ย้อนไปยี่สิบกว่าปี หลังจาก พวกเราจบการศึกษาในรั้วมหาลัย และเสร็จสิ้นภารกิจครูอาสาทางภาคเหนือ ที่ข้าพเจ้าและเพื่อนๆอาสา
ไปทำกิจกรรมจบแล้ว พวกเราเลยคิดกันว่า หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกันมาพอควร เราควรไปเที่ยวพักผ่อนเพื่อ สร้างพลังในการทำงาน
และหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ให้กับตัวเองบ้าง เพราะหลังจากนี้ ต่างคนก็ต่างมีหน้าที่การงานที่จะต้องปฎิบัติต่อไป เราคงหาเวลา
มารวมตัวกันอีกไม่ง่ายนัก พวกเราจึงคิดที่จะหาสถานที่ ที่คิดว่าเหมาะสม สำหรับการพักผ่อนและทำกิจกรรม ร่วมกันได้อย่างสนุกสนาน
และเก็บเป็นความทรงจำดีๆ ของทุกคน
สมัยก่อน การล่องแพ จะเป็นประสบการณ์ที่ตื่นเต้น ลำบาก และ เข้าถึงธรรมชาติที่สุด ข้าพเจ้าเองเป็นคนชอบท่องเที่ยวอยู่แล้ว
และการเข้าไปอยู่ท่ามกลางขุนเขา เวิ้งน้ำ ที่สงบ ของธรรมชาติที่มิได้ปรุงแต่ง แค่หนังสือดีๆสักเล่ม กล้องสักตัว ช่างภาพที่รู้ใจ
เพื่อนที่จริงใจแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว
และเมื่อเสียงโหวตให้ แพน้ำโจน เป็นตัวเลือก พวกเราจึงเห็นพ้องไปในทางเดียวกัน และ ดำเนินการหาข้อมูลและสรุปจนทำการจอง
เสร็จสิ้น โดยพวกเราเลือกช่วง เดือนกุมภาพันธ์ เป็นช่วงเดินทาง เพราะอากาศช่วงนั้น ยังหนาวเย็นและมีหมอกให้สัมผัสได้
ฝนก็ไม่น่าจะมี จึงถือว่าเป็นช่วงที่ดีและเหมาะสมที่สุด ของการเที่ยวเพื่อพักผ่อน
แล้ววันเดินทางก็มาถึง สิบกว่าชีวิต ที่มี หญิง10 ชาย 8 คน เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว แวะพักไปเรื่อยตามทาง ผ่านนครชัยศรี
ขึ้นไปนครปฐม จนถึงราชบุรี และเข้าถึงไทรโยค จนเลยเข้า อำเภอศรีสวัสดิ์ กาญจนบุรี
ในที่สุดเราก็มาถึง รีสอร์ททีให้บริการแพพักจนได้ ในเวลาบ่ายกว่าๆ แต่พวกเรา มิได้พักรีสอร์ท ที่นี่
จุดประสงค์และเป้าหมายคือการล่องแพ หลังเขื่อนศรีนครินทร์ที่เป็นเป้าหมายที่วางไว้ตั้งแต่แรก
ดังนั้นพวกเราจึงต้อง จอดรถไว้กับทางรีสอร์ท บนฝั่ง และหอบหิ้ว สัมภาระในการ ประกอบอาหาร และ สัมภาระ ส่วนตัว
ที่ต้องเอาไปพักบนแพใน ช่วง 3 วัน 2 คืน ที่พวกเราจองไว้ ลงบนแพ
สมัยนั้น แพที่เราพัก ยังไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายมากมายนัก แพเธคเองก็ยังไม่แพร่หลาย รูปแบบแพ คือยังเป็นพื้นไม้ไผ่
ปูทับด้วยแผ่นไม้อัดหนาๆ ผนังยังใช้ไม้รวกมามัดเป็นแผงกั้น ห้องน้ำก็ยังเป็นห้องที่มีแผงตอกสานบุไว้ เพื่อกันการมองเห็น
ส้วม ยังเป็นนั่งยอง ที่ใส่ถังบ่อเกรอะที่วางบนวงยาง ไว้ข้างล่างใต้น้ำ เรียกว่า ยังไม่พัฒนาหรือสะดวกมากมายเท่าสมัยนี้
เพราะตัวแพ ไม่สามารถแบกรับน้ำหนักวัสดุเช่น โต๊ะ เก้าอี้ หรือเตียง นอนไว้ได้มากนัก ที่นอนของพวกเรา จึงมีแค่เสื่อและฟูกบางๆ
ที่ปูลงบนพื้นแพเท่านั้น พวกเราเลือกเอาแพสองชั้น เป็นที่พัก เพราะต้องการบรรยากาศ ริมระเบียง ที่สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้น
ได้ในยามเช้า และเก็บภาพสวยๆไว้เป็นที่ระลึกได้ นั่นเอง
ส่วนอาหารการกิน ก็เตรียมกันไป กะให้พอดีกับเวลาที่พัก โดยทางแพมีถังน้ำแข็งใบใหญ่ ไว้ให้หนึ่งใบ เพื่อเก็บน้ำแข็งหรือของสด
และมีหม้อ กระทะ จานชาม ช้อน ข้าวของเครื่องใช้สำหรับทำครัวให้พอประมาณ หากต้องการสิ่งใด เพิ่มเติม ต้องโทรไปสั่ง
ทางเจ้าของแพ และเมื่อเช้า หรือเที่ยง เจ้าของแพจะนำมาให้ พร้อมคิดค่าบริการ ถือว่าไม่ลำบากมากนัก
เมื่อ เอาสัมภาระลงแพ จนหมด เรือยนต์ลำขนาดกลางๆ ก็ลากเอาแพ ของพวกเรา ออกไปจากฝั่ง เพื่อมุ่งสู่จุดหมายคือ
หลังเขื่อนศรีนครรินทร์ที่เป็นทะเลสาบที่กว้างใหญ่ เสียงเครื่องยนต์ของเรือ ดังกระหึ่มสะท้อนแนวเขา ก้องอยู่ในคุ้งน้ำ
แพแล่นไปตามน้ำเรื่อยๆ สายน้ำที่แหวกออกตามแรงลากของเรือยนต์ กระทบแสงแดดยามบ่าย ดูสวยจับใจ เสียงคุยจอแจที่ตื่นเต้น
ไปกับบรรยากาศรอบข้าง ท่ามกลางธรรมชาติที่เงียบสงบ เป็นสัญญาณ บอกความตื่นเต้น ว่าอีกไม่กี่ชม การเสาะหาความสงบ
ของการพักผ่อนกำลังเดินทางมาถึง
ข้าพเจ้าเลือกที่จะนั่งบนหัวแพ เพื่อมองดูร่องน้ำที่แตกกระจายออกจากกัน เป็นฟองคลื่น คลื่นแล้วคลื่นเล่า เสียงชัตเตอร์จากกล้อง
ดังไม่ขาดระยะ ไม่ว่าจะเป็นวิว จากแนวเขา ฟองคลื่นน้ำ เวิ้งน้ำที่สั่นกระเพื่อม หรือเหล่านก ที่กำลังบินร่อนหาปลาอยู่เหนือผืนน้ำ
ถูกเก็บบันทึกลงในฟิล์ม อย่างรัวๆ รวมทั้งนายแบบ นางแบบที่โพสท่า อย่างร่าเริง
สรรพสิ่ง ล้วนดำเนิน และเติมเต็ม ตามความรู้สึก ของความสุข
จนเมื่อถึงจุดหมาย เจ้าของแพ ก็หยุดเรือ และ จอดแพเราไว้ที่ ด้านหลังเขา โดยมีเชือกคล้องแพไว้กับหลักที่ปักไว้ริมเชิงเขา
เจ้าของแพบอกเราว่า ตรงนี้น้ำนิ่งที่สุด จะไม่มีคลื่นลมใดๆมากนัก เพราะมีแนวเขาเป็นกำแพงกั้นลมไว้ และบริเวณนี้
น้ำก็จะไม่ลึกมาก เท่ากลางทะเลสาบ เหมาะสำหรับเล่นน้ำ( โดยใส่ชูชีพ) และ มีทางเดินขึ้นไปถ่ายรูปบริเวณตีนเขายามเช้าได้
