สวัสดีค่ะ
เราชื่อบิวนะคะ เพิ่งอยู่ม.ปลาย ที่รรแห่งหนึ่งเขตกรุงเทพ
ความจริงเราอยากตั้งกระทู้สนทนามาก แต่เราไม่ได้ยืนยันตัวตนโดยใช้บัตรประชาชนค่ะ เลยได้แค่ตั้งกระทู้คำถามเท่านั้น
วัยรุ่น เป็นวัยที่อารมณ์เปลี่ยนง่าย ใช่มั้ยคะ?
ตอนประถม เราเป็นคนหนึ่งที่คิดว่าตัวเองเป็นคนที่มีความสุขมากที่สุดในโลกของเรา เรามีเพื่อนมากมายตั้งแต่อนุบาลยันประถม เราเป็นเด็กเต้นรำทำเพลงของโรงเรียนอยู่แล้ว ทำให้มีเพื่อนเยอะ แต่การประพฤติของเราก็แย่มากๆ
เรามีปัญหากับเด็กผู้ชายในห้อง ไม่ใช่เรื่องชู้สาวนะคะ แต่เพราะเขาชอบมาล้อชื่อพ่อชื่อแม่ของเราค่ะ5555
อีกอย่างหนึ่งคือเรามีพี่ค่ะ พี่เราเป็นคนนิสัยดีค่ะในสายตาคนอื่นๆ สำหรับเรา เรายังว่าเขาเป็นคนดีเลย เรารู้สึกว่าเขาดีกว่าเราทุกเรื่อง ทั้งการเรียน นิสัย และหน้าตา
แต่อย่างว่า บางทีก็ทำให้เรารู้สึกลำบากใจ เป็นส่วนเกิน
เราเคยชอบผู้ชายคนนึงเป็นรุ่นพี่ แต่รุ่นพี่คนนั้นบอกว่าเขาไม่ได้ชอบเรา แต่เขาชอบพี่เรา
ตอนนั้นก็รู้สึกเสียใจค่ะ ซึมไปเลย นี่ขนาดรักวัยประถมนะคะ555
หรือแม้กระทั่งการเรียน เราเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน พ่อกับแม่บางทีเขาก็เผลอเปรียบเทียบ
เราเป็นคนที่เรียนแล้วหัวไวแค่บางวิชา และไม่ชอบเรียนบางวิชา ถ้าไม่ชอบวิชานั้นคะแนนเราก็จะแย่มาก
แต่พี่ของเราเป็นคนเรียนเก่งค่ะ คะแนนสอบออกมา พี่เราก็ทำได้ดีกว่าเราอยู่แล้ว บางทีพ่อก็ชอบมองเรื่องนี้และนำมาเปรียบเทียบ
ดังนั้นตอนขึ้นมัธยมต้น เราจึงเลือกตัดปัญหานี้โดยการขอพ่อเรียนแยกกับพี่ค่ะ
พ่อก็ตกใจแบบจะแยกจริงๆเหรอ อะไรประมาณนี้อ่ะค่ะ แต่เขาเคยคิดว่าเราขอแยกเพราะอยากเรียนโรงเรียนเดียวกับรุ่นพี่ผู้ชายคนนึงที่เราแอบชอบ
ตอนนั้นเราโกรธและงอนพ่อมาก ตอนนั้นอยู่แค่ประถมเอง จะมาคิดอะไรแบบนี้ก็เกินไป ถึงจะชอบพี่เขาก็เถอะ55
ตอนมอต้น เราคิดว่าเป็นช่วงที่ดีสำหรับเราค่ะ แต่คิดว่าอาจจะยังดีไม่สุดเพราะเรื่องราวในรั้วโรงเรียนมันเกิดขึ้นเยอะมากๆ
เราเจอเพื่อนหลากหลายประเภททั้งเพื่อนที่ดีและแย่ ทะเลาะกันก็บ่อย เคยโดนแบนมาแล้ว นินทาหรืออะไรอย่างนี้เจอมาหมดเลยค่ะ
ทำให้เรา จากเด็กที่เคยร่าเริงกลายเป็นเด็กที่ไม่ค่อยพูด แต่ไม่ใช่ว่าถามอะไรแล้วไม่ตอบนะคะ แต่เพียงชอบฟังเพื่อนในแก๊งเม้าท์มากกว่าที่จะเม้าท์คนอื่นให้เพื่อนฟัง ตอนนั้นที่เคยทะเลาะกับเพื่อนที่ฝังใจสุดๆก็ตอนม.2ค่ะ เทอมแรกเป็นช่วงที่ชีวิตสนุกมาก ดีมาก แต่ทะเลาะกับเพื่อนในกลุ่มคนนึง แทนชื่อว่า เอ นะคะ เอไม่ชอบเราเพราะเราไปแย่งเพื่อนสนิทของเอ และเราเพิ่งเข้ากลุ่มนี้มาไม่นาน ทำให้คนในกลุ่มไม่สนิทกันเหมือนแต่ก่อน ซึ่งอันนี้เป็นเหตุผลที่ออกมาจากปากจริงๆของเอตอนเคลียร์ปัญหานี้กัน เอเอาเราไปว่า นินทาก็ทำให้เราโกรธ จนตั้งตัสในไลน์แซะและเปลี่ยนภาพหน้าปกแซะนางค่ะ เราคิดว่าเราเป็นคนที่แรงๆนะคะ แต่ก็แอบเกรงใจเพื่อนที่มีอิทธิพลในกลุ่ม และเป็นคนที่อวดว่าตัวเองไม่เป็นไร และวันต่อมา เพื่อนร่วมกลุ่มอีกคนหนึ่งชื่อบี ก็ทำปฏิกิริยาที่ไม่ดีต่อเราค่ะ บีกับเอสนิทกันค่ะจะสนิทกันมากเมื่อมีเรื่องนินทาคนอื่น บีเคยสนิทกับเราตอนประถมค่ะ แต่ตอนขึ้นมอต้นก็ไม่ได้สนิทกัน บีแอบสะบัดขาเตะเราตอนที่เรานั่งอยู่ค่ะ ตอนกลางวันนางก็มานั่งข้างเราแล้วแอบเบ้ปากให้ เรานี่ไม่รู้จะทำอะไรต่อดี ในใจก็คิดนะคะว่า เอ้ เราก็ไม่ได้ทะเลาะกับบีนี่นา แต่ทะเลาะกับเอ ทำไมบีต้องมา
