วิ่งเพื่ออะไร : วิ่งเปลี่ยนชีวิต วิ่งเปลี่ยนความคิด
ตั้งแต่ผมจำความได้ ( ปัจจุบัน ผมอายุ 58 ปี) ผมเห็นพ่อผมวิ่งออกกำลังกายทุกวัน ไม่ว่าจะที่ วงเวียนใหญ่ หรือ สวนลุมพินี ไม่มีวันไหนหยุดวิ่ง เว้นแต่ฝนจะตกหนักจริงๆ แม้กระทั่งวาระสุดท้ายก่อนเสียชีวิต ท่านก็ยังคะยั้นคะยอให้ไปส่งวิ่งให้ได้ ผมไม่เข้าใจว่ามันจะดีอะไรปานนั้น รู้แค่ว่าการออกำลังกายมันช่วยให้เรามีสุขภาพดีก็เท่านั้น ผมจึงออกกกำลังแบบไม่ได้มีวินัยมากนัก และตามกระแสสังคม โดยเลือกการตีกอล์ฟ ซึ่งใช้เวลามากในหนึ่งวัน และเป็นกลุ่มในสังคมธุรกิจมากกว่า
แล้ววันที่ 15 เมษษยน 2558 ผมก็ตัดสินใจเปลี่ยนมาเป็นวิ่งแทน หลังจากผลตรวจร่างกายมันบ่งบอกว่า ผมมีค่า Triglyceride และ Cholesterol สูงกว่าปกติเท่าตัว ต้องทานยาจึงจะลดได้ ผมจึงตัดสินใจว่าผมขอเลือกการออกกำลังกายดูก่อนว่าลดได้หรือไม่ เพราะทราบว่าการทานยาเหล่านั้นในระยะยาว มันมีผลต่อกระดูกในวัยอย่างเราค่อนข้างมาก วันแรกที่จะวิ่งคือวิ่งในหมู่บ้าน ชุดวิ่งก็ไม่มี รองเท้าพอใช้วิ่งได้ จึงใช้ชุดที่ตีกอล์ฟสวมใส่วิ่ง วิ่งไปนับก้าวที่วิ่งไป นับได้แค่ 200 ก้าว มันเหนื่อยมาก ต้องหยุดพัก แล้วเดิน แล้วก็วิ่งต่อ สรุปวันนั้นวิ่งได้ประมาณ 700 ก้าว เท่านั้น แต่ผมค่อยๆเพิ่มระยะจาก 700 เป็น 800 900 เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยสลับกับการเดินเป็นระยะ สุดท้ายภายใน 1 เดือน ผมวิ่ง มาเป็นระยะ 1200 ก้าว วิ่งทุกวัน พักวันเสาร์วันเดียว วิ่งในหมู่บ้านบ้าง แถวสำนักงานใหญ่ที่ทำงานบ้าง ซึ่งบรรยากาศร่มรื่นและน่าวิ่งกว่ามาก ผมเริ่มเสพความสุขและสนุกกับการวิ่ง เลยลองเริ่มไปวิ่งแข่งการกุศลกับเขาบ้าง เขินมากครับในการไปร่วมครั้งแรก ไม่รู้จักใครเลย แต่ละคนใส่เสื้อผ้าที่ดูดี ทักทายปราศรัยกัน ไม่ว่า หนุ่ม สาว คนแก่หรือแม้แต่เด็กๆ แต่ไม่เป็นไรผมอยากลองดูสิว่าผมวิ่งไหวไหม ปกติผมซ้อมวิ่งอยู่ที่ประมาณ 30 นาที ได้ระยะประมาณ 3 กิโลเมตร แต่งานแรกที่ไปร่วมคือ งาน Run For Nepal เพื่อช่วยผู้ประสบภัยชาวเนปาล ระยะประมาณ 5 กิโลเมตร เหนื่อมากครับ เพราะมันเกินระยะที่เคยซ้อมมาเท่าตัวเลย ผมได้เห็นบรรายายกาศคนมาร่วมงานกว่า 6000 คน ผมจึงเริ่มหางานวิ่งที่อื่นโดยตั้งเป้าหมายว่า วิ่งแข่งเดือนละครั้ง