และมุมนี้ถ้ามองไปทางทิศตะวันออก จะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นอย่างชัดเจน และสวยที่สุดเมื่อพระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาเหนือคุ้งน้ำ
พวกเราจึงตกลงใจเลือกที่นี่
มองเวลา เกือบห้าโมงเย็นแล้ว อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลาท้องก็ร้องประท้วงด้วยความหิวขึ้นมา และด้วยความเหนื่อย
ต่อการเดินทาง กอร์ปกับ มื้อนี้มีเวลาไม่มากนัก เพราะหากค่ำ คงทำอะไรได้ลำบาก ลำพังตะเกียงเจ้าพายุ แค่สามสี่ตัว
คงไม่พอให้พวกเราลงมือทำอะไรได้มาก เนื่องจากเวลาที่เร่งรีบ
แก็สปิคนิคที่เตรียมมา ถูกนำมาใช้ต้มม่าม่า ใส่ไข่ แกล้ม แหนม ไส้กรอก และขนมปังพอทำให้มื้อนี้ทุกคน อิ่มท้องได้พอประมาณ
ตอนเช้าค่อยว่ากันอีกทีกับอาหารสด สรุปมื้อนี้ คือมาม่าอาหารสำเร็จรูป และขนมปังไส้กรอก และขนมขบเคี้ยวนั่นเอง
ส่วนพวกผู้ชายเองก็มีแอลกอฮอล์หล่อเลี้ยงปากกับ พุง กันอยู่แล้ว
แม้จะเป็นช่วงเวลาของการตัดขาดจากโลกภายนอก แต่พวกเราก็มีความสุขกับความเป็นส่วนตัวที่ไม่ต้องเกรงใจใครมากนักในคืนนี้
เสียงกีตาร์ ก๊องๆแก๊งค์ๆ กับเสียงเคาะปุ้งๆปั้งๆ บน กระละมังบ้าง ขวดบ้าง เบียร์กระป๋องบ้าง เสียงปรบมือตามจังหวะ
ทำเอาบรรยากาศเงียบๆท่ามกลางขุนเขา เหมือนคาราโอเกะลูกทุ่งกลางท้องน้ำไปเลย
นักร้องไม่ต้องเข้าถึงคีย์ นักดนตรีไม่ต้องคำนึงถึงคอร์ด นักเต้นไม่มีบนเวทีนี้ ไม่มีใครกล้าเต้น เพราะกลัว
หัวจะทิ่มลงไปทะเลสาบ เพราะฤิทธิแอลกอฮอล์ น่ะสิ
จนเวลาล่วงเลยไปกี่โมงยาม ก็ไม่มีใครรู้ รู้แต่ว่าดึกพอควร ลมหนาวเริ่มพัดแรงและหนาวขึ้นเรื่อยๆ ข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกหนังตาหนัก
เพราะเหนื่อยจากการเดินทาง และร่างกายต้องการพัก จึงได้แต่ล้างหน้าแปรงฟัน และขอตัวนอน คืนนี้อากาศเย็นมากจนไม่อยากอาบน้ำ
คิดว่าซักแห้งเอาเถอะ พรุ่งนี้ค่อยลงไปกระโดดน้ำเล่น ดีกว่า เสร็จจากธุระส่วนตัวก็ไปนอน
ข้าพเจ้าหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ เริ่มมารู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทหู เป็นเสียงบรรเลงตะโพนปี่พาทย์มอญ
ที่ดังแว่วมาไกลๆ พยายามจับเสียงว่าดังมาทางไหน ก็ไม่สามารถจับทางได้ เหมือนเสียงที่ลอยมาตามลม
ยังไม่ทันจะลืมตามองว่ามีใครยังไม่นอนมั่ง พลันก็ได้ยินเสียงของวัตถุกระทบน้ำดังขึ้นมา
" จ๋อม... จ๋อม... จ๋อม ...."
