ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตดวงแรกใดเกิดแล้วในอุทรมารดา วิญญาณดวงแรกปรากฏแล้ว ...ฯลฯ/ถามว่า เหตุปัจจัยให้เกิดจิตดวงแรกคือ ?

[๑๔๑] ก็โดยสมัยนั้นแล
ท่านพระกุมารกัสสปมีอายุครบ ๒๐ ปีทั้งอยู่ในครรภ์ จึงได้อุปสมบท.
ต่อมาท่านได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า

บุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปี ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้

ก็เรามีอายุครบ ๒๐ ทั้งอยู่ในครรภ์ จึงได้อุปสมบท จะเป็นอันอุปสมบทหรือไม่หนอ.

ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.

พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
จิตดวงแรกใดเกิดแล้วในอุทรมารดา
วิญญาณดวงแรกปรากฏแล้ว
อาศัยจิตดวงแรก วิญญาณดวงแรกนั้นนั่นแหละเป็นความเกิดของสัตว์นั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้อุปสมบทกุลบุตรมีอายุครบ ๒๐ ปี ทั้งอยู่ในครรภ์.

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=4&A=3739&Z=3869





คำถาม : เหตุปัจจัยให้เกิดจิตดวงแรก วิญญาณดวงแรก คือ ?

อธิบายตามหลักเหตุปัจจัย เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 17
ปฏิสนธิวิญญาณ มีความเกี่ยวข้องอย่างไร กับ ปฐมจิต จิตดวงแรก วิญญาณดวงแรกหรือไม่ ?




ความคิดเห็นที่ 3

[๔๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะความประชุมพร้อมแห่งปัจจัย ๓ ประการ ความเกิดแห่งทารกก็มี
ในสัตว์โลกนี้ มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน แต่มารดายังไม่มีระดู
และทารกที่จะมาเกิดยังไม่ปรากฏ ความเกิดแห่งทารก ก็ยังไม่มีก่อน

ในสัตว์โลกนี้ มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน มารดามีระดู
แต่ทารกที่จะมาเกิดยังไม่ปรากฏ ความเกิดแห่งทารก ก็ยังไม่มีก่อน

ดูกรภิกษุทั้งหลายเมื่อใดมารดาบิดาอยู่ร่วมกันด้วย มารดามีระดูด้วย
ทารกที่จะมาเกิดก็ปรากฏด้วย
เพราะความประชุมพร้อมแห่งปัจจัย ๓ ประการอย่างนี้ ความเกิดแห่งทารกจึงมี

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=8041&Z=8506&pagebreak=0

พระเงื่อมแปลไว้ ดังนี้



อรรถกถา (บางส่วน)
อีกอย่างหนึ่ง อวิชชามีวัฏฏะเป็นมูล ความบังเกิดขึ้นแห่งพุทธะมีวิวัฏฏะเป็นมูล
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ทรงแสดงอวิชชาอันมีวัฏฏะเป็นมูล และพุทธุปบาทอันมีวิวัฏฏะเป็นมูล
แล้ว ทรงดำริว่า เราจักยังเทศนาให้ถึงที่สุดอีกครั้งเดียวด้วยสามารถแห่งวัฏฏะและวิวัฏฏะดังนี้ จึงเริ่มเทศนานี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สนฺนิปาตา ได้แก่ เพราะการประชุม คือว่าเพราะประมวลมา.
               บทว่า คพฺภสฺส ได้แก่ สัตว์ผู้เกิดขึ้นในครรภ์.
               บทว่า อวกฺกนฺติ โหติ ได้แก่ ความเกิดย่อมมี.
               จริงอยู่ ในที่บางแห่งท้องแห่งมารดาท่านเรียกว่า ครรภ์.
               เหมือนอย่างที่กล่าวไว้ว่า :-
                         ยเมกรตฺตึ ปฐมํ คพฺเภ วสติ มาณโว
                         อพฺภุฏฺฐิโตว สยติ ส คจฺฉํ น นิวตฺตติ.
               แปลว่า สัตว์อยู่ในท้องแม่ ตลอดราตรีหนึ่งก่อน เขาลุกขึ้นแล้วก็นอน เขาไปไม่กลับ.
               ในที่บางแห่ง ท่านเรียกสัตว์ผู้เกิดในครรภ์ว่า ครรภ์.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=440




