[เป็นเรื่องจากพี่ที่ผมรู้จัก อยากจะมาแบ่งปันให้เพื่อนๆ พี่ๆทุกคนลองอ่านดูครับ ผมคิดว่ามันสะท้อนได้หลายมุมมากๆ
ผมขออนุญาตเขียนจากมุมมองของตัวพี่เค้าเลยนะครับ เชิญอ่านกันได้เลยครับ...]
ผมไม่รู้ว่าการมีพ่อแม่เป็นอย่างไร ผมไม่เคยเห็นหน้าท่าน ไม่เคยได้พูดคุยกับท่าน ไม่เคยได้สัมผัสท่าน แต่มีอย่างเดียวที่ผมรู้เกี่ยวกับพวกท่าน คือ คือพวกท่านได้จากไปเพราะโรคที่มีชื่อว่าเอดส์
ตั้งแต่จำความได้ ผมโตมากับป้าสุขซึ่งผมเชื่อมาตลอดว่าแกคือป้าแท้ๆของผม ความรักที่แกมอบให้ผมนั้น มันเยอะซะจนผมคิดว่าแกเปรียบเสมือนแม่แท้ๆของผม ป้าสุขบอกผมว่า แม่ผมเสียเพราะอุบัติเหตุ ส่วนพ่อผมทำงานประจำที่แท่นขุดน้ำมัน โทรศัพท์ติดต่อไม่ได้ ต้องรอแกกลับมาอย่างเดียว ซึ่งผมเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักหรอก เพราะอยู่กับป้าสุขก็มีความสุขดี ไม่ได้เดือดร้อนอะไร
ทุกเช้าตื่นมา ป้าสุขจะเตรียมข้าวไข่ดาว และน้ำปลาไว้ให้ผมเสมอ และถ้าวันไหนผมโชคดี จะมีนมอีกหนึ่งกล่องไว้ แกเคยบอกผมไว้ว่า “ต้องดื่มนมเยอะๆจะได้แข็งแรง และต้องขยันมากๆจะได้มีงานที่ดีในอนาคต” ผมคิดไว้เสมอว่าวันนึงผมจะต้องทำให้ป้าสุขสบาย และผมจะต้องไม่เป็นภาระแก
ภาพที่ผมจำความได้เกี่ยวกับป้าสุข คือรอยยิ้มกว้างๆ ที่มีหมากติดฟันแซมๆ และคำพูดที่แม้จะห้วนแต่เปี่ยมไปด้วยความหวังดี แต่แล้วมีเหตุการณ์นึงที่ผมจะจำไม่มีวันลืม…
.
.
.
วันที่ผมทำให้ป้าสุขเสียน้ำตา
เรื่องเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม เป็นวันที่นักเรียนทุกคนจะต้องทำจดหมายถึงพ่อ โดยมีโจทย์ว่า หากคนไหนไม่มีพ่อ ให้ลองคิดคำพูดออกมาที่อยากจะพูดกับเค้า
ผมได้แต่นั่งรอเวลาให้ความคิดตกผลึก แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีแม้แต่ความคิดตกตะกอน เพราะผมไม่รู้จริงๆ ว่า “พ่อ” คือใคร สุดท้ายคุณครูเลยเสนอว่า ให้ผมคิดถึงพ่อในอุดมคติขึ้นมา แล้วคิดดูว่าจะพูดอะไรกับเค้า และนี่คือบทความที่ผมเขียนถึงพ่อ…
“พ่อครับ ผมอยากให้พ่ออยู่กับผมตอนนี้มากๆ บางครั้งผมมองขึ้นไปบนฟ้า ผมขอพรกับดาวที่สว่างที่สุด ผมเชื่อว่าพ่ออยู่ไม่ไกลจากผม และวันนึงพ่อจะกลับมาหาผม ผมคิดถึงพ่อนะครับ วันนึงเราจะได้พบกันแน่นอน”
หลังจากเลิกเรียน ผมรีบกลับบ้านพร้อมกับนำบทความชิ้นนี้ไปอวดป้าสุขอย่างไม่รอช้า แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้างๆที่ป้าสุขเคยมี กลับกลายเป็นใบหน้าที่แดงกร้ำ และนัยต์ตาที่แฝงไปด้วยความเกลียดชัง
ป้าสุขได้ฉีกกระดาษที่เปี่ยมไปด้วยบทความบริสุทธิ์ของเด็กน้อยคนหนึ่งที่ตั้งใจเขียนไว้กับพ่อในอุดมคติของเขา ซึ่งแน่นอนล่ะ ผมร้องไห้และรีบวิ่งไปเก็บเศษกระดาษนั้น หวังว่ามันจะสามารถนำมารวมกันใหม่ได้
“ทำไม! ทำไมต้องทำแบบนี้” ผมตะโกนใส่ป้าสุขทั้งน้ำตา
ป้าสุขเลือกที่จะเดินหนี และไม่สนใจผม แต่ด้วยความที่เป็นเด็กผมก็เซ้าซี้ โวยวายเรื่อยๆ จนป้าสุขทนไม่ไหว และพูดกลับมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอน พร้อมน้ำตาที่ไหลพราก
“ป้าเกลียดพ่อแกมาก พ่อแกคือต้นเหตุทั้งหมด”
แล้วป้าสุขก็เดินเข้าห้อง พร้อมปิดประตูดัง ปัง! ทิ้งเด็กตาดำๆยืนมึนงงด้วยน้ำตาที่เอ่อล้นในดวงตา
.