วิ่งประจำ 5 ครั้งต่อสัปดาห์ ไม่เว้นแม้แต่ไปทำงานต่างประเทศ ผมก็จะวิ่งทุกที่ เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ และเยอรมัน วิ่งไป คนก็มองไปว่าเราทำอะไรแต่เช้า แต่ถ้าอยู่ในเมืองไทยจะวิ่งตอนเย็นหลังเลิกงานหรือกลับไปที่บ้าน จนหลายคนทักว่า ผมมีวินัยในการวิ่งอย่างมาก ซึ่งผมเองไม่เคยนึกว่า จะทำได้ขนาดนี้
ทุกวันนี้ผมวิ่งได้ประมาณ 5 กิโลเมตร โดยไม่หยุดวิ่ง คือวิ่งตลอดไม่มีพัก แต่เวลาไปแข่งจะมีทั้งระยะ 5 กิโลเมตร 10 กิโลเมตร แล้วแต่ว่าจะลง โดยตั้งเป้าหมายลงแข่งเดือนละ 2 ครั้ง เปลี่ยนบรรยากาศการวิ่งไปเรื่อย เช่น Central World รอบๆประตูน้ำ , สวนหลวง ร.9 , สะพานพระราม 8 , สะพานพระราม 4 ,ศูนย์ประชุมสิริกิตต์ ,รอบถนนพญาไท ถนนราชดำริ ,ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ ,และสวนลุมพินี เป็นต้น การวิ่งในช่วงต้น ผมยังคงวิ่งคนเดียว พบเจอเพื่อนๆน้องๆที่ทำงานไปวิ่งบ้าง ด้วยความที่เราเป็นน้องใหม่ในวงการ กลัวว่าวิ่งสู้เขาไม่ได้ วิ่งเสร็จก็กลับบ้านเลย จนครั้งหนึ่งเมื่อเดือนกันยายนไปวิ่งที่ Central World ได้พบกลุ่มน้องโรงเรียนเก่า รวมตัวกันวิ่ง จึงเข้าไปทัก และน้องๆชวนเข้ากลุ่มโดยที่ผมมีอายุมากที่สุดในกลุ่ม และที่อายุน้อยที่สุดยังเป็นน้องนักเรียน ม . 5 อยู่เลย เรารวมตัวกันได้ 160 คน จากทุกรุ่น และเปิดกลุ่มเล่น Line เพื่อแจ้งข่าวสารด้านการวิ่ง การแนะนำการวิ่งที่ถูกต้อง ทุกวันนี้ผมเลยต้องตามน้องๆว่าจะไปวิ่งที่ไหนกันบ้าง จะได้ตามไป เพราะมันเป็นกลุ่มที่มาจากหลากหลายอาชีพ สาขา ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงใดๆเลย แถมได้สร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนเก่าของเราอีก เพราะเป็นกลุ่มชายล้วน มีเสื้อกลุ่มของตัวเอง แม้ส่วนใหญ่จะอายุในช่วง 30-40 รูปร่างจึงดูดี ขอประชาสัมพันธ์กลุ่มนี้สักหน่อยว่า ชื่อ DSA Running Gang พบเจอที่ไหนไปร่วมถ่ายรูปได้ครับ ว่า ผมแนะนำมา มาถึงจุดนี้ผมมีกลุ่มวิ่งที่ผมนึกไม่ถึงในระยะเวลาแค่ 6 เดือน มีงานวิ่งแทบจะทุกอาทิตย์ จนสลับงานวิ่งไม่ถูกว่าจะไปวิ่งที่ไหนดี และถูกท้าทายว่าต้องวิ่ง Half และ Full Marathon คือระยะ 21 และ 42 กิโลเมตร ได้แล้ว แต่สำหรับผมแค่นี้มันมาไกลกว่าที่ตั้งใจแต่แรก แล้วมันเปลี่ยนอะไรผมอีกหรือครับ
