The Girl on the Train (Tate Taylor, 2016) คะแนน C+
#ไม่สปอย
By Form Corleone
" วินาทีแห่งการสับหลอก " บริบทของ ' The Girl on the Train ' ไม่ต่างอะไรกับการนั่งดู ' Gone Girl ' ของ 'David Fincher' แต่ชั้นเชิงการเล่าเรื่องหรือจุดพลิกผันของเรื่องนั้นห่างไกลเทียบกันไม่ติด หรือจริงๆอาจจะไม่ควรเปรียบเทียบกับ ' Gone Girl ' คงอาจจะได้อารมณ์ความรู้สึกที่โอเคอยู่ แม้หนังจะไร้พลังที่จะทำให้เราตกตะลึงกับการเฉลยปมปัญหาก็ตาม เสียดายที่หนังทำได้ไม่ถึงในการกระซากให้เรารู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดูแล้วเป็นการยัดเยียดข้อมูลที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผลด้วยซ้ำไป สำหรับเราเลยกลายเป็นความน่าเบื่อนิดๆตลอดการดูแม้หนังจะจบลงแล้ว ประเด็นปัญหาของความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละตัวก็ยังดูเบาและไม่น่าจดจำหรือให้ข้อคิดสำหรับการใช้ชีวิตคู่ได้มากขนาดนั้น ถึงอย่างไรก็ตามแม้การคลายปมและสเต็ปการเล่าเรื่องจะดูน่าผิดหวัง แต่การสับหลอกของหนังก็ทำได้ดีจนหลงทางเหมือนกัน การแสดงของ ' Emily Blunt ' ช่วยยกให้หนังเรื่องนี้มีสีสันมาก เข้าถึงบทจนเราเชื่อว่าเธอเป็นแบบนั้นจริงๆ และก็รู้สึกน่ารำคาญจริงๆ รวมถึง ' Haley Bennett ' และ 'Rebecca Ferguson' ก็อยู่ในขั้นได้มาตรฐานเลยทีเดียว ถ้าจะหาอะไรที่ช่วยให้จดจำ 'The Girl on the Train' คงเป็นการนั่งดูวิธีแสดงของสามสาวที่ดีมาก โดยที่เราไม่อินกับเนื้อเรื่องอะไรเลย การเปลี่ยนมาทำหนังแนวนี้ของ 'Tate Taylor' อาจจะต้องลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ แต่ภาพรวมก็ดูเพลินๆสนุกๆ ได้ไม่ยาก
'ไทม์ไลน์' ยังคงเป็นวิธีในการสับหลอกคนดูได้อย่างแยบยล แม้ตัวหนังจะมีจุดที่เราไม่ชอบเยอะมาก แต่การสับหลอกโดยใช้เหตุการณ์มาหลอกล่อคนดูถือว่าหนังประสบความสำเร็จมากเลยทีเดียว การลากเส้นรอยต่อของหนังมาบรรจบกันถูกสับรางหลายรอบ นี้คือจุดที่ทำให้ 'The Girl on the Train' คือหนังหักมุมที่วางไทม์ไลน์ได้ดีมากๆเรื่องหนึ่ง แต่อย่างที่บอกไปว่าการคลายปมนั้นไม่ได้มีพลังเลยแม้แต่น้อย เหมือนนั่งรถไฟแล้วโดนสับรางไปมา แล้วก็มาถึงปลายทางแบบ อ้าวถึงแล้ว!! อาจด้วยข้อจำกัดของเวลาทำให้การนั่งรถไปขบวนนี้มาถึงเร็วจนน่าตกใจและไม่ทันรู้สึกได้ตกใจ ในส่วนของ 'แฟลชแบ็ค' การลำลึกความหลังที่เป็นแนวเฉพาะที่ต้องมีสำหรับหนังประเภทนี้ สำหรับเราการเล่น 'แฟลชแบ็ค' ของหนังเรื่องนี้ไม่ต่างอะไรกับการถูกยัดเยียด และไม่ได้ให้ความตื่นเต้นอะไรเลย
สุดท้าย 'The Girl on the Train' คือหนังสนุกๆเรื่องหนึ่งที่ไม่ได้ทำให้เราจดจำนอกไปจากการแสดงของ 'Emily Blunt' ความสนุกทั้งหมดของหนังคือการโดนสับหลอก ปริศนาต่างๆ บุคลิกของนักแสดง โดยส่วนตัวยังคงเสียดายมากๆ และคิดว่าหนังควรจะไปได้ไกลมากกว่านี้แท้ๆจากการนั่งดูตัวอย่างด้วยทรัพยากรของเนื้อหาที่มีนั้นสามารถทำให้คนดูตลึงได้ไม่น้อยเลย
ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ
ฝากกด like page ด้วยนะครับ
Page:
https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog:
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