.
.
หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไป ความรู้สึกที่ผมมีกับป้าสุขก็เปลี่ยนไป ผมชักไม่แน่ใจว่าแกเลี้ยงดูผมเพราะอะไรกันแน่ เพราะความรัก? หรือเพราะความจำเป็น? จากที่เคยคุยกันทั้งวัน กลับกลายเป็นพูดคุยเมื่อยามจำเป็นเท่านั้น จริงๆแล้วป้าสุขไม่ได้เปลี่ยนไป แต่เป็นผมเองที่รู้สึกแปลกไป แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์อีกครั้งหนึ่งที่ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปตลอดกาล…
ป้าสุขล้มป่วยลงอย่างเฉียบพลันซึ่งแพทย์ไม่สามารถยื้อชีวิตได้ทัน ซึ่งสาเหตุการเสียชีวิตมาจากไขมันอุดตันในเส้นเลือด
ทุกอย่างเกิดขึ้นชั่วพริบตา ผมไม่สามารถแม้แต่จะเอ่ยคำลากับแก ผมได้แต่พูดกับตัวเองว่า นี่เราฝันไปหรือเปล่า? ตื่นสิตื่น เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าก็จะได้กินข้าวไข่ดาว กับน้ำปลาแล้ว
ผมกลับบ้านพร้อมกับร่างที่ไร้วิญญาณ งุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น และไม่แน่ใจกับอนาคตตัวเอง ทุกอย่างดูมืดมน พรุ่งนี้เราจะกินข้าวที่ไหน? กลับมาแล้วจะคุยกับใคร? ผมกวาดสายตาไปรอบๆ ห้อง ภาพรอยยิ้มป้าสุขลอยออกมาอย่างไม่ขาดสาย น้ำตาพรั่งพรูออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ก่อนที่ร่างกายหมดจะหมดแรง ผมเหลือบไปเห็นกระดาษที่พับไว้ อยู่บนโต๊ะกินข้าวที่ๆ ผมกับป้าสุขจะใช้เวลาร่วมกันเยอะที่สุด…
“ป้าขอโทษนะที่ดูแลหนูได้เท่านี้…จริงๆแล้วแม่หนูคือน้องสาวแท้ๆของป้าเอง ศรีเป็นผู้หญิงที่ฉลาด และขยัน ควรจะอนาคตไกลมากๆ แต่ดันมาเจอกับพ่อของหนู ซึ่งเป็นไอ้ขี้เมาคนนึง มันหลอกให้ศรีรัก และก็รักสนุกโดยที่ไม่ป้องกันจนพลาดท่าขึ้นมา แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือ มันเป็นโรคเอดส์ ซึ่งมันส่งต่อโรคนี้มาให้ศรี
ศรีหมดอนาคตทันที และพูดกับป้ามาตลอดว่าถึงแม้ตัวเองจะเป็นโรคเอดส์ แต่ก็ขอให้ลูกในท้องเกิดมาครบ 32 และมีร่างกายที่แข็งแรง
จนพอถึงวันที่หนูคลอดออกมา ผลออกมาว่าเป็นปกติ นั่นคือวันที่ศรีมีความสุขที่สุดในชีวิต แต่ด้วยร่างกายที่อ่อนโทรม ศรีรู้ตัวดีว่าไม่สามารถดูแลลูกได้ จึงได้อุ้มหนูมาฝากไว้ที่ป้า และให้ป้าสัญญาว่าจะเลี้ยงดูหนูให้ดีที่สุด เปรียบเสมือนลูกคนหนึ่ง
ป้าได้ตอบตกลง และอยู่ดูแลหนู พร้อมๆกับที่ดูแลศรีไปด้วย แต่แล้วศรีก็ไม่สามารถสู้กับโรคที่รุมเร้ามากมายได้ จนในที่สุด ศรีได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบ
ป้าสัญญากับศรีก่อนที่ศรีจะหมดลมหายใจว่าป้าจะดูแลหนูให้เป็นเหมือนลูกแท้ๆ และป้าจะส่งหนูเรียนสูงๆ เพื่อที่จะได้การงานที่ดี จะได้หลุดจากวงโคจรเน่าๆ ที่ป้าและแม่ศรีเคยอยู่