ประการแรกเลย มันทำให้สุขภาพผมดีขึ้นจริงโดยที่การมีวินัยวิ่งนี่แหละ Triglyceride และ Cholesterol ลดลงมาเท่ากับค่าปกติ ในเวลา 2 เดือน และผมเชื่อว่าตอนนี้มันต้องดูดีขึ้นแน่ๆ กล้ามเนื้อขาผมแข็งแรงขึ้น ไม่เป็นหวัดเลยนับแต่นั้นมา สุขภาพจิตดีขึ้นทันตาเห็น มีเพื่อนมากมายเพิ่มขึ้นทุกอายุ มีความใส่ใจและเอาใจใส่กับผู้ด้อยโอกาส ความเครียดหายไปจากเดิมมาก มันเหมือนเราได้หลั่งสาร Serotonin และ Dopamine ออกมาให้สดชื่นแจ่มใส นอนหลับสบายทันทีที่ถึงเตียงนอน ความมีสติในการดำรงชีพเพิ่มมากขึ้น ไม่ได้รู้สึกอิจฉาริษยา หรืออยากกลั่นแกล้งใคร ทั้งหมดอยากให้ความเมตตาต่อทุกคนเท่าที่ทำได้ ทุกอย่างมาจากใจจริงที่ไม่ได้เสแสร้ง มันมีผลต่อการตัดสินใจว่าทำทุกอย่างโดยมีหลักการ เพื่อผู้บริโภค หรือ ลูกค้า โดยไม่เอารัดเอาเปรียบเขา เมือ่เอ่ยเช่นนี้หลายคนอาจแย้งว่าผมเขียนไปให้ไพเราะอย่างนั้นเอง แต่อย่างที่กล่าวไว้ครับว่า เมื่อเราทำทุกอย่างจากใจจริง มันจะย้อนกลับมาหาตัวเราเองในอนาคตในความจริงใจนั้น ผมละความกลัวที่เคยมีไปได้อีกหลายอย่าง ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความกังวลหายไปมากพอควร นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่มีต่อชีวิต และความคิดอ่านจากเดิม อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ตอนนี้ผมวิ่งไปก็เจอแต่คนทักครับ ว่า แข็งแรง มีวินัย สุขภาพจิตดีแล้วเราจะไม่วิ่งทำไมครับ ลงทุนก็ไม่มากเลย แค่เสื้อ รองเท้าผ้าใบก็เริ่มวิ่งได้แล้ว ผมรู้สึกถึงความคิดอ่านที่อยากแบ่งปันความสุข แบ่งปันประสบการณ์ ทั้งในหน้าที่การงานและหน้าที่ในการดำรงชีวิตในสังคม ผมอยากแบ่งปันความเป็นผู้ให้กับทุกคนอย่างจริงใจ มันได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาแค่ 6 เดือน อย่างไม่น่าเชื่อ
สุดท้ายนี้อยากกล่าวเพิ่มเติมว่า หากคิดจะออกกำลังกาย ไม่ว่าจะแบบไหนก็ทำไปเถิดครับ มันดีทั้งนั้นขอให้ใจชอบจริงๆ สร้างวินัยให้ตนเองแล้วมันจะสร้างวิชาให้กับเราในอนาคตเอง วิชานั้นจะอยู่กับเราจะพัฒนาเรา จะปรับปรุงเราให้แข็งแกร่งขึ้น กล้ามากขึ้น มีชีวิตที่สุขมากขึ้น แล้วเราจะไม่ออกกำลังกายทำไมกัน ขอประโยคสุดท้ายกับทุกคนครับว่า “ ผมนะวิ่งแล้ว ท่านละวิ่งหรือยัง “