ยุ่งด้วย แล้วตอนที่มันถึงขีดจริงๆ พวกเราก็มานั่งปรับทุกข์กัน ใครไม่ชอบใคร บอกตามตรงอะไรประมาณนี้ เราก็ไม่กล้าบอกว่าเราไม่ชอบบีค่ะเพราะไม่อยากให้เกิดปัญหา ยังไงก็เคยเป็นเพื่อนกัน แต่ถึงยังไง เราก็ยังเก็บมันฝังใจไว้จนถึงตอนนี้ เราไม่เคยโดนปฏิบัติแบบนี้ และเคยโดนกระทำแบบนี้มาก่อน มีแต่เราเองที่ชอบทำสิ่งแย่ๆแบบนี้ใส่คนอื่น จนพอโดนกับตัวแล้ว รู้สึกจุกมากกว่า เวรกรรมมันมีจริงๆค่ะ
ตั้งแต่ตอนนั้นมาเราก็ตั้งปฏิฏาณแก่ตัวเองว่าจะไม่ทำนิสัยแบบนั้นอีก
กลายเป็นว่าเราเป็นคนที่โดนเมิน เพื่อนไม่ชอบ เพื่อนไม่คบมากกว่าเดิม เพราะเขาบอกว่าเราเปลี่ยนไป เราพูดน้อยลง เรียบร้อยขึ้น ไม่ค่อยกล้าแสดงความคิดเห็นเพราะกลัวโดนเกลียด และตอนนี้เราก็เพิ่งเข้าใจตัวเองว่าเรากลัวเพื่อนเกลียดขนาดไหน
เรายอมรับว่าเราเป็นคนที่ขี้นินทา และชอบใส่ไฟให้กับคนที่เราไม่ชอบ เราเป็นคนที่ขี้โกหกด้วยในบางเรื่อง แถมยังขี้โมโหมากๆ
เราคิดมาตลอดว่านิสัยแบบนี้เราควรจะทิ้งมันไปสักที ทำไมเราถึงทำไม่ได้ตลอด เรารู้สึกควบคุมตัวเองไม่ได้ และคิดว่าตัวเองมักอยู่ในฝ่ายถูกกระทำและเป็นคนถูกเสมอ เรามักตั้งตัวเองเป็นใหญ่ ถ้าจะให้สาธยายความแย่ของเราเองก็คงไม่หมด
เราเพิ่งมารู้ตัวว่าตัวเองนิสัยเหมือนใครตอนเมื่อเราขึ้นม.ปลาย
เรามาสอบเข้าโรงเรียนเดียวกับพี่ เราเพิ่งรู้ว่าพี่ไม่ได้ดีมากอย่างที่เราเคยคิดไว้
ตอนม.ต้น เราอยู่กันคนละโรงเรียนกับพี่ทำให้เราไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ แต่ก็ยังสนิทเหมือนเดิมแค่เรื่องบางเรื่องเราก็ไม่ได้บอก
พี่ก็นิสัยเหมือนกับเราเพียงแต่เป็นคนที่ไม่ค่อยขี้โมโหเท่าไหร่ แต่นิสัยที่เราเกลียดมากที่สุด คือกลัวคนเกลียด จะให้พูดอีกด้านก็คือ ไม่อยากเป็นคนผิด เราจะโยนขี้ให้ใครก็ได้ยกเว้นตัวเอง และนิสัยนี้เป็นนิสัยที่ฉันเกลียดพอๆกับนิสัยขี้โกหกและขี้โมโหของตัวเอง เรารู้ว่าแท้จริงแล้วฉันได้นิสัยนี้มาจาก แม่ของเราเอง ตั้งแต่เด็ก เรามักมองเห็นแม่เป็นคนขี้โมโห เวลาเราทำอะไรผิดนิดหน่อยท่านก็ตบปากและตีเรา เรื่องบางเรื่องเราไม่ผิด แต่ท่านก็พยายามทำให้เราดูเป็นคนผิดจนได้แต่ท่านไม่ผิด สิ่งที่เราจำฝังใจมากที่สุดคือ เราเคยโดนแม่พาไปตบหน้าเรื่องที่เราเอาเรื่องที่แม่นินทาเขาให้เราฟัง เขาพยายามยัดเยียดให้เราพูด ในตอนนั้นเราอายุประมาณ 4 ขวบเอง เราเลยเล่าไปให้เขาฟังหมด เขาบอกว่าเล่ามาเถอะ ไม่ต้องกลัวหรอก สุดท้ายแล้วเราก็โดนแม่ตบหน้าอยู่ดีโทษฐานเอาเรื่องนี้ไปบอกเขา เราเดาว่าคนที่เอาไปบอกว่าเราเล่าให้เขาฟังว่าแม่นินทาเขาว่าอะไรบ้าง น่าจะเป็นพ่อ ตอนนั้นพ่อทะเลาะกับแแม่และพ่อน่าจะโมโหที่แม่พูดถึงเขา ซึ่งเป็นญาติของพ่อ และตัวพ่อไม่ดี ซึ่งตอนเราเล่าให้เขาฟัง พ่อก็นั่งฟังอยู่ด้วย แม่น่าจะรู้ตอนที่พ่อทะเลาะกับแม่แล้วพ่อพูดว่าเพราะเราเป็นคนบอก นั่นแหล่ะค่ะ ครอบครัวของเราทะเลาะกันตั้งแต่เรายังเด็กจนเราอยู่ม.ปลายแล้ว พวกเขายังไม่หยุดทะเลาะกันเลยค่ะ