หนูต้องตั้งใจเรียนมากๆ เงินที่ป้าเก็บไว้อยู่ใต้เตียงมีอยู่จำนวนนึง ใช้มันเมื่อยามจำเป็นนะลูก
ขอโทษจริงๆ ที่ป้าดูแลหนูได้แค่นี้”
เพียงไม่กี่วินาที กระดาษก็เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาของผม ซึ่งผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นน้ำตาของความปลาบปลื้มที่มีคนรักผมขนาดนี้ หรือว่าเป็นน้ำตาของความผิดหวังที่ได้รู้ความจริงเกี่ยวกับพ่อแม่จริงๆของผม ผมโคตรรู้สึกผิดกับตัวเองว่าทำไมผมถึงมองป้าสุขผิดไปขนาดนี้ ทำไมผมต้องตั้งคำถามในใจกับผู้หญิงที่เลี้ยงดูผม อยู่ข้างๆผมตั้งแต่วันที่ผมจำความได้ ความรัก ความหวังดี และกำลังใจ หรือเรียกได้ว่าทั้งหมดในชีวิตผมได้จากผมไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับมา ถ้าผมมีโอกาสอีกสักครั้ง หรือหากผมสามารถย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะไม่ทำให้แกต้องเสียน้ำตาแม้แต่ครั้งเดียว ผมจะกอดแกแน่นๆทุกครั้งที่เข้านอน ผมจะบอกรักแกทุกวันให้แกชื่นใจ...แต่นี่แหละนะ ธรรมชาติมนุษย์ เรามักจะรู้คุณค่าของสิ่งๆนั้น เมื่อตอนที่สายไปแล้ว...
ระหว่างที่ผมนอนอยู่ที่บนเตียง ผมพยายามคิดว่านี่เป็นแค่ความฝันใช่ไหม หรือเป็นแค่บทนึงในละคร หวังว่าเดี๋ยวคงมีผู้กำกับเดินมาสั่งคัท แต่แล้วแสงพระอาทิตย์ก็ได้สาดเข้ามาจากมุมหน้าต่างเก่าๆ ที่มีเพียงม่านขาดๆบังไว้ นี่เช้าแล้วหรือเนี่ย
ผมเดินมาถึงโต๊ะตัวเดิมที่เคยมีข้าวไข่ดาว และน้ำปลาตั้งอยู่ เพียงแต่วันนี้มันไม่มีอาหารเหล่านั้นอีกแล้ว บ้านที่เล็กแต่อบอุ่น กลับกลายเป็นบ้านที่ใหญ่โตและเงียบเหงา…
เวลาผ่านไปเกือบ 3 เดือน นับตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่ได้ไปโรงเรียนอีกเลย เงินที่ป้าสุขออมไว้ให้ผมก็เริ่มร่อยหรอ ผมได้ใช้เงินไปกับอาหารที่พอจะประทังชีวิตผมได้ แต่สุดท้ายผมก็รู้ดีว่ามันคงหมดลงสักวัน และผมเองคงต้องไม่ต่างอะไรกับเด็กเร่ร่อนที่ไม่มีอนาคต
แต่แล้วแสงแห่งอนาคตก็สาดส่องมาที่ผมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้แสงนั้นไม่ได้มาจากที่ไหนไกล…มาจากลุงจัน เพื่อนข้างบ้านที่คุ้นเคย
ลุงจันได้นำเบอร์ติดต่อของสถานที่ ที่นึงที่มีชื่อว่า
“มูลนิธิงานสวัสดิการสังคม เฉลิมพระเกียรติ 5 รอบ”
ใช่ครับ นี่คืออนาคตใหม่ของผม ที่ลุงจันแนะนำให้ผมไป และนี่คือจุดเปลี่ยนของชีวิตผม…ที่ไม่มีวันเหมือนเดิม
[เดี๋ยวมาต่อนะครับ]
ผมรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่พ่อแม่ผมจากไปเพราะโรคเอดส์
ผมขออนุญาตเขียนจากมุมมองของตัวพี่เค้าเลยนะครับ เชิญอ่านกันได้เลยครับ...]