วิ่งเพื่ออะไร
ตั้งแต่ผมจำความได้ ( ปัจจุบัน ผมอายุ 58 ปี) ผมเห็นพ่อผมวิ่งออกกำลังกายทุกวัน ไม่ว่าจะที่ วงเวียนใหญ่ หรือ สวนลุมพินี ไม่มีวันไหนหยุดวิ่ง เว้นแต่ฝนจะตกหนักจริงๆ แม้กระทั่งวาระสุดท้ายก่อนเสียชีวิต ท่านก็ยังคะยั้นคะยอให้ไปส่งวิ่งให้ได้ ผมไม่เข้าใจว่ามันจะดีอะไรปานนั้น รู้แค่ว่าการออกำลังกายมันช่วยให้เรามีสุขภาพดีก็เท่านั้น ผมจึงออกกกำลังแบบไม่ได้มีวินัยมากนัก และตามกระแสสังคม โดยเลือกการตีกอล์ฟ ซึ่งใช้เวลามากในหนึ่งวัน และเป็นกลุ่มในสังคมธุรกิจมากกว่า
แล้ววันที่ 15 เมษษยน 2558 ผมก็ตัดสินใจเปลี่ยนมาเป็นวิ่งแทน หลังจากผลตรวจร่างกายมันบ่งบอกว่า ผมมีค่า Triglyceride และ Cholesterol สูงกว่าปกติเท่าตัว ต้องทานยาจึงจะลดได้ ผมจึงตัดสินใจว่าผมขอเลือกการออกกำลังกายดูก่อนว่าลดได้หรือไม่ เพราะทราบว่าการทานยาเหล่านั้นในระยะยาว มันมีผลต่อกระดูกในวัยอย่างเราค่อนข้างมาก วันแรกที่จะวิ่งคือวิ่งในหมู่บ้าน ชุดวิ่งก็ไม่มี รองเท้าพอใช้วิ่งได้ จึงใช้ชุดที่ตีกอล์ฟสวมใส่วิ่ง วิ่งไปนับก้าวที่วิ่งไป นับได้แค่ 200 ก้าว มันเหนื่อยมาก ต้องหยุดพัก แล้วเดิน แล้วก็วิ่งต่อ สรุปวันนั้นวิ่งได้ประมาณ 700 ก้าว เท่านั้น แต่ผมค่อยๆเพิ่มระยะจาก 700 เป็น 800 900 เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยสลับกับการเดินเป็นระยะ สุดท้ายภายใน 1 เดือน ผมวิ่ง มาเป็นระยะ 1200 ก้าว วิ่งทุกวัน พักวันเสาร์วันเดียว วิ่งในหมู่บ้านบ้าง แถวสำนักงานใหญ่ที่ทำงานบ้าง ซึ่งบรรยากาศร่มรื่นและน่าวิ่งกว่ามาก ผมเริ่มเสพความสุขและสนุกกับการวิ่ง เลยลองเริ่มไปวิ่งแข่งการกุศลกับเขาบ้าง เขินมากครับในการไปร่วมครั้งแรก ไม่รู้จักใครเลย แต่ละคนใส่เสื้อผ้าที่ดูดี ทักทายปราศรัยกัน ไม่ว่า หนุ่ม สาว คนแก่หรือแม้แต่เด็กๆ แต่ไม่เป็นไรผมอยากลองดูสิว่าผมวิ่งไหวไหม ปกติผมซ้อมวิ่งอยู่ที่ประมาณ 30 นาที ได้ระยะประมาณ 3 กิโลเมตร แต่งานแรกที่ไปร่วมคือ งาน Run For Nepal เพื่อช่วยผู้ประสบภัยชาวเนปาล ระยะประมาณ 5 กิโลเมตร เหนื่อมากครับ เพราะมันเกินระยะที่เคยซ้อมมาเท่าตัวเลย ผมได้เห็นบรรายายกาศคนมาร่วมงานกว่า 6000 คน ผมจึงเริ่มหางานวิ่งที่อื่นโดยตั้งเป้าหมายว่า วิ่งแข่งเดือนละครั้ง วิ่งประจำ 5 