จนเราโตป่านนี้ เรายังไม่รู้เลยค่ะ ว่า ในเมื่อเราพูดความจริงแล้วทำไมถึงกลัวว่าความลับมันจะหลุด
เราก็นิสัยเหมือนแม่ ชอบนินทาใส่ไฟในบางเรื่องที่มันไม่จริง เราก็ยัดเยียดเขา และบอกคนที่เราเล่าให้ฟังเสมอว่าอย่าไปบอกใครนะ เพราะเขาจะเกลียดเรา ก็นั่นแหล่ะค่ะ ที่ไม่ให้บอกใครเพราะเรื่องบางเรื่องก็จริงเรื่องบางเรื่องก็ไส่ไฟให้เฉยๆ พอโดนจับได้ว่าโกหกเราก็ชอบแถว่าเราไปได้ยินมาจากคนนู้นคนนี้อีกที
จนถึงตอนนี้ในบางเรื่องที่แม่นินทาให้เราฟัง แม่ก็บอกเราว่าอย่าไปบอกใคร ทั้งๆที่เรารู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่แม่พูด บางเรื่องแม่ก็แค่ใส่ไฟ เราจะไม่รู้ได้ไงในเมื่อเราก็เป็นนิสัยนี้ ตอนเราโตขึ้นมา เราก็เพิ่งรู้ว่าเราได้นิสัยนี้มาจากใคร
นิสัยที่แย่ๆของเราอีกอย่างหนึ่งคือเป็นคนที่ขี้เกรงใจต่อคนที่ดูมีอิทธิพล ไม่ใช่เรื่องทรัพย์สิน แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นคนที่ดูมีอำนาจและท่าทีน่าเกรงขาม
ยอมรับว่าเราเคยกลัวบี เพราะบีเป็นคนที่มีอิทธิพลในห้อง กลัวว่าถ้าเราทำอะไรไม่ถูกใจบีแล้วบีจะเกลียดและพาลทำให้คนอื่นเกลียดเราไปด้วย ทำให้เราไม่กล้าพูด ไม่กล้าคุย ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ในบางเรื่องก็ต้องตามใจบีเพราะกลัวบีทำไม่ดีกับเราเหมือนตอนนั้น
เราเป็นคนที่ปากดูตรงๆ ดูโอดค่ะพูดตรงๆ แต่พอเจอบี เราชอบหลบสายตา ไม่กล้าและไม่อยากคุยด้วย เหมือนเราพูดว่าเราจะบอกบีว่าเราไม่ชอบ สุดท้ายเราก็ไม่กล้าบอกเพราะกลัวบีเกลียด ซึ่งนิสัยนี้ที่เราได้มา เราได้มาจากพ่อค่ะ
เราว่าพ่อก็เป็นคนที่ดีคนนึงนะคะ เขารักพวกญาติพี่น้องและดูแลครอบครัวดีค่ะ ตอนที่แม่อกเราว่าพ่อดูแลครอบครัวไม่ดี เรายังเถียงเลยค่ะว่าผู้ชายแบบพ่อจะหาได้จากที่ไหนได้อีก แต่ทุกคนล้วนมีข้อเสีย ข้อเสียที่เราเกลียดมากที่สุดของพ่อ คือ เป็นคนที่รักญาติของเขามากเกินไป เราไม่ได้รู้สึกอิจฉา และทุกคนคงคิดว่าเขาจะรักญาติของเขาก็ไม่แปลก เพราะสายเลือดเดียวกัน แต่เรื่องบางเรื่องที่ฝ่ายญาติผิด พ่อมักจะมองเราและแม่ผิดก่อนเสมอและคิดว่าญาติถูก ทั้งๆที่ญาติผิด แต่พอเราเถียงเขาก็ด่าเรา ญาติของพ่อไม่ชอบแม่เรา ย่าไม่ชอบแม่เราและครอบครัวทางฝั่งพ่อก็ไม่ค่อยชอบแม่เรา แม่เราก็ไม่ชอบย่าเราเหมือนกัน เรารู้ความจริงตรงที่แม่ไม่ได้เกลียดย่าหรอกแต่แม่แค่กลัวย่าไม่รัก กลัวย่าเกลียดแม่ เท่านั้นเอง เราเองก็เป็น เราเลยรู้ว่าแม่คิดอะไร เรานิสัยเหมือนกับแม่เกือบทุกอย่าง
ญาติบางคนก็ชอบนินทาพ่อตอนที่พ่อไม่อยู่เราเคยได้ยิน เราเลยเอาไปบอกพ่อ แต่พ่อกลับบอกว่าพ่อผิดเอง สมควรโดนนินทาอยู่แล้ว เราเองก็คิดเหมือนกันว่าทำไมเวลาที่ญาติของพ่อผิด พ่อไม่คิดที่จะพูดตำหนิหรือนินทาพวกเขาสักนิดเชียว?