เสียงนั้นเหมือนดังอยู่ปลายเท้าที่นอนอยู่ ข้าพเจ้านอนนึกว่ามันเป็นเสียงของใครทำอะไร? หรือเป็นเสียงของปลาที่กระโดด
ขึ้นมาฮุบเหยื่อหรือป่าว ? จึงพยายามตั้งสติ และค่อยๆหรี่ตาขึ้นมอง พร้อมทั้งเงี่ยหูฟังต่อไป
ตอนนั้นทุกอย่างเงียบมาก เงียบจนรู้สึกว่า เสียงลมหายใจของตัวเอง น่าจะดังแข่งกับเสียง
" ...จ๋อม... จ๋อม..." นั่น
เสียงบรรเลงเพลงปี่ตะโพนมอญหายไปแล้ว ไม่มีเสียงเฮฮา ไม่มีแสงไฟ จากตะเกียงเจ้าพายุ มีแต่แสงจันทร์ที่ส่องกระทบลงมา
บนพื้นแพเท่านั้น
เมื่อกวาดสายตาไปรอบๆ แพ ตรงระเบียงด้านข้าง ที่มีไว้สำหรับชมพระอาทิตย์ตอนเช้า กลับมีเงา ของผู้หญิงมวยผมยาวนั่งหันหลังให้อยู่
เงาลางท่ามกลางแสงจันทร์ ดูเหมือนภาพโปร่งแสง ระยิบระยับ เหมือนเธอจะนั่งห้อยขา แกว่งไปมา
แต่... คุณพระช่วย นี่มันเป็นชั้นสอง นี่นา มันสูงเกือบสามเมตร !!!
ต่อให้เป็นคนตัวสูงแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่ขาจะยาวไปถึงผืนน้ำข้างล่างได้ !!!
ยังมีต่อค่ะ
เรื่องเล่าชุด : บันทึกการเดินทาง ตอน ตัวแทน ...
ย้อนไปยี่สิบกว่าปี หลังจาก พวกเราจบการศึกษาในรั้วมหาลัย และเสร็จสิ้นภารกิจครูอาสาทางภาคเหนือ ที่ข้าพเจ้าและเพื่อนๆอาสา
ไปทำกิจกรรมจบแล้ว พวกเราเลยคิดกันว่า หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกันมาพอควร เราควรไปเที่ยวพักผ่อนเพื่อ สร้างพลังในการทำงาน
และหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ให้กับตัวเองบ้าง เพราะหลังจากนี้ ต่างคนก็ต่างมีหน้าที่การงานที่จะต้องปฎิบัติต่อไป เราคงหาเวลา
มารวมตัวกันอีกไม่ง่ายนัก พวกเราจึงคิดที่จะหาสถานที่ ที่คิดว่าเหมาะสม สำหรับการพักผ่อนและทำกิจกรรม ร่วมกันได้อย่างสนุกสนาน
และเก็บเป็นความทรงจำดีๆ ของทุกคน
สมัยก่อน การล่องแพ จะเป็นประสบการณ์ที่ตื่นเต้น ลำบาก และ เข้าถึงธรรมชาติที่สุด ข้าพเจ้าเองเป็นคนชอบท่องเที่ยวอยู่แล้ว
และการเข้าไปอยู่ท่ามกลางขุนเขา เวิ้งน้ำ ที่สงบ ของธรรมชาติที่มิได้ปรุงแต่ง แค่หนังสือดีๆสักเล่ม กล้องสักตัว ช่างภาพที่รู้ใจ
เพื่อนที่จริงใจแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว
และเมื่อเสียงโหวตให้ แพน้ำโจน เป็นตัวเลือก พวกเราจึงเห็นพ้องไปในทางเดียวกัน และ ดำเนินการหาข้อมูลและสรุปจนทำการจอง