ครั้งต่อสัปดาห์ ไม่เว้นแม้แต่ไปทำงานต่างประเทศ ผมก็จะวิ่งทุกที่ เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ และเยอรมัน วิ่งไป คนก็มองไปว่าเราทำอะไรแต่เช้า แต่ถ้าอยู่ในเมืองไทยจะวิ่งตอนเย็นหลังเลิกงานหรือกลับไปที่บ้าน จนหลายคนทักว่า ผมมีวินัยในการวิ่งอย่างมาก ซึ่งผมเองไม่เคยนึกว่า จะทำได้ขนาดนี้
ทุกวันนี้ผมวิ่งได้ประมาณ 5 กิโลเมตร โดยไม่หยุดวิ่ง คือวิ่งตลอดไม่มีพัก แต่เวลาไปแข่งจะมีทั้งระยะ 5 กิโลเมตร 10 กิโลเมตร แล้วแต่ว่าจะลง โดยตั้งเป้าหมายลงแข่งเดือนละ 2 ครั้ง เปลี่ยนบรรยากาศการวิ่งไปเรื่อย เช่น Central World รอบๆประตูน้ำ , สวนหลวง ร.9 , สะพานพระราม 8 , สะพานพระราม 4 ,ศูนย์ประชุมสิริกิตต์ ,รอบถนนพญาไท ถนนราชดำริ ,ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ ,และสวนลุมพินี เป็นต้น การวิ่งในช่วงต้น ผมยังคงวิ่งคนเดียว พบเจอเพื่อนๆน้องๆที่ทำงานไปวิ่งบ้าง ด้วยความที่เราเป็นน้องใหม่ในวงการ กลัวว่าวิ่งสู้เขาไม่ได้ วิ่งเสร็จก็กลับบ้านเลย จนครั้งหนึ่งเมื่อเดือนกันยายนไปวิ่งที่ Central World ได้พบกลุ่มน้องโรงเรียนเก่า รวมตัวกันวิ่ง จึงเข้าไปทัก และน้องๆชวนเข้ากลุ่มโดยที่ผมมีอายุมากที่สุดในกลุ่ม และที่อายุน้อยที่สุดยังเป็นน้องนักเรียน ม . 5 อยู่เลย เรารวมตัวกันได้ 160 คน จากทุกรุ่น และเปิดกลุ่มเล่น Line เพื่อแจ้งข่าวสารด้านการวิ่ง การแนะนำการวิ่งที่ถูกต้อง ทุกวันนี้ผมเลยต้องตามน้องๆว่าจะไปวิ่งที่ไหนกันบ้าง จะได้ตามไป เพราะมันเป็นกลุ่มที่มาจากหลากหลายอาชีพ สาขา ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงใดๆเลย แถมได้สร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนเก่าของเราอีก เพราะเป็นกลุ่มชายล้วน มีเสื้อกลุ่มของตัวเอง แม้ส่วนใหญ่จะอายุในช่วง 30-40 รูปร่างจึงดูดี ขอประชาสัมพันธ์กลุ่มนี้สักหน่อยว่า ชื่อ DSA Running Gang พบเจอที่ไหนไปร่วมถ่ายรูปได้ครับ ว่า ผมแนะนำมา มาถึงจุดนี้ผมมีกลุ่มวิ่งที่ผมนึกไม่ถึงในระยะเวลาแค่ 6 เดือน มีงานวิ่งแทบจะทุกอาทิตย์ จนสลับงานวิ่งไม่ถูกว่าจะไปวิ่งที่ไหนดี และถูกท้าทายว่าต้องวิ่ง Half และ Full Marathon คือระยะ 21 และ 42 กิโลเมตร ได้แล้ว แต่สำหรับผมแค่นี้มันมาไกลกว่าที่ตั้งใจแต่แรก แล้วมันเปลี่ยนอะไรผมอีกหรือครับ