พ่อก็นิสัยเหมือนแม่ตรงที่พ่อเองก็กัวญาติทางฝ่ายพ่อไม่รัก
พ่อคิดเสมอว่าทำอะไรต้องไม่เกินหน้าเกินตาญาติเพราะพ่อกลัวว่าญาติจะคิดว่าพ่อประจบประแจงปู่กับย่า ทำให้เวลาซื้อของมาให้ปู่กับย่า พ่อเลยต้องบอกว่าช่วยกันซื้อกับญาติทั้งๆที่พ่อเป็นคนซื้อแค่คนเดียว
พ่อเป็นเด็กดีของย่าและเชื่อฟังย่ามาตลอด แต่บางทีที่แม่ทะเลาะกับย่า บางเรื่องย่าก็ผิดแต่พ่อก็มองว่าที่ย่าทำมันสมควรแล้วที่แม่จะต้องได้รับ เราเป็นคนที่รู้ความจริงทุกอย่างและคิดว่าสิ่งที่ย่าทำมันก็เกินไป ส่วนพ่อก็ไม่คิดจะฟังแม่เลยสักนิด
เราเคยเกลียดย่าเพราะแม่ชอบมานินทาย่าให้เราฟังบ่อยๆว่าเมื่อก่อนย่าเคยปฏิบัติตัวกับพวกเราอย่างไร ทำให้เราที่รักย่ามากเกลียดย่าได้
แม่มักจะเป็นแบบนี้คือสามารถพูดให้คนอื่นเกลียดอีกฝ่ายได้ ซึ่งเราก็ได้นิสัยนี้มา
และได้มาอีกอย่างคือชอบโยงอดีต เราเป็นคนที่จำลึกฝังใจซึ่งก็นิสัยเหมือนกับแม่เป๊ะ แต่พ่อเป็นพวกลืมง่ายไม่ค่อยเก็บมาคิด ซึ่งแฝดเราได้นิสัยพ่อเราไปค่ะ
และข้อเสียของพ่ออีกอย่างคือพ่อเป็นคนที่ไม่รักษาคำพูดค่ะ บางเรื่องเขาน่าจะทำให้เราตามที่เขาสัญญาไว้บ้างแต่ก็ไม่
ความจริงเรื่องที่เราเครียดมันมีมากกว่านี้ แต่เราคิดว่าตอนนี้เราก็สบายใจมากขึ้นแล้วจากการมานั่งระบายนี้
เราเครียดมากจนเคยขอพ่อไปหาจิตแพทย์ แต่พ่อบอกว่าราคาสูงมาก ถ้าครียดอะไรบอกพ่อดีกว่า พ่อรับฟังเราตลอด
แต่เราคิดว่าเราอยากหาจิตแพทย์มากกว่า เราไม่อยากมานั่งปั้นยิ้ม ทำตัวดีให้สมกับการเป็นเด็กดี หรือระมังระวังในการระบาย เพราะเราคิดว่าจิตพทย์ก็เหมือนคนแปลกหน้าคนหนึ่งที่พร้อมจะฟังปัญหาของเรา แล้วจึงให้คำแนะนำเรา ไม่ใช่พูดแทรกตอนที่เรายังระบายไม่หมด
เมื่อเราคุยกับคนแปลกหน้า เราไม่จำเป็นต้องระวังอะไรเลย ในเมื่อเขาไม่รู้จักคนที่เราพูดถึง และเขาไม่ได้เป็นคนที่เราระบายถึง เราจึงคิดว่าการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการไปพบจิตแพทย์
ท้ายสุดนี้ นี่คือเรื่องที่เราเครียดมาโดยตลอด เราไม่รู้ว่าจะหาทางออกตรงไหนดี เพราะจนป่านนี้ พ่อของเราก็ยังไม่ได้ติดต่อจิตแพทย์
เราจึงนำมาระบายในนี้ก่อนค่ะ และหวังคุณพ่อคุณแม่ทุกคนที่เข้ามาอ่านนี้ คิดให้ดีว่าเราเลี้ยงลูกดีแล้วหรือยัง ลูกของเราดูมีความสุข แต่ความจริงแล้วมันก็แค่หน้ากากที่ซ่อนความทุกข์ไว้ในใจ เราไม่อยากให้ลูกของคุณมีนิสัยเหมือนกับเรา และต้นเหตุปัญหาเราคิดว่าเกิดจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่
อย่าทำให้ลูกของคุณเป็นคนเก็บกดเหมือนกับเราเลยนะคะ
รักเขาให้มากๆและเลือกสิ่งที่ดีให้กับเขาโดยอย่าลืมว่าชีวิตเป็นของเขา เราเป็นคนเลี้ยง เราปลูกฝังสิ่งที่ดีพ่อแต่ไม่ต้องวาดฝันหรือติดปีกให้เขา
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
เครียด+ระบายชีวิตวัยรุ่น
เราชื่อบิวนะคะ เพิ่งอยู่ม.ปลาย ที่รรแห่งหนึ่งเขตกรุงเทพ
ความจริงเราอยากตั้งกระทู้สนทนามาก แต่เราไม่ได้ยืนยันตัวตนโดยใช้บัตรประชาชนค่ะ เลยได้แค่ตั้งกระทู้คำถามเท่านั้น
วัยรุ่น เป็นวัยที่อารมณ์เปลี่ยนง่าย ใช่มั้ยคะ?