เสร็จสิ้น โดยพวกเราเลือกช่วง เดือนกุมภาพันธ์ เป็นช่วงเดินทาง เพราะอากาศช่วงนั้น ยังหนาวเย็นและมีหมอกให้สัมผัสได้
ฝนก็ไม่น่าจะมี จึงถือว่าเป็นช่วงที่ดีและเหมาะสมที่สุด ของการเที่ยวเพื่อพักผ่อน
แล้ววันเดินทางก็มาถึง สิบกว่าชีวิต ที่มี หญิง10 ชาย 8 คน เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว แวะพักไปเรื่อยตามทาง ผ่านนครชัยศรี
ขึ้นไปนครปฐม จนถึงราชบุรี และเข้าถึงไทรโยค จนเลยเข้า อำเภอศรีสวัสดิ์ กาญจนบุรี
ในที่สุดเราก็มาถึง รีสอร์ททีให้บริการแพพักจนได้ ในเวลาบ่ายกว่าๆ แต่พวกเรา มิได้พักรีสอร์ท ที่นี่
จุดประสงค์และเป้าหมายคือการล่องแพ หลังเขื่อนศรีนครินทร์ที่เป็นเป้าหมายที่วางไว้ตั้งแต่แรก
ดังนั้นพวกเราจึงต้อง จอดรถไว้กับทางรีสอร์ท บนฝั่ง และหอบหิ้ว สัมภาระในการ ประกอบอาหาร และ สัมภาระ ส่วนตัว
ที่ต้องเอาไปพักบนแพใน ช่วง 3 วัน 2 คืน ที่พวกเราจองไว้ ลงบนแพ
สมัยนั้น แพที่เราพัก ยังไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายมากมายนัก แพเธคเองก็ยังไม่แพร่หลาย รูปแบบแพ คือยังเป็นพื้นไม้ไผ่
ปูทับด้วยแผ่นไม้อัดหนาๆ ผนังยังใช้ไม้รวกมามัดเป็นแผงกั้น ห้องน้ำก็ยังเป็นห้องที่มีแผงตอกสานบุไว้ เพื่อกันการมองเห็น
ส้วม ยังเป็นนั่งยอง ที่ใส่ถังบ่อเกรอะที่วางบนวงยาง ไว้ข้างล่างใต้น้ำ เรียกว่า ยังไม่พัฒนาหรือสะดวกมากมายเท่าสมัยนี้
เพราะตัวแพ ไม่สามารถแบกรับน้ำหนักวัสดุเช่น โต๊ะ เก้าอี้ หรือเตียง นอนไว้ได้มากนัก ที่นอนของพวกเรา จึงมีแค่เสื่อและฟูกบางๆ
ที่ปูลงบนพื้นแพเท่านั้น พวกเราเลือกเอาแพสองชั้น เป็นที่พัก เพราะต้องการบรรยากาศ ริมระเบียง ที่สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้น
ได้ในยามเช้า และเก็บภาพสวยๆไว้เป็นที่ระลึกได้ นั่นเอง
ส่วนอาหารการกิน ก็เตรียมกันไป กะให้พอดีกับเวลาที่พัก โดยทางแพมีถังน้ำแข็งใบใหญ่ ไว้ให้หนึ่งใบ เพื่อเก็บน้ำแข็งหรือของสด
และมีหม้อ กระทะ จานชาม ช้อน ข้าวของเครื่องใช้สำหรับทำครัวให้พอประมาณ หากต้องการสิ่งใด เพิ่มเติม ต้องโทรไปสั่ง
ทางเจ้าของแพ และเมื่อเช้า หรือเที่ยง เจ้าของแพจะนำมาให้ พร้อมคิดค่าบริการ ถือว่าไม่ลำบากมากนัก
เมื่อ เอาสัมภาระลงแพ จนหมด เรือยนต์ลำขนาดกลางๆ ก็ลากเอาแพ ของพวกเรา ออกไปจากฝั่ง เพื่อมุ่งสู่จุดหมายคือ