ประการแรกเลย มันทำให้สุขภาพผมดีขึ้นจริงโดยที่การมีวินัยวิ่งนี่แหละ Triglyceride และ Cholesterol ลดลงมาเท่ากับค่าปกติ ในเวลา 2 เดือน และผมเชื่อว่าตอนนี้มันต้องดูดีขึ้นแน่ๆ กล้ามเนื้อขาผมแข็งแรงขึ้น ไม่เป็นหวัดเลยนับแต่นั้นมา สุขภาพจิตดีขึ้นทันตาเห็น มีเพื่อนมากมายเพิ่มขึ้นทุกอายุ มีความใส่ใจและเอาใจใส่กับผู้ด้อยโอกาส ความเครียดหายไปจากเดิมมาก มันเหมือนเราได้หลั่งสาร Serotonin และ Dopamine ออกมาให้สดชื่นแจ่มใส นอนหลับสบายทันทีที่ถึงเตียงนอน ความมีสติในการดำรงชีพเพิ่มมากขึ้น ไม่ได้รู้สึกอิจฉาริษยา หรืออยากกลั่นแกล้งใคร ทั้งหมดอยากให้ความเมตตาต่อทุกคนเท่าที่ทำได้ ทุกอย่างมาจากใจจริงที่ไม่ได้เสแสร้ง มันมีผลต่อการตัดสินใจว่าทำทุกอย่างโดยมีหลักการ เพื่อผู้บริโภค หรือ ลูกค้า โดยไม่เอารัดเอาเปรียบเขา เมือ่เอ่ยเช่นนี้หลายคนอาจแย้งว่าผมเขียนไปให้ไพเราะอย่างนั้นเอง แต่อย่างที่กล่าวไว้ครับว่า เมื่อเราทำทุกอย่างจากใจจริง มันจะย้อนกลับมาหาตัวเราเองในอนาคตในความจริงใจนั้น ผมละความกลัวที่เคยมีไปได้อีกหลายอย่าง ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความกังวลหายไปมากพอควร นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่มีต่อชีวิต และความคิดอ่านจากเดิม อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ตอนนี้ผมวิ่งไปก็เจอแต่คนทักครับ ว่า แข็งแรง มีวินัย สุขภาพจิตดีแล้วเราจะไม่วิ่งทำไมครับ ลงทุนก็ไม่มากเลย แค่เสื้อ รองเท้าผ้าใบก็เริ่มวิ่งได้แล้ว ผมรู้สึกถึงความคิดอ่านที่อยากแบ่งปันความสุข แบ่งปันประสบการณ์ ทั้งในหน้าที่การงานและหน้าที่ในการดำรงชีวิตในสังคม ผมอยากแบ่งปันความเป็นผู้ให้กับทุกคนอย่างจริงใจ มันได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาแค่ 6 เดือน อย่างไม่น่าเชื่อ
สุดท้ายนี้อยากกล่าวเพิ่มเติมว่า หากคิดจะออกกำลังกาย ไม่ว่าจะแบบไหนก็ทำไปเถิดครับ มันดีทั้งนั้นขอให้ใจชอบจริงๆ สร้างวินัยให้ตนเองแล้วมันจะสร้างวิชาให้กับเราในอนาคตเอง วิชานั้นจะอยู่กับเราจะพัฒนาเรา จะปรับปรุงเราให้แข็งแกร่งขึ้น กล้ามากขึ้น มีชีวิตที่สุขมากขึ้น แล้วเราจะไม่ออกกำลังกายทำไมกัน ขอประโยคสุดท้ายกับทุกคนครับว่า “ ผมนะวิ่งแล้ว ท่านละวิ่งหรือยัง “