ตอนประถม เราเป็นคนหนึ่งที่คิดว่าตัวเองเป็นคนที่มีความสุขมากที่สุดในโลกของเรา เรามีเพื่อนมากมายตั้งแต่อนุบาลยันประถม เราเป็นเด็กเต้นรำทำเพลงของโรงเรียนอยู่แล้ว ทำให้มีเพื่อนเยอะ แต่การประพฤติของเราก็แย่มากๆ
เรามีปัญหากับเด็กผู้ชายในห้อง ไม่ใช่เรื่องชู้สาวนะคะ แต่เพราะเขาชอบมาล้อชื่อพ่อชื่อแม่ของเราค่ะ5555
อีกอย่างหนึ่งคือเรามีพี่ค่ะ พี่เราเป็นคนนิสัยดีค่ะในสายตาคนอื่นๆ สำหรับเรา เรายังว่าเขาเป็นคนดีเลย เรารู้สึกว่าเขาดีกว่าเราทุกเรื่อง ทั้งการเรียน นิสัย และหน้าตา
แต่อย่างว่า บางทีก็ทำให้เรารู้สึกลำบากใจ เป็นส่วนเกิน
เราเคยชอบผู้ชายคนนึงเป็นรุ่นพี่ แต่รุ่นพี่คนนั้นบอกว่าเขาไม่ได้ชอบเรา แต่เขาชอบพี่เรา
ตอนนั้นก็รู้สึกเสียใจค่ะ ซึมไปเลย นี่ขนาดรักวัยประถมนะคะ555
หรือแม้กระทั่งการเรียน เราเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน พ่อกับแม่บางทีเขาก็เผลอเปรียบเทียบ
เราเป็นคนที่เรียนแล้วหัวไวแค่บางวิชา และไม่ชอบเรียนบางวิชา ถ้าไม่ชอบวิชานั้นคะแนนเราก็จะแย่มาก
แต่พี่ของเราเป็นคนเรียนเก่งค่ะ คะแนนสอบออกมา พี่เราก็ทำได้ดีกว่าเราอยู่แล้ว บางทีพ่อก็ชอบมองเรื่องนี้และนำมาเปรียบเทียบ
ดังนั้นตอนขึ้นมัธยมต้น เราจึงเลือกตัดปัญหานี้โดยการขอพ่อเรียนแยกกับพี่ค่ะ
พ่อก็ตกใจแบบจะแยกจริงๆเหรอ อะไรประมาณนี้อ่ะค่ะ แต่เขาเคยคิดว่าเราขอแยกเพราะอยากเรียนโรงเรียนเดียวกับรุ่นพี่ผู้ชายคนนึงที่เราแอบชอบ
ตอนนั้นเราโกรธและงอนพ่อมาก ตอนนั้นอยู่แค่ประถมเอง จะมาคิดอะไรแบบนี้ก็เกินไป ถึงจะชอบพี่เขาก็เถอะ55
ตอนมอต้น เราคิดว่าเป็นช่วงที่ดีสำหรับเราค่ะ แต่คิดว่าอาจจะยังดีไม่สุดเพราะเรื่องราวในรั้วโรงเรียนมันเกิดขึ้นเยอะมากๆ
เราเจอเพื่อนหลากหลายประเภททั้งเพื่อนที่ดีและแย่ ทะเลาะกันก็บ่อย เคยโดนแบนมาแล้ว นินทาหรืออะไรอย่างนี้เจอมาหมดเลยค่ะ
ทำให้เรา จากเด็กที่เคยร่าเริงกลายเป็นเด็กที่ไม่ค่อยพูด แต่ไม่ใช่ว่าถามอะไรแล้วไม่ตอบนะคะ แต่เพียงชอบฟังเพื่อนในแก๊งเม้าท์มากกว่าที่จะเม้าท์คนอื่นให้เพื่อนฟัง ตอนนั้นที่เคยทะเลาะกับเพื่อนที่ฝังใจสุดๆก็ตอนม.2ค่ะ เทอมแรกเป็นช่วงที่ชีวิตสนุกมาก ดีมาก แต่ทะเลาะกับเพื่อนในกลุ่มคนนึง แทนชื่อว่า เอ นะคะ เอไม่ชอบเราเพราะเราไปแย่งเพื่อนสนิทของเอ และเราเพิ่งเข้ากลุ่มนี้มาไม่นาน ทำให้คนในกลุ่มไม่สนิทกันเหมือนแต่ก่อน ซึ่งอันนี้เป็นเหตุผลที่ออกมาจากปากจริงๆของเอตอนเคลียร์ปัญหานี้กัน เอเอาเราไปว่า นินทาก็ทำให้เราโกรธ จนตั้งตัสในไลน์แซะและเปลี่ยนภาพหน้าปกแซะนางค่ะ เราคิดว่าเราเป็นคนที่แรงๆนะคะ แต่ก็แอบเกรงใจเพื่อนที่มีอิทธิพลในกลุ่ม และเป็นคนที่อวดว่าตัวเองไม่เป็นไร และวันต่อมา เพื่อนร่วมกลุ่มอีกคนหนึ่งชื่อบี ก็ทำปฏิกิริยาที่ไม่ดีต่อเราค่ะ บีกับเอสนิทกันค่ะจะสนิทกันมากเมื่อมีเรื่องนินทาคนอื่น บีเคยสนิทกับเราตอนประถมค่ะ แต่ตอนขึ้นมอต้นก็ไม่ได้สนิทกัน บีแอบสะบัดขาเตะเราตอนที่เรานั่งอยู่ค่ะ ตอนกลางวันนางก็มานั่งข้างเราแล้วแอบเบ้ปากให้ เรานี่ไม่รู้จะทำอะไรต่อดี ในใจก็คิดนะคะว่า เอ้ เราก็ไม่ได้ทะเลาะกับบีนี่นา แต่ทะเลาะกับเอ ทำไมบีต้องมายุ่งด้วย แล้วตอนที่มันถึงขีดจริงๆ พวกเราก็มานั่งปรับทุกข์กัน ใครไม่ชอบใคร บอกตามตรงอะไรประมาณนี้ เราก็ไม่กล้าบอกว่าเราไม่ชอบบีค่ะเพราะไม่อยากให้เกิดปัญหา ยังไงก็เคยเป็นเพื่อนกัน แต่ถึงยังไง เราก็ยังเก็บมันฝังใจไว้จนถึงตอนนี้ เราไม่เคยโดนปฏิบัติแบบนี้ และเคยโดนกระทำแบบนี้มาก่อน มีแต่เราเองที่ชอบทำสิ่งแย่ๆแบบนี้ใส่คนอื่น จนพอโดนกับตัวแล้ว รู้สึกจุกมากกว่า เวรกรรมมันมีจริงๆค่ะ
ตั้งแต่ตอนนั้นมาเราก็ตั้งปฏิฏาณแก่ตัวเองว่าจะไม่ทำนิสัยแบบนั้นอีก
กลายเป็นว่าเราเป็นคนที่โดนเมิน เพื่อนไม่ชอบ เพื่อนไม่คบมากกว่าเดิม เพราะเขาบอกว่าเราเปลี่ยนไป เราพูดน้อยลง เรียบร้อยขึ้น ไม่ค่อยกล้าแสดงความคิดเห็นเพราะกลัวโดนเกลียด และตอนนี้เราก็เพิ่งเข้าใจตัวเองว่าเรากลัวเพื่อนเกลียดขนาดไหน
เรายอมรับว่าเราเป็นคนที่ขี้นินทา และชอบใส่ไฟให้กับคนที่เราไม่ชอบ เราเป็นคนที่ขี้โกหกด้วยในบางเรื่อง แถมยังขี้โมโหมากๆ
เราคิดมาตลอดว่านิสัยแบบนี้เราควรจะทิ้งมันไปสักที ทำไมเราถึงทำไม่ได้ตลอด เรารู้สึกควบคุมตัวเองไม่ได้ และคิดว่าตัวเองมักอยู่ในฝ่ายถูกกระทำและเป็นคนถูกเสมอ เรามักตั้งตัวเองเป็นใหญ่ ถ้าจะให้สาธยายความแย่ของเราเองก็คงไม่หมด
เราเพิ่งมารู้ตัวว่าตัวเองนิสัยเหมือนใครตอนเมื่อเราขึ้นม.ปลาย
เรามาสอบเข้าโรงเรียนเดียวกับพี่ เราเพิ่งรู้ว่าพี่ไม่ได้ดีมากอย่างที่เราเคยคิดไว้
ตอนม.ต้น เราอยู่กันคนละโรงเรียนกับพี่ทำให้เราไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ แต่ก็ยังสนิทเหมือนเดิมแค่เรื่องบางเรื่องเราก็ไม่ได้บอก
พี่ก็นิสัยเหมือนกับเราเพียงแต่เป็นคนที่ไม่ค่อยขี้โมโหเท่าไหร่ แต่นิสัยที่เราเกลียดมากที่สุด คือกลัวคนเกลียด จะให้พูดอีกด้านก็คือ ไม่อยากเป็นคนผิด เราจะโยนขี้ให้ใครก็ได้ยกเว้นตัวเอง และนิสัยนี้เป็นนิสัยที่ฉันเกลียดพอๆกับนิสัยขี้โกหกและขี้โมโหของตัวเอง เรารู้ว่าแท้จริงแล้วฉันได้นิสัยนี้มาจาก แม่ของเราเอง ตั้งแต่เด็ก เรามักมองเห็นแม่เป็นคนขี้โมโห เวลาเราทำอะไรผิดนิดหน่อยท่านก็ตบปากและตีเรา เรื่องบางเรื่องเราไม่ผิด แต่ท่านก็พยายามทำให้เราดูเป็นคนผิดจนได้แต่ท่านไม่ผิด สิ่งที่เราจำฝังใจมากที่สุดคือ เราเคยโดนแม่พาไปตบหน้าเรื่องที่เราเอาเรื่องที่แม่นินทาเขาให้เราฟัง เขาพยายามยัดเยียดให้เราพูด ในตอนนั้นเราอายุประมาณ 4 ขวบเอง เราเลยเล่าไปให้เขาฟังหมด เขาบอกว่าเล่ามาเถอะ ไม่ต้องกลัวหรอก สุดท้ายแล้วเราก็โดนแม่ตบหน้าอยู่ดีโทษฐานเอาเรื่องนี้ไปบอกเขา เราเดาว่าคนที่เอาไปบอกว่าเราเล่าให้เขาฟังว่าแม่นินทาเขาว่าอะไรบ้าง น่าจะเป็นพ่อ ตอนนั้นพ่อทะเลาะกับแแม่และพ่อน่าจะโมโหที่แม่พูดถึงเขา ซึ่งเป็นญาติของพ่อ และตัวพ่อไม่ดี ซึ่งตอนเราเล่าให้เขาฟัง พ่อก็นั่งฟังอยู่ด้วย แม่น่าจะรู้ตอนที่พ่อทะเลาะกับแม่แล้วพ่อพูดว่าเพราะเราเป็นคนบอก นั่นแหล่ะค่ะ ครอบครัวของเราทะเลาะกันตั้งแต่เรายังเด็กจนเราอยู่ม.ปลายแล้ว พวกเขายังไม่หยุดทะเลาะกันเลยค่ะ