ผมไม่รู้ว่าการมีพ่อแม่เป็นอย่างไร ผมไม่เคยเห็นหน้าท่าน ไม่เคยได้พูดคุยกับท่าน ไม่เคยได้สัมผัสท่าน แต่มีอย่างเดียวที่ผมรู้เกี่ยวกับพวกท่าน คือ คือพวกท่านได้จากไปเพราะโรคที่มีชื่อว่าเอดส์
ตั้งแต่จำความได้ ผมโตมากับป้าสุขซึ่งผมเชื่อมาตลอดว่าแกคือป้าแท้ๆของผม ความรักที่แกมอบให้ผมนั้น มันเยอะซะจนผมคิดว่าแกเปรียบเสมือนแม่แท้ๆของผม ป้าสุขบอกผมว่า แม่ผมเสียเพราะอุบัติเหตุ ส่วนพ่อผมทำงานประจำที่แท่นขุดน้ำมัน โทรศัพท์ติดต่อไม่ได้ ต้องรอแกกลับมาอย่างเดียว ซึ่งผมเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักหรอก เพราะอยู่กับป้าสุขก็มีความสุขดี ไม่ได้เดือดร้อนอะไร
ทุกเช้าตื่นมา ป้าสุขจะเตรียมข้าวไข่ดาว และน้ำปลาไว้ให้ผมเสมอ และถ้าวันไหนผมโชคดี จะมีนมอีกหนึ่งกล่องไว้ แกเคยบอกผมไว้ว่า “ต้องดื่มนมเยอะๆจะได้แข็งแรง และต้องขยันมากๆจะได้มีงานที่ดีในอนาคต” ผมคิดไว้เสมอว่าวันนึงผมจะต้องทำให้ป้าสุขสบาย และผมจะต้องไม่เป็นภาระแก
ภาพที่ผมจำความได้เกี่ยวกับป้าสุข คือรอยยิ้มกว้างๆ ที่มีหมากติดฟันแซมๆ และคำพูดที่แม้จะห้วนแต่เปี่ยมไปด้วยความหวังดี แต่แล้วมีเหตุการณ์นึงที่ผมจะจำไม่มีวันลืม…
.
.
.
วันที่ผมทำให้ป้าสุขเสียน้ำตา
เรื่องเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม เป็นวันที่นักเรียนทุกคนจะต้องทำจดหมายถึงพ่อ โดยมีโจทย์ว่า หากคนไหนไม่มีพ่อ ให้ลองคิดคำพูดออกมาที่อยากจะพูดกับเค้า
ผมได้แต่นั่งรอเวลาให้ความคิดตกผลึก แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีแม้แต่ความคิดตกตะกอน เพราะผมไม่รู้จริงๆ ว่า “พ่อ” คือใคร สุดท้ายคุณครูเลยเสนอว่า ให้ผมคิดถึงพ่อในอุดมคติขึ้นมา แล้วคิดดูว่าจะพูดอะไรกับเค้า และนี่คือบทความที่ผมเขียนถึงพ่อ…
“พ่อครับ ผมอยากให้พ่ออยู่กับผมตอนนี้มากๆ บางครั้งผมมองขึ้นไปบนฟ้า ผมขอพรกับดาวที่สว่างที่สุด ผมเชื่อว่าพ่ออยู่ไม่ไกลจากผม และวันนึงพ่อจะกลับมาหาผม ผมคิดถึงพ่อนะครับ วันนึงเราจะได้พบกันแน่นอน”
หลังจากเลิกเรียน ผมรีบกลับบ้านพร้อมกับนำบทความชิ้นนี้ไปอวดป้าสุขอย่างไม่รอช้า แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้างๆที่ป้าสุขเคยมี กลับกลายเป็นใบหน้าที่แดงกร้ำ และนัยต์ตาที่แฝงไปด้วยความเกลียดชัง
ป้าสุขได้ฉีกกระดาษที่เปี่ยมไปด้วยบทความบริสุทธิ์ของเด็กน้อยคนหนึ่งที่ตั้งใจเขียนไว้กับพ่อในอุดมคติของเขา ซึ่งแน่นอนล่ะ ผมร้องไห้และรีบวิ่งไปเก็บเศษกระดาษนั้น หวังว่ามันจะสามารถนำมารวมกันใหม่ได้
“ทำไม! ทำไมต้องทำแบบนี้” ผมตะโกนใส่ป้าสุขทั้งน้ำตา
ป้าสุขเลือกที่จะเดินหนี และไม่สนใจผม แต่ด้วยความที่เป็นเด็กผมก็เซ้าซี้ โวยวายเรื่อยๆ จนป้าสุขทนไม่ไหว และพูดกลับมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอน พร้อมน้ำตาที่ไหลพราก
“ป้าเกลียดพ่อแกมาก พ่อแกคือต้นเหตุทั้งหมด”
แล้วป้าสุขก็เดินเข้าห้อง พร้อมปิดประตูดัง ปัง! ทิ้งเด็กตาดำๆยืนมึนงงด้วยน้ำตาที่เอ่อล้นในดวงตา
.
