นักวิทยาศาสตร์สายควอนตัมเชื่อว่าจักรวาลมี 12 มิติ เราใช้ชีวิตทางกายภาพแค่ 3 มิติกับมิติของเวลาอีกมิติหนึ่ง แต่มันจะมีแค่นี้จริงหรือ ประสบการณ์ของมนุษย์ที่ประหลาดและไม่สามารถหาคำอธิบายได้มีอยู่มากมายอย่างเดจาวู ลางสังหรณ์ การหยั่งรู้ หรือเรื่องลี้ลับอื่นๆ มันอาจเป็นมิติที่ขดซ่อนซึ่งมนุษย์รับส่งข้อมูลบางอย่างจากมิติเหล่านั้นซึ่งไม่สามารถใช้สัมผัส 5 ตามปกติไปตามสังเกตได้
นักวิทยาศาสตร์เพิ่มมิติเข้ามาในการคำนวณทำให้สามารถอธิบายปรากฎการณ์ทางควอนตัมของอนุภาคได้ดีขึ้น พฤติกรรมมนุษย์ก็อาจอธิบายได้ดีขึ้นเมื่อใช้มิติควอนตัมมาอธิบายได้เหมือนกัน ในโลกควอนตัมอนุภาคสามารถย้อนเวลาไปในอดีตหรือเดินทางไปในอนาคตก็ได้ บางทีในสมองมนุษย์อาจมีอนุภาคที่เดินทางไปในอดีตหรืออนาคตแล้วนำข้อมูลกลับมาทำให้คนจำนวนมากมีประสบการณ์แบบระลึกชาติหรือการล่วงรู้อนาคต
มนุษย์อาจส่งข้อมูลการรับรู้ทุกอย่างหรือทางศาสนาเรียกว่ากรรมลงไปบันทึกในมิติของข้อมูล ซึ่งเราบางทีก็ลืมไปแล้ว แต่สามารถเรียกความทรงจำนั้นมาได้ด้วยการสะกดจิต เช่นตอนคลอดซึ่งเราไม่น่าจะจำได้เลย หรือบางคนที่มีประสบการณ์เฉียดตายและเห็นสิ่งต่างๆรอบตัวในขณะที่โคม่า ซึ่งหลายกรณีไม่น่าจะจดจำข้อมูลอะไรได้เลย
ในจักรวาลอาจมีมิติแห่งความรู้แจ้ง มนุษย์ที่สามารถควบคุมจิตให้มีคลื่นความถี่ไปอยู่ในระดับเดียวกับมิตินั้นก็อาจรู้แจ้งในปัญหาได้ อย่างที่อาร์คีมีดิสแช่อ่างเพลินๆไม่คิดอะไรก็แต่ยูเรก้าขึ้นมา
ในจักรวาลอาจมีมีติที่บันทึกและควบคุมกฎทางฟิสิกซ์ มนุษย์ที่มีสามารปรับบคลื่นความถี่ให้สอดคล้องกับมิตินั้น บางทีอาจไม่สามารถเปลี่ยนกฎแต่ก็อาจงอกฎหรือยกเว้นกฎนั้นชั่วคราว ทำให้แสดงปาฎิหาริย์ที่เหนือธรรมชาติตามปกติได้ แต่ไม่เหนือธรรมชาติในมิติที่ซ้อนทับอยู่
มันมีอะไรอีกเยอะที่ให้เราให้เรียนรู้ พวกนักวิทยาศาสตร์ตะวันตกเปิดกว้างเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ทุกอย่าง แต่นักวิทย์แบบไทยๆมักปิดกั้นโดยไม่คิดศึกษา
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตกี่มิติ
นักวิทยาศาสตร์เพิ่มมิติเข้ามาในการคำนวณทำให้สามารถอธิบายปรากฎการณ์ทางควอนตัมของอนุภาคได้ดีขึ้น พฤติกรรมมนุษย์ก็อาจอธิบายได้ดีขึ้นเมื่อใช้มิติควอนตัมมาอธิบายได้เหมือนกัน ในโลกควอนตัมอนุภาคสามารถย้อนเวลาไปในอดีตหรือเดินทางไปในอนาคตก็ได้ บางทีในสมองมนุษย์อาจมีอนุภาคที่เดินทางไปในอดีตหรืออนาคตแล้วนำข้อมูลกลับมาทำให้คนจำนวนมากมีประสบการณ์แบบระลึกชาติหรือการล่วงรู้อนาคต
มนุษย์อาจส่งข้อมูลการรับรู้ทุกอย่างหรือทางศาสนาเรียกว่ากรรมลงไปบันทึกในมิติของข้อมูล ซึ่งเราบางทีก็ลืมไปแล้ว แต่สามารถเรียกความทรงจำนั้นมาได้ด้วยการสะกดจิต เช่นตอนคลอดซึ่งเราไม่น่าจะจำได้เลย หรือบางคนที่มีประสบการณ์เฉียดตายและเห็นสิ่งต่างๆรอบตัวในขณะที่โคม่า ซึ่งหลายกรณีไม่น่าจะจดจำข้อมูลอะไรได้เลย
ในจักรวาลอาจมีมิติแห่งความรู้แจ้ง มนุษย์ที่สามารถควบคุมจิตให้มีคลื่นความถี่ไปอยู่ในระดับเดียวกับมิตินั้นก็อาจรู้แจ้งในปัญหาได้ อย่างที่อาร์คีมีดิสแช่อ่างเพลินๆไม่คิดอะไรก็แต่ยูเรก้าขึ้นมา
ในจักรวาลอาจมีมีติที่บันทึกและควบคุมกฎทางฟิสิกซ์ มนุษย์ที่มีสามารปรับบคลื่นความถี่ให้สอดคล้องกับมิตินั้น บางทีอาจไม่สามารถเปลี่ยนกฎแต่ก็อาจงอกฎหรือยกเว้นกฎนั้นชั่วคราว ทำให้แสดงปาฎิหาริย์ที่เหนือธรรมชาติตามปกติได้ แต่ไม่เหนือธรรมชาติในมิติที่ซ้อนทับอยู่
มันมีอะไรอีกเยอะที่ให้เราให้เรียนรู้ พวกนักวิทยาศาสตร์ตะวันตกเปิดกว้างเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ทุกอย่าง แต่นักวิทย์แบบไทยๆมักปิดกั้นโดยไม่คิดศึกษา