จนเราโตป่านนี้ เรายังไม่รู้เลยค่ะ ว่า ในเมื่อเราพูดความจริงแล้วทำไมถึงกลัวว่าความลับมันจะหลุด
เราก็นิสัยเหมือนแม่ ชอบนินทาใส่ไฟในบางเรื่องที่มันไม่จริง เราก็ยัดเยียดเขา และบอกคนที่เราเล่าให้ฟังเสมอว่าอย่าไปบอกใครนะ เพราะเขาจะเกลียดเรา ก็นั่นแหล่ะค่ะ ที่ไม่ให้บอกใครเพราะเรื่องบางเรื่องก็จริงเรื่องบางเรื่องก็ไส่ไฟให้เฉยๆ พอโดนจับได้ว่าโกหกเราก็ชอบแถว่าเราไปได้ยินมาจากคนนู้นคนนี้อีกที
จนถึงตอนนี้ในบางเรื่องที่แม่นินทาให้เราฟัง แม่ก็บอกเราว่าอย่าไปบอกใคร ทั้งๆที่เรารู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่แม่พูด บางเรื่องแม่ก็แค่ใส่ไฟ เราจะไม่รู้ได้ไงในเมื่อเราก็เป็นนิสัยนี้ ตอนเราโตขึ้นมา เราก็เพิ่งรู้ว่าเราได้นิสัยนี้มาจากใคร
นิสัยที่แย่ๆของเราอีกอย่างหนึ่งคือเป็นคนที่ขี้เกรงใจต่อคนที่ดูมีอิทธิพล ไม่ใช่เรื่องทรัพย์สิน แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นคนที่ดูมีอำนาจและท่าทีน่าเกรงขาม
ยอมรับว่าเราเคยกลัวบี เพราะบีเป็นคนที่มีอิทธิพลในห้อง กลัวว่าถ้าเราทำอะไรไม่ถูกใจบีแล้วบีจะเกลียดและพาลทำให้คนอื่นเกลียดเราไปด้วย ทำให้เราไม่กล้าพูด ไม่กล้าคุย ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ในบางเรื่องก็ต้องตามใจบีเพราะกลัวบีทำไม่ดีกับเราเหมือนตอนนั้น
เราเป็นคนที่ปากดูตรงๆ ดูโอดค่ะพูดตรงๆ แต่พอเจอบี เราชอบหลบสายตา ไม่กล้าและไม่อยากคุยด้วย เหมือนเราพูดว่าเราจะบอกบีว่าเราไม่ชอบ สุดท้ายเราก็ไม่กล้าบอกเพราะกลัวบีเกลียด ซึ่งนิสัยนี้ที่เราได้มา เราได้มาจากพ่อค่ะ
เราว่าพ่อก็เป็นคนที่ดีคนนึงนะคะ เขารักพวกญาติพี่น้องและดูแลครอบครัวดีค่ะ ตอนที่แม่อกเราว่าพ่อดูแลครอบครัวไม่ดี เรายังเถียงเลยค่ะว่าผู้ชายแบบพ่อจะหาได้จากที่ไหนได้อีก แต่ทุกคนล้วนมีข้อเสีย ข้อเสียที่เราเกลียดมากที่สุดของพ่อ คือ เป็นคนที่รักญาติของเขามากเกินไป เราไม่ได้รู้สึกอิจฉา และทุกคนคงคิดว่าเขาจะรักญาติของเขาก็ไม่แปลก เพราะสายเลือดเดียวกัน แต่เรื่องบางเรื่องที่ฝ่ายญาติผิด พ่อมักจะมองเราและแม่ผิดก่อนเสมอและคิดว่าญาติถูก ทั้งๆที่ญาติผิด แต่พอเราเถียงเขาก็ด่าเรา ญาติของพ่อไม่ชอบแม่เรา ย่าไม่ชอบแม่เราและครอบครัวทางฝั่งพ่อก็ไม่ค่อยชอบแม่เรา แม่เราก็ไม่ชอบย่าเราเหมือนกัน เรารู้ความจริงตรงที่แม่ไม่ได้เกลียดย่าหรอกแต่แม่แค่กลัวย่าไม่รัก กลัวย่าเกลียดแม่ เท่านั้นเอง เราเองก็เป็น เราเลยรู้ว่าแม่คิดอะไร เรานิสัยเหมือนกับแม่เกือบทุกอย่าง
ญาติบางคนก็ชอบนินทาพ่อตอนที่พ่อไม่อยู่เราเคยได้ยิน เราเลยเอาไปบอกพ่อ แต่พ่อกลับบอกว่าพ่อผิดเอง สมควรโดนนินทาอยู่แล้ว เราเองก็คิดเหมือนกันว่าทำไมเวลาที่ญาติของพ่อผิด พ่อไม่คิดที่จะพูดตำหนิหรือนินทาพวกเขาสักนิดเชียว?