หลังเขื่อนศรีนครรินทร์ที่เป็นทะเลสาบที่กว้างใหญ่ เสียงเครื่องยนต์ของเรือ ดังกระหึ่มสะท้อนแนวเขา ก้องอยู่ในคุ้งน้ำ
แพแล่นไปตามน้ำเรื่อยๆ สายน้ำที่แหวกออกตามแรงลากของเรือยนต์ กระทบแสงแดดยามบ่าย ดูสวยจับใจ เสียงคุยจอแจที่ตื่นเต้น
ไปกับบรรยากาศรอบข้าง ท่ามกลางธรรมชาติที่เงียบสงบ เป็นสัญญาณ บอกความตื่นเต้น ว่าอีกไม่กี่ชม การเสาะหาความสงบ
ของการพักผ่อนกำลังเดินทางมาถึง
ข้าพเจ้าเลือกที่จะนั่งบนหัวแพ เพื่อมองดูร่องน้ำที่แตกกระจายออกจากกัน เป็นฟองคลื่น คลื่นแล้วคลื่นเล่า เสียงชัตเตอร์จากกล้อง
ดังไม่ขาดระยะ ไม่ว่าจะเป็นวิว จากแนวเขา ฟองคลื่นน้ำ เวิ้งน้ำที่สั่นกระเพื่อม หรือเหล่านก ที่กำลังบินร่อนหาปลาอยู่เหนือผืนน้ำ
ถูกเก็บบันทึกลงในฟิล์ม อย่างรัวๆ รวมทั้งนายแบบ นางแบบที่โพสท่า อย่างร่าเริง
สรรพสิ่ง ล้วนดำเนิน และเติมเต็ม ตามความรู้สึก ของความสุข
จนเมื่อถึงจุดหมาย เจ้าของแพ ก็หยุดเรือ และ จอดแพเราไว้ที่ ด้านหลังเขา โดยมีเชือกคล้องแพไว้กับหลักที่ปักไว้ริมเชิงเขา
เจ้าของแพบอกเราว่า ตรงนี้น้ำนิ่งที่สุด จะไม่มีคลื่นลมใดๆมากนัก เพราะมีแนวเขาเป็นกำแพงกั้นลมไว้ และบริเวณนี้
น้ำก็จะไม่ลึกมาก เท่ากลางทะเลสาบ เหมาะสำหรับเล่นน้ำ( โดยใส่ชูชีพ) และ มีทางเดินขึ้นไปถ่ายรูปบริเวณตีนเขายามเช้าได้
และมุมนี้ถ้ามองไปทางทิศตะวันออก จะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นอย่างชัดเจน และสวยที่สุดเมื่อพระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาเหนือคุ้งน้ำ
พวกเราจึงตกลงใจเลือกที่นี่
มองเวลา เกือบห้าโมงเย็นแล้ว อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลาท้องก็ร้องประท้วงด้วยความหิวขึ้นมา และด้วยความเหนื่อย
ต่อการเดินทาง กอร์ปกับ มื้อนี้มีเวลาไม่มากนัก เพราะหากค่ำ คงทำอะไรได้ลำบาก ลำพังตะเกียงเจ้าพายุ แค่สามสี่ตัว
คงไม่พอให้พวกเราลงมือทำอะไรได้มาก เนื่องจากเวลาที่เร่งรีบ
แก็สปิคนิคที่เตรียมมา ถูกนำมาใช้ต้มม่าม่า ใส่ไข่ แกล้ม แหนม ไส้กรอก และขนมปังพอทำให้มื้อนี้ทุกคน อิ่มท้องได้พอประมาณ
ตอนเช้าค่อยว่ากันอีกทีกับอาหารสด สรุปมื้อนี้ คือมาม่าอาหารสำเร็จรูป และขนมปังไส้กรอก และขนมขบเคี้ยวนั่นเอง
ส่วนพวกผู้ชายเองก็มีแอลกอฮอล์หล่อเลี้ยงปากกับ พุง กันอยู่แล้ว
แม้จะเป็นช่วงเวลาของการตัดขาดจากโลกภายนอก แต่พวกเราก็มีความสุขกับความเป็นส่วนตัวที่ไม่ต้องเกรงใจใครมากนักในคืนนี้
