หลายครั้งที่เราได้มักจะได้ยินประโยค ประโยคหนึ่งจากใครหลายๆคนว่า “สิ่งสำคัญของการเดินทางไม่ได้อยู่ที่ปลายทาง แต่อยู่ที่ความสวยงามระหว่างการเดินทาง” แต่นั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่า สุดท้ายแล้วเราทุกคนก็ต้องการไปให้ถึงปลายทางกันทุกคน แต่สำหรับ Rachel (รับบทโดย Emily Blunt) ใน The girl on the train แล้วกลับแตกต่างไปจากความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง
จุดเริ่มต้นของการเดินทางสำหรับ Rachel ใน The girl on the train นั้นถูกสื่อสารออกมาผ่านคำพูดและการแสดงของ Emily Blunt ได้อย่างชัดเจนแต่ซ่อนบางอย่างเอาไว้ภายใต้ดวงตาที่แสนหมองหม่นของเธอ สิ่งที่เราจะได้เห็นคือหญิงสาวผู้โดดเดี่ยวที่กำลังซ่อนปมบางอย่าง ซึ่งกำลังโดยสารรถไฟระหว่างที่พักและมหานครนิวยอร์กเพื่อไปทำบางสิ่งบางอย่าง ในเส้นทางเดิมเป็นประจำทุกวัน แต่ดูเหมือนว่าสำหรับเธอแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทางกลับมีความสำคัญกับเธอมากกว่าปลายทางที่เธอจะไป จนบางครั้งขณะรับชม เราอาจหลงคิดได้ว่าเธอต้องการไปให้ถึงปลายทางจริงๆ หรือแค่ใช้มันเป็นข้ออ้างเพียงเพื่อที่เธอจะได้ผ่านมาในเส้นทางนี้
การเดินทางในแต่ละวันของ Rachel ได้คลี่คลายปมภายในจิตใจของเธอ ผ่าน 2 ครอบครัวที่พักอาศัยอยู่ในแนวเดียวกับเส้นทางรถไฟที่เธอโดยสาร ครอบครัวแรกได้สะท้อนความหลงใหลและความใฝ่ฝันของเธอ ในทางกลับกันครอบครัวที่สองกลับสะท้อนความเจ็บปวดในอดีตของเธอซึ่งเราไม่อาจจะรับรู้เรื่องราวได้เลยทั้งหมดในขณะที่รับชม เนื้อเรื่องค่อยๆดำเนินสลับระหว่างปมภายในจิตใจของ Rachel และเรื่องราวสองครอบครัวอย่างช้าๆ เพื่อให้เราทำความรู้จักกับตัว Rachel และสองครอบครัวได้อย่างชัดเจนมากขึ้นและในขณะเดียวกัน ปมใหม่ที่เกิดขึ้นในระหว่างการทำความรู้จักกับตัวละครทุกตัวก็ได้ก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ อย่างหนักแน่นและมีเหตุผล
หลังจากเราได้ทำความรู้จักกับตัวละครในระดับที่สามารถคาดเดาขอบเขตสิ่งที่ตัวละครนั้นจะทำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การเล่าเรื่องจะเข้าสู่เหตุการณ์สำคัญของเรื่องที่จะคลี่คลายปมบางอย่างและสร้างปมใหม่ไปพร้อมๆกัน จุดนี้เองที่ทำตัวหนังเองที่มีความน่าสนใจ และตลอดการเล่าเรื่องหลังจากเหตุการณ์นั้น จะค่อยๆพาผู้ชมไปสู่ปลายทางเปรียบเสมือนการเดินทางของรถไฟขบวนหนึ่งคือ ดำเนินเรื่องโดยให้ข้อมูลต่างๆกับเราระหว่างทางและหยุดพักที่สถานีให้เราได้มีเวลาคิด ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจากข้อมูลที่เราเก็บมา และปลายทางที่รอเราอยู่ก็ทำให้เรารู้ว่าจุดหมายของ Rachel ไม่ใช่ปลายทางที่เธอกำลังจะไป
สิ่งที่น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวของการเดินทางเที่ยวนี้คือ ให้ความรู้สึกที่ราบเรียบจนคลายกับเรากำลังอ่านหนังสือเล่มนึงอยู่ และคาดเดาได้ง่ายจนเกินไป แม้ข้อมูลที่เราได้จากการเล่าเรื่องจะไม่ได้ชี้ชัดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่องค์ประกอบอื่นๆกลับทำให้เราสามารถคาดเดาถึงปลายทางได้อย่างง่ายดายจนรู้สึกเสียดายในปมต่างๆที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างน่าสนใจในตอนต้น
สุดท้ายนี้แม้การเดินทางเที่ยวนี้จะราบเรียบแต่ก็แฝงไว้ด้วยปมต่างๆที่น่าติดตาม ซึ่งตัวละครทุกตัวได้ถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าดูชม และไม่ว่าคุณจะเคยอ่าน The girl on the train มาก่อนหรือไม่ แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับวันหยุดสุดสัปดาห์ที่จะเปิดให้โอกาสให้คุณหาคำตอบว่าจุดหมายของคุณจริงๆ ใช่ปลายทางที่คุณกำลังจะไปหรือไม่?