พ่อก็นิสัยเหมือนแม่ตรงที่พ่อเองก็กัวญาติทางฝ่ายพ่อไม่รัก
พ่อคิดเสมอว่าทำอะไรต้องไม่เกินหน้าเกินตาญาติเพราะพ่อกลัวว่าญาติจะคิดว่าพ่อประจบประแจงปู่กับย่า ทำให้เวลาซื้อของมาให้ปู่กับย่า พ่อเลยต้องบอกว่าช่วยกันซื้อกับญาติทั้งๆที่พ่อเป็นคนซื้อแค่คนเดียว
พ่อเป็นเด็กดีของย่าและเชื่อฟังย่ามาตลอด แต่บางทีที่แม่ทะเลาะกับย่า บางเรื่องย่าก็ผิดแต่พ่อก็มองว่าที่ย่าทำมันสมควรแล้วที่แม่จะต้องได้รับ เราเป็นคนที่รู้ความจริงทุกอย่างและคิดว่าสิ่งที่ย่าทำมันก็เกินไป ส่วนพ่อก็ไม่คิดจะฟังแม่เลยสักนิด
เราเคยเกลียดย่าเพราะแม่ชอบมานินทาย่าให้เราฟังบ่อยๆว่าเมื่อก่อนย่าเคยปฏิบัติตัวกับพวกเราอย่างไร ทำให้เราที่รักย่ามากเกลียดย่าได้
แม่มักจะเป็นแบบนี้คือสามารถพูดให้คนอื่นเกลียดอีกฝ่ายได้ ซึ่งเราก็ได้นิสัยนี้มา
และได้มาอีกอย่างคือชอบโยงอดีต เราเป็นคนที่จำลึกฝังใจซึ่งก็นิสัยเหมือนกับแม่เป๊ะ แต่พ่อเป็นพวกลืมง่ายไม่ค่อยเก็บมาคิด ซึ่งแฝดเราได้นิสัยพ่อเราไปค่ะ
และข้อเสียของพ่ออีกอย่างคือพ่อเป็นคนที่ไม่รักษาคำพูดค่ะ บางเรื่องเขาน่าจะทำให้เราตามที่เขาสัญญาไว้บ้างแต่ก็ไม่
ความจริงเรื่องที่เราเครียดมันมีมากกว่านี้ แต่เราคิดว่าตอนนี้เราก็สบายใจมากขึ้นแล้วจากการมานั่งระบายนี้
เราเครียดมากจนเคยขอพ่อไปหาจิตแพทย์ แต่พ่อบอกว่าราคาสูงมาก ถ้าครียดอะไรบอกพ่อดีกว่า พ่อรับฟังเราตลอด
แต่เราคิดว่าเราอยากหาจิตแพทย์มากกว่า เราไม่อยากมานั่งปั้นยิ้ม ทำตัวดีให้สมกับการเป็นเด็กดี หรือระมังระวังในการระบาย เพราะเราคิดว่าจิตพทย์ก็เหมือนคนแปลกหน้าคนหนึ่งที่พร้อมจะฟังปัญหาของเรา แล้วจึงให้คำแนะนำเรา ไม่ใช่พูดแทรกตอนที่เรายังระบายไม่หมด
เมื่อเราคุยกับคนแปลกหน้า เราไม่จำเป็นต้องระวังอะไรเลย ในเมื่อเขาไม่รู้จักคนที่เราพูดถึง และเขาไม่ได้เป็นคนที่เราระบายถึง เราจึงคิดว่าการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการไปพบจิตแพทย์
ท้ายสุดนี้ นี่คือเรื่องที่เราเครียดมาโดยตลอด เราไม่รู้ว่าจะหาทางออกตรงไหนดี เพราะจนป่านนี้ พ่อของเราก็ยังไม่ได้ติดต่อจิตแพทย์
เราจึงนำมาระบายในนี้ก่อนค่ะ และหวังคุณพ่อคุณแม่ทุกคนที่เข้ามาอ่านนี้ คิดให้ดีว่าเราเลี้ยงลูกดีแล้วหรือยัง ลูกของเราดูมีความสุข แต่ความจริงแล้วมันก็แค่หน้ากากที่ซ่อนความทุกข์ไว้ในใจ เราไม่อยากให้ลูกของคุณมีนิสัยเหมือนกับเรา และต้นเหตุปัญหาเราคิดว่าเกิดจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่
อย่าทำให้ลูกของคุณเป็นคนเก็บกดเหมือนกับเราเลยนะคะ
รักเขาให้มากๆและเลือกสิ่งที่ดีให้กับเขาโดยอย่าลืมว่าชีวิตเป็นของเขา เราเป็นคนเลี้ยง เราปลูกฝังสิ่งที่ดีพ่อแต่ไม่ต้องวาดฝันหรือติดปีกให้เขา
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