วยตัวเอง
เมื่อเธอใช้เวลานอกห้องเรียนอยู่ที่นี่เป็นส่วนใหญ่ ท่าเรือของลุงโจจึงกลายเป็นที่ซึ่งใครคนหนึ่งวนเวียนมาเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลอดช่วงฤดูร้อนขณะวิทยาลัยของเขาปิดภาคการศึกษา ใครคนนั้นมีอายุมากกว่าเธอห้าปี ในเวลาที่เธอกำลังเรียนเกรดแปดในจูเนียร์ไฮสกูล เขาก็เข้าเรียนในสถาบันการทหารเลื่องชื่อที่สุดของรัฐไปเรียบร้อยแล้ว
ชะลอรถเข้าไปจอดใต้ร่มไม้ รัญญาชำเลืองดูป้ายทะเบียนท้ายรถกระบะคันนั้น โล่งใจเมื่อเห็นว่าไม่ใช่ป้ายพิเศษสำหรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เธอบ่นกับเขาเรื่องนั้นเมื่อเขาโทรศัพท์มานัดว่าอยากคุยเป็นการส่วนตัวเรื่องหลาน
สงบสติอารมณ์เป็นครู่ก่อนกระชับเสื้อหนาวตัวหนาที่สวมแล้วเปิดประตูก้าวลง รู้ว่าตราบใดที่อารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอยแบบนี้ เธอจะพูดไม่รู้เรื่องและคิดอะไรไม่ออก
ฟ้าหม่นเหมือนฝนจะตก รอบตัวดูอ้างว้างและเงียบเหงา มอสสเปน****ที่เกาะระโยงระยางอยู่ตามกิ่งต้นโอ๊กไหวพลิ้วไปตามแรงลม เหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวที่คงเหลืออยู่
นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้มาท่าเรือแห่งนี้ เธอไม่พยายามหวนคิด ในเมื่อทุกตารางนิ้วของที่นี่เต็มไปด้วยความหลังที่อยากลืม
รัญญาปิดประตูรถแล้วอ้อมมาที่โคนต้น แหงนจนคอตั้งบ่าจึงได้เห็นว่าสิ่งที่มองหายังคงอยู่ เธอเขย่งจนสุดปลายเท้าพร้อมเอื้อมมือจนสุดแขน แต่ปลายนิ้วก็ขึ้นไปไม่ถึงตัวอักษรเอ็มและอาร์ ตามด้วยคำว่า ชั่วนิรันดร์ ที่จารึกอยู่บนลำต้น พยายามเขย่งเท่าไรก็ไม่ถึง ลองอีกครั้งก็ยังไม่ถึงอยู่ดี
'สูงเกินไป ไมลส์ สูงไป' ได้ยินเสียงในอดีตของตัวเองโอดครวญว่าอย่างนั้น
จำได้ว่าเขาละมือจากอักษรตัวแรกๆ ที่กำลังบรรจงใช้คมมีดสลักอย่างตั้งอกตั้งใจแล้วก้มลงตอบ เวลานั้นเขายังเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาคมคาย ผมสีน้ำตาลอ่อนตัดสั้นจนเกือบเกรียนตามข้อกำหนดของสถาบันที่เรียนอยู่ ตาสีเดียวกับน้ำทะเลส่งประกายเริงรื่นอยู่เป็นนิตย์ เขาสูงกว่าเธอ สูงกว่ามาก สูงและหนา เหมาะกับตำแหน่งควอเตอร์แบค*****ประจำทีมฟุตบอลของวิทยาลัย
'ไม่เห็นเคยชนะใครเลย' เธอล้อเขาเช่นนั้นเสมอ คำตอบมักเป็นเสียงหัวเราะขบขัน และนัยน์ตาสีสวยก็เปล่งประกายวาววับขึ้นอีก
'สูงแบบนี้แหละดี จะได้ไม่มีใครมาลบออกได้ไงล่ะ' เขาว่า
'สลักไว้อย่างนั้นลบออกได้ง่ายๆ เสียที่ไหน' เธอยังไม่หายข้องใจ
'ก็นั่นล่ะรัญ ยังไงก็อยากให้แน่ใจว่ามันจะคงอยู่ตลอดไป'
สะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงเดียวกันจากด้านหลัง
“เห็นไหมรัญ มันยังอยู่”
เธอลดปลายเท้าลงแล้วหันขวับมาดู พอดีกับร่างทั้งสูงทั้งใหญ่เข้าประชิดตัว
“อยากเห็นใกล้ๆ ใช่ไหม”
ไม่คอยคำตอบ สองมือแข็งแรงรวบเอวเธอจากด้านหลังแล้วยกให้ลอยขึ้นสูง เขาทำได้ง่ายดายราวอุ้มเด็กเล็ก
“ดูให้ชัดๆ ก็ได้ว่าไม่มีลบเลย” คำพูดเหล่านั้นนุ่มนวลเสียนัก
และเสียงในอดีตแสนไกลก็เหมือนจะซ้อนตามเข้ามาด้วย
'รัญจะได้เห็นชัดๆ ไงล่ะว่ามันจะคงอยู่อย่างนี้ตลอดไป'
รัญญาไล่นิ้วไปตามตัวอักษรสวยงามนั้นจนครบทุกตัว เห็นได้ชัดว่ารอยกดของคมมีดยังคงฝังลึก ราวยืนยันว่าบางสิ่งบางอย่างจะคงอยู่ตลอดไป
...แต่เพื่ออะไรกัน ทุกสิ่งที่เคยสร้างไว้ร่วมกันเป็นได้ก็เพียงความฝันในวัยแรกรุ่นเท่านั้นเอง
ความจริงแทรกเข้ามา และเธอก็จำต้องตื่นจากฝัน
“ปล่อยฉันลงได้แล้วล่ะไมลส์” ออกคำสั่งเสียงระโหย
เขาปฏิบัติตามแต่โดยดี ประคับประคองร่างซึ่งเล็กกว่ามากให้ค่อยๆ เลื่อนกลับลงจนเท้าแตะพื้นดิน หากก็ยังไม่ยอมปล่อยไปเสียในทันที สองแขนสอดเข้าโอบรอบเอวบาง