เสียงกีตาร์ ก๊องๆแก๊งค์ๆ กับเสียงเคาะปุ้งๆปั้งๆ บน กระละมังบ้าง ขวดบ้าง เบียร์กระป๋องบ้าง เสียงปรบมือตามจังหวะ
ทำเอาบรรยากาศเงียบๆท่ามกลางขุนเขา เหมือนคาราโอเกะลูกทุ่งกลางท้องน้ำไปเลย
นักร้องไม่ต้องเข้าถึงคีย์ นักดนตรีไม่ต้องคำนึงถึงคอร์ด นักเต้นไม่มีบนเวทีนี้ ไม่มีใครกล้าเต้น เพราะกลัว
หัวจะทิ่มลงไปทะเลสาบ เพราะฤิทธิแอลกอฮอล์ น่ะสิ
จนเวลาล่วงเลยไปกี่โมงยาม ก็ไม่มีใครรู้ รู้แต่ว่าดึกพอควร ลมหนาวเริ่มพัดแรงและหนาวขึ้นเรื่อยๆ ข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกหนังตาหนัก
เพราะเหนื่อยจากการเดินทาง และร่างกายต้องการพัก จึงได้แต่ล้างหน้าแปรงฟัน และขอตัวนอน คืนนี้อากาศเย็นมากจนไม่อยากอาบน้ำ
คิดว่าซักแห้งเอาเถอะ พรุ่งนี้ค่อยลงไปกระโดดน้ำเล่น ดีกว่า เสร็จจากธุระส่วนตัวก็ไปนอน
ข้าพเจ้าหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ เริ่มมารู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทหู เป็นเสียงบรรเลงตะโพนปี่พาทย์มอญ
ที่ดังแว่วมาไกลๆ พยายามจับเสียงว่าดังมาทางไหน ก็ไม่สามารถจับทางได้ เหมือนเสียงที่ลอยมาตามลม
ยังไม่ทันจะลืมตามองว่ามีใครยังไม่นอนมั่ง พลันก็ได้ยินเสียงของวัตถุกระทบน้ำดังขึ้นมา " จ๋อม... จ๋อม... จ๋อม ...."
เสียงนั้นเหมือนดังอยู่ปลายเท้าที่นอนอยู่ ข้าพเจ้านอนนึกว่ามันเป็นเสียงของใครทำอะไร? หรือเป็นเสียงของปลาที่กระโดด
ขึ้นมาฮุบเหยื่อหรือป่าว ? จึงพยายามตั้งสติ และค่อยๆหรี่ตาขึ้นมอง พร้อมทั้งเงี่ยหูฟังต่อไป
ตอนนั้นทุกอย่างเงียบมาก เงียบจนรู้สึกว่า เสียงลมหายใจของตัวเอง น่าจะดังแข่งกับเสียง " ...จ๋อม... จ๋อม..." นั่น
เสียงบรรเลงเพลงปี่ตะโพนมอญหายไปแล้ว ไม่มีเสียงเฮฮา ไม่มีแสงไฟ จากตะเกียงเจ้าพายุ มีแต่แสงจันทร์ที่ส่องกระทบลงมา
บนพื้นแพเท่านั้น
เมื่อกวาดสายตาไปรอบๆ แพ ตรงระเบียงด้านข้าง ที่มีไว้สำหรับชมพระอาทิตย์ตอนเช้า กลับมีเงา ของผู้หญิงมวยผมยาวนั่งหันหลังให้อยู่
เงาลางท่ามกลางแสงจันทร์ ดูเหมือนภาพโปร่งแสง ระยิบระยับ เหมือนเธอจะนั่งห้อยขา แกว่งไปมา
แต่... คุณพระช่วย นี่มันเป็นชั้นสอง นี่นา มันสูงเกือบสามเมตร !!!
ต่อให้เป็นคนตัวสูงแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่ขาจะยาวไปถึงผืนน้ำข้างล่างได้ !!!
ยังมีต่อค่ะ