[SR] The girl on the train - เมื่อจุดหมายของคุณไม่ใช่ปลายทางอีกต่อไป
หลายครั้งที่เราได้มักจะได้ยินประโยค ประโยคหนึ่งจากใครหลายๆคนว่า “สิ่งสำคัญของการเดินทางไม่ได้อยู่ที่ปลายทาง แต่อยู่ที่ความสวยงามระหว่างการเดินทาง” แต่นั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่า สุดท้ายแล้วเราทุกคนก็ต้องการไปให้ถึงปลายทางกันทุกคน แต่สำหรับ Rachel (รับบทโดย Emily Blunt) ใน The girl on the train แล้วกลับแตกต่างไปจากความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง
จุดเริ่มต้นของการเดินทางสำหรับ Rachel ใน The girl on the train นั้นถูกสื่อสารออกมาผ่านคำพูดและการแสดงของ Emily Blunt ได้อย่างชัดเจนแต่ซ่อนบางอย่างเอาไว้ภายใต้ดวงตาที่แสนหมองหม่นของเธอ สิ่งที่เราจะได้เห็นคือหญิงสาวผู้โดดเดี่ยวที่กำลังซ่อนปมบางอย่าง ซึ่งกำลังโดยสารรถไฟระหว่างที่พักและมหานครนิวยอร์กเพื่อไปทำบางสิ่งบางอย่าง ในเส้นทางเดิมเป็นประจำทุกวัน แต่ดูเหมือนว่าสำหรับเธอแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทางกลับมีความสำคัญกับเธอมากกว่าปลายทางที่เธอจะไป จนบางครั้งขณะรับชม เราอาจหลงคิดได้ว่าเธอต้องการไปให้ถึงปลายทางจริงๆ หรือแค่ใช้มันเป็นข้ออ้างเพียงเพื่อที่เธอจะได้ผ่านมาในเส้นทางนี้
การเดินทางในแต่ละวันของ Rachel ได้คลี่คลายปมภายในจิตใจของเธอ ผ่าน 2 ครอบครัวที่พักอาศัยอยู่ในแนวเดียวกับเส้นทางรถไฟที่เธอโดยสาร ครอบครัวแรกได้สะท้อนความหลงใหลและความใฝ่ฝันของเธอ ในทางกลับกันครอบครัวที่สองกลับสะท้อนความเจ็บปวดในอดีตของเธอซึ่งเราไม่อาจจะรับรู้เรื่องราวได้เลยทั้งหมดในขณะที่รับชม เนื้อเรื่องค่อยๆดำเนินสลับระหว่างปมภายในจิตใจของ Rachel และเรื่องราวสองครอบครัวอย่างช้าๆ เพื่อให้เราทำความรู้จักกับตัว Rachel และสองครอบครัวได้อย่างชัดเจนมากขึ้นและในขณะเดียวกัน ปมใหม่ที่เกิดขึ้นในระหว่างการทำความรู้จักกับตัวละครทุกตัวก็ได้ก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ อย่างหนักแน่นและมีเหตุผล
หลังจากเราได้ทำความรู้จักกับตัวละครในระดับที่สามารถคาดเดาขอบเขตสิ่งที่ตัวละครนั้นจะทำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การเล่าเรื่องจะเข้าสู่เหตุการณ์สำคัญของเรื่องที่จะคลี่คลายปมบางอย่างและสร้างปมใหม่ไปพร้อมๆกัน จุดนี้เองที่ทำตัวหนังเองที่มีความน่าสนใจ และตลอดการเล่าเรื่องหลังจากเหตุการณ์นั้น จะค่อยๆพาผู้ชมไปสู่ปลายทางเปรียบเสมือนการเดินทางของรถไฟขบวนหนึ่งคือ ดำเนินเรื่องโดยให้ข้อมูลต่างๆกับเราระหว่างทางและหยุดพักที่สถานีให้เราได้มีเวลาคิด ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจากข้อมูลที่เราเก็บมา และปลายทางที่รอเราอยู่ก็ทำให้เรารู้ว่าจุดหมายของ Rachel ไม่ใช่ปลายทางที่เธอกำลังจะไป
สิ่งที่น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวของการเดินทางเที่ยวนี้คือ ให้ความรู้สึกที่ราบเรียบจนคลายกับเรากำลังอ่านหนังสือเล่มนึงอยู่ และคาดเดาได้ง่ายจนเกินไป แม้ข้อมูลที่เราได้จากการเล่าเรื่องจะไม่ได้ชี้ชัดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่องค์ประกอบอื่นๆกลับทำให้เราสามารถคาดเดาถึงปลายทางได้อย่างง่ายดายจนรู้สึกเสียดายในปมต่างๆที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างน่าสนใจในตอนต้น
สุดท้ายนี้แม้การเดินทางเที่ยวนี้จะราบเรียบแต่ก็แฝงไว้ด้วยปมต่างๆที่น่าติดตาม ซึ่งตัวละครทุกตัวได้ถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าดูชม และไม่ว่าคุณจะเคยอ่าน The girl on the train มาก่อนหรือไม่ แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับวันหยุดสุดสัปดาห์ที่จะเปิดให้โอกาสให้คุณหาคำตอบว่าจุดหมายของคุณจริงๆ ใช่ปลายทางที่คุณกำลังจะไปหรือไม่?