Review: The Girl on the Train (Tate Taylor, 2016) เขียนโดย Form Corleone
#ไม่สปอย
By Form Corleone
" วินาทีแห่งการสับหลอก " บริบทของ ' The Girl on the Train ' ไม่ต่างอะไรกับการนั่งดู ' Gone Girl ' ของ 'David Fincher' แต่ชั้นเชิงการเล่าเรื่องหรือจุดพลิกผันของเรื่องนั้นห่างไกลเทียบกันไม่ติด หรือจริงๆอาจจะไม่ควรเปรียบเทียบกับ ' Gone Girl ' คงอาจจะได้อารมณ์ความรู้สึกที่โอเคอยู่ แม้หนังจะไร้พลังที่จะทำให้เราตกตะลึงกับการเฉลยปมปัญหาก็ตาม เสียดายที่หนังทำได้ไม่ถึงในการกระซากให้เรารู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดูแล้วเป็นการยัดเยียดข้อมูลที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผลด้วยซ้ำไป สำหรับเราเลยกลายเป็นความน่าเบื่อนิดๆตลอดการดูแม้หนังจะจบลงแล้ว ประเด็นปัญหาของความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละตัวก็ยังดูเบาและไม่น่าจดจำหรือให้ข้อคิดสำหรับการใช้ชีวิตคู่ได้มากขนาดนั้น ถึงอย่างไรก็ตามแม้การคลายปมและสเต็ปการเล่าเรื่องจะดูน่าผิดหวัง แต่การสับหลอกของหนังก็ทำได้ดีจนหลงทางเหมือนกัน การแสดงของ ' Emily Blunt ' ช่วยยกให้หนังเรื่องนี้มีสีสันมาก เข้าถึงบทจนเราเชื่อว่าเธอเป็นแบบนั้นจริงๆ และก็รู้สึกน่ารำคาญจริงๆ รวมถึง ' Haley Bennett ' และ 'Rebecca Ferguson' ก็อยู่ในขั้นได้มาตรฐานเลยทีเดียว ถ้าจะหาอะไรที่ช่วยให้จดจำ 'The Girl on the Train' คงเป็นการนั่งดูวิธีแสดงของสามสาวที่ดีมาก โดยที่เราไม่อินกับเนื้อเรื่องอะไรเลย การเปลี่ยนมาทำหนังแนวนี้ของ 'Tate Taylor' อาจจะต้องลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ แต่ภาพรวมก็ดูเพลินๆสนุกๆ ได้ไม่ยาก
'ไทม์ไลน์' ยังคงเป็นวิธีในการสับหลอกคนดูได้อย่างแยบยล แม้ตัวหนังจะมีจุดที่เราไม่ชอบเยอะมาก แต่การสับหลอกโดยใช้เหตุการณ์มาหลอกล่อคนดูถือว่าหนังประสบความสำเร็จมากเลยทีเดียว การลากเส้นรอยต่อของหนังมาบรรจบกันถูกสับรางหลายรอบ นี้คือจุดที่ทำให้ 'The Girl on the Train' คือหนังหักมุมที่วางไทม์ไลน์ได้ดีมากๆเรื่องหนึ่ง แต่อย่างที่บอกไปว่าการคลายปมนั้นไม่ได้มีพลังเลยแม้แต่น้อย เหมือนนั่งรถไฟแล้วโดนสับรางไปมา แล้วก็มาถึงปลายทางแบบ อ้าวถึงแล้ว!! อาจด้วยข้อจำกัดของเวลาทำให้การนั่งรถไปขบวนนี้มาถึงเร็วจนน่าตกใจและไม่ทันรู้สึกได้ตกใจ ในส่วนของ 'แฟลชแบ็ค' การลำลึกความหลังที่เป็นแนวเฉพาะที่ต้องมีสำหรับหนังประเภทนี้ สำหรับเราการเล่น 'แฟลชแบ็ค' ของหนังเรื่องนี้ไม่ต่างอะไรกับการถูกยัดเยียด และไม่ได้ให้ความตื่นเต้นอะไรเลย
สุดท้าย 'The Girl on the Train' คือหนังสนุกๆเรื่องหนึ่งที่ไม่ได้ทำให้เราจดจำนอกไปจากการแสดงของ 'Emily Blunt' ความสนุกทั้งหมดของหนังคือการโดนสับหลอก ปริศนาต่างๆ บุคลิกของนักแสดง โดยส่วนตัวยังคงเสียดายมากๆ และคิดว่าหนังควรจะไปได้ไกลมากกว่านี้แท้ๆจากการนั่งดูตัวอย่างด้วยทรัพยากรของเนื้อหาที่มีนั้นสามารถทำให้คนดูตลึงได้ไม่น้อยเลย
ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ
ฝากกด like page ด้วยนะครับ
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/