.
.
หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไป ความรู้สึกที่ผมมีกับป้าสุขก็เปลี่ยนไป ผมชักไม่แน่ใจว่าแกเลี้ยงดูผมเพราะอะไรกันแน่ เพราะความรัก? หรือเพราะความจำเป็น? จากที่เคยคุยกันทั้งวัน กลับกลายเป็นพูดคุยเมื่อยามจำเป็นเท่านั้น จริงๆแล้วป้าสุขไม่ได้เปลี่ยนไป แต่เป็นผมเองที่รู้สึกแปลกไป แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์อีกครั้งหนึ่งที่ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปตลอดกาล…
ป้าสุขล้มป่วยลงอย่างเฉียบพลันซึ่งแพทย์ไม่สามารถยื้อชีวิตได้ทัน ซึ่งสาเหตุการเสียชีวิตมาจากไขมันอุดตันในเส้นเลือด
ทุกอย่างเกิดขึ้นชั่วพริบตา ผมไม่สามารถแม้แต่จะเอ่ยคำลากับแก ผมได้แต่พูดกับตัวเองว่า นี่เราฝันไปหรือเปล่า? ตื่นสิตื่น เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าก็จะได้กินข้าวไข่ดาว กับน้ำปลาแล้ว
ผมกลับบ้านพร้อมกับร่างที่ไร้วิญญาณ งุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น และไม่แน่ใจกับอนาคตตัวเอง ทุกอย่างดูมืดมน พรุ่งนี้เราจะกินข้าวที่ไหน? กลับมาแล้วจะคุยกับใคร? ผมกวาดสายตาไปรอบๆ ห้อง ภาพรอยยิ้มป้าสุขลอยออกมาอย่างไม่ขาดสาย น้ำตาพรั่งพรูออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ก่อนที่ร่างกายหมดจะหมดแรง ผมเหลือบไปเห็นกระดาษที่พับไว้ อยู่บนโต๊ะกินข้าวที่ๆ ผมกับป้าสุขจะใช้เวลาร่วมกันเยอะที่สุด…
“ป้าขอโทษนะที่ดูแลหนูได้เท่านี้…จริงๆแล้วแม่หนูคือน้องสาวแท้ๆของป้าเอง ศรีเป็นผู้หญิงที่ฉลาด และขยัน ควรจะอนาคตไกลมากๆ แต่ดันมาเจอกับพ่อของหนู ซึ่งเป็นไอ้ขี้เมาคนนึง มันหลอกให้ศรีรัก และก็รักสนุกโดยที่ไม่ป้องกันจนพลาดท่าขึ้นมา แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือ มันเป็นโรคเอดส์ ซึ่งมันส่งต่อโรคนี้มาให้ศรี
ศรีหมดอนาคตทันที และพูดกับป้ามาตลอดว่าถึงแม้ตัวเองจะเป็นโรคเอดส์ แต่ก็ขอให้ลูกในท้องเกิดมาครบ 32 และมีร่างกายที่แข็งแรง
จนพอถึงวันที่หนูคลอดออกมา ผลออกมาว่าเป็นปกติ นั่นคือวันที่ศรีมีความสุขที่สุดในชีวิต แต่ด้วยร่างกายที่อ่อนโทรม ศรีรู้ตัวดีว่าไม่สามารถดูแลลูกได้ จึงได้อุ้มหนูมาฝากไว้ที่ป้า และให้ป้าสัญญาว่าจะเลี้ยงดูหนูให้ดีที่สุด เปรียบเสมือนลูกคนหนึ่ง
ป้าได้ตอบตกลง และอยู่ดูแลหนู พร้อมๆกับที่ดูแลศรีไปด้วย แต่แล้วศรีก็ไม่สามารถสู้กับโรคที่รุมเร้ามากมายได้ จนในที่สุด ศรีได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบ
ป้าสัญญากับศรีก่อนที่ศรีจะหมดลมหายใจว่าป้าจะดูแลหนูให้เป็นเหมือนลูกแท้ๆ และป้าจะส่งหนูเรียนสูงๆ เพื่อที่จะได้การงานที่ดี จะได้หลุดจากวงโคจรเน่าๆ ที่ป้าและแม่ศรีเคยอยู่
หนูต้องตั้งใจเรียนมากๆ เงินที่ป้าเก็บไว้อยู่ใต้เตียงมีอยู่จำนวนนึง ใช้มันเมื่อยามจำเป็นนะลูก
ขอโทษจริงๆ ที่ป้าดูแลหนูได้แค่นี้”
เพียงไม่กี่วินาที กระดาษก็เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาของผม ซึ่งผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นน้ำตาของความปลาบปลื้มที่มีคนรักผมขนาดนี้ หรือว่าเป็นน้ำตาของความผิดหวังที่ได้รู้ความจริงเกี่ยวกับพ่อแม่จริงๆของผม ผมโคตรรู้สึกผิดกับตัวเองว่าทำไมผมถึงมองป้าสุขผิดไปขนาดนี้ ทำไมผมต้องตั้งคำถามในใจกับผู้หญิงที่เลี้ยงดูผม อยู่ข้างๆผมตั้งแต่วันที่ผมจำความได้ ความรัก ความหวังดี และกำลังใจ หรือเรียกได้ว่าทั้งหมดในชีวิตผมได้จากผมไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับมา ถ้าผมมีโอกาสอีกสักครั้ง หรือหากผมสามารถย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะไม่ทำให้แกต้องเสียน้ำตาแม้แต่ครั้งเดียว ผมจะกอดแกแน่นๆทุกครั้งที่เข้านอน ผมจะบอกรักแกทุกวันให้แกชื่นใจ...แต่นี่แหละนะ ธรรมชาติมนุษย์ เรามักจะรู้คุณค่าของสิ่งๆนั้น เมื่อตอนที่สายไปแล้ว...
ระหว่างที่ผมนอนอยู่ที่บนเตียง ผมพยายามคิดว่านี่เป็นแค่ความฝันใช่ไหม หรือเป็นแค่บทนึงในละคร หวังว่าเดี๋ยวคงมีผู้กำกับเดินมาสั่งคัท แต่แล้วแสงพระอาทิตย์ก็ได้สาดเข้ามาจากมุมหน้าต่างเก่าๆ ที่มีเพียงม่านขาดๆบังไว้ นี่เช้าแล้วหรือเนี่ย
ผมเดินมาถึงโต๊ะตัวเดิมที่เคยมีข้าวไข่ดาว และน้ำปลาตั้งอยู่ เพียงแต่วันนี้มันไม่มีอาหารเหล่านั้นอีกแล้ว บ้านที่เล็กแต่อบอุ่น กลับกลายเป็นบ้านที่ใหญ่โตและเงียบเหงา…
เวลาผ่านไปเกือบ 3 เดือน นับตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่ได้ไปโรงเรียนอีกเลย เงินที่ป้าสุขออมไว้ให้ผมก็เริ่มร่อยหรอ ผมได้ใช้เงินไปกับอาหารที่พอจะประทังชีวิตผมได้ แต่สุดท้ายผมก็รู้ดีว่ามันคงหมดลงสักวัน และผมเองคงต้องไม่ต่างอะไรกับเด็กเร่ร่อนที่ไม่มีอนาคต
แต่แล้วแสงแห่งอนาคตก็สาดส่องมาที่ผมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้แสงนั้นไม่ได้มาจากที่ไหนไกล…มาจากลุงจัน เพื่อนข้างบ้านที่คุ้นเคย
ลุงจันได้นำเบอร์ติดต่อของสถานที่ ที่นึงที่มีชื่อว่า
“มูลนิธิงานสวัสดิการสังคม เฉลิมพระเกียรติ 5 รอบ”
ใช่ครับ นี่คืออนาคตใหม่ของผม ที่ลุงจันแนะนำให้ผมไป และนี่คือจุดเปลี่ยนของชีวิตผม…ที่ไม่มีวันเหมือนเดิม
[เดี๋ยวมาต่อนะครับ]