ข้อความข้างบนนี้ (๔๕๒) เป็นพุทธพจน์ ปรากฎอยู่ในพระไตรปิฏก
อยู่ต่อจาก ข้อ ๔๔๔ ในความคิดเห็นที่ ๔ ของกระทู้นี้

น่าสนใจว่า

คพฺภสฺส ได้แก่ สัตว์ผู้เกิดขึ้นในครรภ์.
ทารกที่จะมาเกิดก็ปรากฏด้วย  

ใช่ , มีความหมายเดียวกันกับ ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิวิญญาณ , วิญญาณดวงแรกที่ปรากฎในอุทรมารดา(จิตดวงแรก) หรือไม่ ?

----------------
ทำไม จึงมี ข้อ ๔๕๒ อธิบายเหตุปัจจัยในการกำเนิดมนุษย์ ?

มหาตัณหาสังขยสูตรนี้   ภิกษุสาติ มีความเห็นผิดว่า วิญญาณแล่นไปเกิด !
ส่วนธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น เป็นไปตามเหตุปัจจัย




ดังที่ อรรถกถา อธิบายไว้ว่า ความเห็นของ ภิกษุสาตินั้น เป็นความเห็นผิด






ในกระทู้ก่อน http://ppantip.com/topic/35655469/comment95
ได้นำสูตร และ  อรรถกถา อัทธาสูตรมาแสดงไว้
ท่าน อรรถกถาจารย์ ท่านได้เขียนถึง จุติ รวมทั้งจุติและปฏิสนธิ !

.                          ปฏิสนธิ คือ ?

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 24
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓
ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค

มหาวรรค ญาณกถา
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=31&A=95&Z=3331


[๙๘] ในกรรมภพก่อน ความหลงเป็นอวิชชา กรรมที่ประมวลมาเป็น
สังขาร ความพอใจเป็นตัณหา ความเข้าถึงเป็นอุปาทาน ความคิดอ่านเป็นภพ
ธรรม ๕ ประการในกรรมภพก่อน เหล่านี้ เป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิในอุปปัตติภพนี้
ปฏิสนธิเป็นวิญญาณ ความก้าวลงเป็นนามรูป ประสาท (ภาวะที่ผ่องใสใจ) เป็น
อายตนะ ส่วนที่ถูกต้องเป็นผัสสะ ความเสวยอารมณ์เป็นเวทนาในอุปปัตติภพนี้
ธรรม ๕ ประการในอุปปัตติภพนี้เหล่านี้ เป็นปัจจัยแห่งกรรมที่ทำไว้ในปุเรภพ
ความหลงเป็นอวิชชา กรรมที่ประมวลมาเป็นสังขาร ความพอใจเป็นตัณหา
ความเข้าถึงเป็นอุปาทาน ความคิดอ่านเป็นภพ (ย่อมมี) เพราะอายตนะทั้งหลาย
ในภพนี้สุดรอบ ธรรม ๕ ประการในกรรมภพนี้เหล่านี้ เป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิ
ในอนาคต ปฏิสนธิในอนาคตเป็นวิญญาณ ความก้าวลงเป็นนามรูป ประสาทเป็น
อายตนะ ส่วนที่ถูกต้องเป็นผัสสะ ความเสวยอารมณ์เป็นเวทนา ธรรม ๕ ประ-
*การในอุปปัตติภพในอนาคตเหล่านี้ เป็นปัจจัยแห่งกรรมที่ทำไว้ในภพนี้ พระ-
*โยคาวจร ย่อมรู้ ย่อมเห็น ย่อมทราบชัด ย่อมแทงตลอด ซึ่งปฏิจจสมุปบาท
มีสังเขป ๔ กาล ๓ ปฏิสนธิ ๓ เหล่านี้ โดยอาการ ๒๐ ด้วยประการดังนี้
ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด
เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการกำหนดปัจจัย เป็นธรรมฐิติญาณ ฯ
-------------------------------------------------------------------------

ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31&i=1

------------------------------------------------------------

ศึกษา อาการ ๒๐ ในปฏิจจสมุปบาทธรรมเพิ่มเติมได้ที่

พระอภิธัมมัตถสังคหะ

ปฏิจจสมุปปาทธรรม นัยที่ ๓ วีสตาการา (อาการ ๒๐)
http://abhidhamonline.org/aphi/p8/051.htm

อาการ ๒๐ แห่งปฏิจจสมุปปาท คือ อดีตเหตุ ๕, ปัจจุบันผล ๕, ปัจจุบัน เหตุ ๕ และอนาคตผล ๕

มีความหมายว่า อาการ ๒๐ นั้นได้แก่ สภาพความเป็นไปของปฏิจจสมุปปาท นั่นเอง จึงจำแนกไปตามเหตุตามผลแห่งกาลทั้ง ๓ จึงจัดได้เป็น ๔ พวก ๆ ละ ๕ รวมเป็นอาการ  ๒๐ คือ

๑. อดีตเหตุ ๕ ได้แก่ อวิชชา สังขาร ตัณหา อุปาทาน และภพ ธรรม ๕ ประการนี้ เป็นปัจจัยให้ปรากฏปัจจุบันผล ๕

๒. ปัจจุบันผล ๕ ได้แก่ วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ และเวทนา

๓. ปัจจุบันเหตุ ๕ ได้แก่ ตัณหา อุปาทาน ภพ อวิชชา และสังขาร ธรรม ๕ ประการนี้เป็นปัจจัยให้ปรากฏอนาคตผล ๕

๔. อนาคตผล ๕ ได้แก่ วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ และเวทนา


-----------------------------------------------------------------
การแสดงธรรมจากท่านอาจารย์

http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=8821

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++ๅ

ในหนังสือ   พุทธธรรม(ฉบับเดิม)  ของท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)  หน้า ๑๐๗ ได้อธิบาย วิญญาณ ๖  ในปฏิจจสมุปบาทไว้ดังนี้

              วิญญาณ ๖  กระจายออก = โลกียวิญญาณ  ๓๒  (วิญญาณ  ๕  ฝ่ายกุศลวิบาก และ อกุศลวิบาก =๑๐ + มโนวิญญาณ  ๒๒)      หรือ    เป็นไปในปวัตติกาล  (ระยะระหว่าง ปฏิสนธิ  ถึง จุติ)  กับวิญญาณ  ๑๙  ที่เหลือ  เป็นไปทั้งในปวัตติกาล  (ภายหลังการเกิด) และ ปฏิสนธิกาล
----------------------------------------------


ใครที่ชอบอ้างวิญญาณ ๖ แล้วปฏิเสธ วิญญาณที่เป็นไปขณะ ปฏิสนธิ พิจารณาดูให้ดีครับ

ระวังเป็นแบบเดียรถีย์
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=chalermsakm&month=11-2010&date=21&group=1&gblog=3
ความคิดเห็นที่ 23
พระพุทธองค์ตรัสไว้ดีแล้ว
(แต่ผู้เก้อยากทาสของพระเทวทัตบางคนฟังไม่ได้ศัพท์ชอบทะลึ่งอวดฉลาด)

๙. ทัณฑสูตร
[๔๓๘] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้
เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ฯลฯ
[๔๓๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท่อนไม้ที่บุคคลโยนขึ้นบนอากาศ บางคราวก็ตกลงทางโคน บางคราวก็ตกลงทางขวาง บางคราวก็ตกลงทางปลาย แม้ฉันใด สัตว์ทั้งหลายผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ก็ฉันนั้นแล บางคราวก็จากโลกนี้ไปสู่ปรโลก บางคราวก็จากปรโลกมาสู่โลกนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๙

๔ มาตุสูตร
[๔๕๐] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ฯลฯ สัตว์ที่ไม่เคยเป็นมารดาโดยกาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่ายเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๔

[สูตรทั้งปวงก็มีเปยยาลอย่างเดียวกันนี้]
๕ ปิตุสูตร
[๔๕๑] สัตว์ที่ไม่เคยเป็นบิดาโดยกาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่ายเลย ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๕

๖ ภาตุสูตร
[๔๕๒] สัตว์ที่ไม่เคยเป็นพี่ชายน้องชายโดยกาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่ายเลย ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๖

๗ ภคินีสูตร
[๔๕๓] สัตว์ที่ไม่เคยเป็นพี่หญิงน้องหญิงโดยกาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่ายเลย ดังนี้ฯ
จบสูตรที่ ๗

๘ ปุตตสูตร
[๔๕๔] สัตว์ที่ไม่เคยเป็นบุตรโดยกาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่ายเลย ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๘
ความคิดเห็นที่ 20
ใครที่คิดว่ามะม่วงจะโตได้มีปัจจัยแค่ เมล็ดมะม่วงก็พอ คง"ด้อย" น่าดู
เพราะต้องมีดิน มีน้ำ มีอากาศ มีธาตุอาหาร มีอุณหภูมิพอเหมาะ etcเป็นปัจจัยด้วย
พระศาสดาท่านถึงสอน ปัจจัย 24 ไว้ในพระอภิธรรม (อ้อ ไม่เอาอภิธรรมนี่นา)
วิญญาณ ก็มีปัจจัยอื่นๆเช่นกัน


พวกท่าน จะบอกว่า ปฏิสนธิจิต ก็คิอ ปฐมจิต ปฐมวิญญาณ ตามคำจากพระสูตรไหมหละ ?
เพราะถ้าจะเอาอย่างนั้น พระพุทธเจ้า ก็ตรัสอธิบายเอาไว้แล้วครับ ว่าอะไร เป็นปัจจัยแก่ วิญญาณ
ซึ่งแน่นอนว่า อยู่ในชาตินี้แหละ ไม่ต้องไปสืบหาจากชาติก่อน หรอกครับ
คำถาม ก็คือ จะเอาไหมครับ พุทธพจน์จากพระสูตรน่ะ ?


เอาสิ แล้วสุมาอี้ล่ะ เอาไหม
แกล่งไม่ยกมาหรือไม่เห็นน้อ





แม้แตพระสูตรเดียวกันที่สุมาอี้ยกมา พระศาสดาก็แสดงชัดว่า วิญญาณไม่ได้มีปัจจัยแค่ธัมมารมณ์เท่านั้น
แต่ถึงที่สุดแล้ว วิญญาณย่อมมีสังขารเป็นเหตุ เป็นสมุทัย สังขารย่อมมีอวิชชาเป็นเหตุ เป็นสมุทัย

. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณนี้ มีอะไร
เป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นชาติ มีอะไรเป็นแดนเกิด? วิญญาณ มีสังขารเป็น
เหตุ มีสังขารเป็นสมุทัย มีสังขารเป็นชาติ มีสังขารเป็นแดนเกิด. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สังขาร
ทั้งหลายนี้ มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นชาติ มีอะไรเป็นแดนเกิด? สังขาร
ทั้งหลาย มีอวิชชาเป็นเหตุ มีอวิชชาเป็นสมุทัย มีอวิชชาเป็นชาติ มีอวิชชาเป็นแดนเกิด.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมี เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย วิญญาณมี เพราะสังขารเป็นปัจจัย
นามรูปมี เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย สฬายตนะมี เพราะนามรูปเป็นปัจจัย ผัสสะมี เพราะ
สฬายตนะเป็นปัจจัย เวทนามี เพราะผัสสะเป็นปัจจัย ตัณหามี เพราะเวทนาเป็นปัจจัย
อุปาทานมี เพราะตัณหาเป็นปัจจัย ภพมี เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ชาติมี เพราะภพเป็นปัจจัย
ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสมี เพราะชาติเป็นปัจจัย ด้วยประการ
ฉะนี้แล ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้อย่างนี้.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่