กระทู้นี้เราจะมารีวิวจากประสบการณ์ตรงค่ะ ตกหล่นอันไหนขออภัยไว้ก่อนเลยนะคะ
เรามาเรียน ป.โท ที่ประเทศมอลต้า ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศกลุ่มเชงเก้น ต่อมาเราลองไปเป็นอาสาสมัครที่ SPCA ตอนแรกก็ทำแค่เล่นกับแมว และพาหมาเดิน แต่พอไปถึงครั้งแรกมีลูกหมาตัวนึงเห่าเรียกร้องความสนใจอย่างหนัก ชนิดที่เห่าตอนเข้ามา พอเราไปพาหมาตัวใหญ่เดินเสร็จ เราก็ล้างมือ และไปเล่นกับแมว นางก็เห่าเรียก ห้องนางจะอยู่ตรงข้ามกันกับห้องแมว นางเห็นเราเล่นกับแมวแล้วนางอิจฉา จนตอนก่อนกลับเราเลยยอมใจนางแวะไปนิดนึง เท่านั้นแหละถูกชะตาอย่างแรง น่ารักขนาดนั้น มาจุ๊บๆ ประจบแรงเต็มที่มาก หลังจากนั้นเราก็ไป SPCA ทุกวันเสาร์ก่อนคะ จนได้รับรู้เรื่องราวของเจ้าหมาตัวนี้
นางมีชื่อว่าป็อปอาย เพศผู้ พันธุ์ Miniature Fox Terrier นั่นก็คือ Fox Terrier มินิ นั่นเองค่ะ นางเป็นหมาไร้ไมโครชิพ เจ้าของของนางอยู่ในคุก!!!!!! ตอนนั้นนางอายุได้ 4เดือน SPCA ช่วยนางออกมาจากโรงรถ ซึ่งนางถูกขังไว้กับหมาใหญ่อีก 2ตัว คุณป้าที่ SPCA บอกว่าตอนแรกที่นางมาถึง นางกินข้าว 4มื้อ เพราะนางหิวโหยมาก อยู่โรงรถหมาใหญ่แย่งกินหมด เราก็เกิดความสงสารมากๆ และเนื่องจากก่อนหน้าเราได้บินไปเที่ยวอิตาลี แล้วเจอคนนำหมาขึ้นเครื่องบิน เราเลยค้นคว้าหาข้อมูล ซึ่งพันธุ์ของนางน้ำหนักเฉลี่ยจะไม่เกิน 6กิโลกรัม ซึ่งข้อกำหนดของสายการบินส่วนใหญ่ที่อนุญาตินำหมาขึ้นเครื่องได้ น้ำหนักของน้องหมารวมกับกระเป๋าหรือกล่องบรรจุรวมกันจะต้องไม่เกิน 8กิโลกรัม มีบางสายให้ถึง 10กิโลกรัม แต่มีไม่มากค่ะ
จากนั้นเราก็ไปคุยกับ ผจก. SPCA เรื่องจะขอรับเลี้ยงป็อปอาย ด้วยความที่นางยังเป็นลูกหมา นางยังต้องฉีดวัคซีน ทำหมัน(แอบสงสาร เพราะเราคิดว่านางเด็กเกินที่จะทำ) และฝังไมโครชิพ ซึ่ง SPCA จะเป็นคนดำเนินเรื่องทั้งหมด และแน่นอนว่ามันช้ามาก คหสต.เราว่าคนยุโรปทุกที่ทำงานช้า เราคิดว่าเป็นเพราะระบบ benefit ทำให้คนแถบนี้ไม่ค่อยต้องดิ้นรน ทำให้ชีวิตไม่เร่งรีบเท่าอีกหลายๆที่ เราเคยอยู่อเมริกา กับออสเตรเลีย มาช่วงนึงเรารู้สึกว่าคนยุโรปทำอะไรช้ากว่ามากๆ มาที่เรื่องป็อปอายต่อ เรารอทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ ใช้เวลาไป 1เดือนค่ะ (นี่ขนาดตามจี้) ในช่วง 1เดือนนั้น SPCA จะส่งคนมาเช็คที่อยู่ ซึ่งเราอยู่อพาทเมนท์ห้อง studio ค่ะ เค้าจะพาน้องหมามาด้วย เพื่อดูว่าน้องหมาชอบมั้ย ตอนที่เค้ามาเค้าอึ้งมากๆ เพราะเราซื้อของเล่น ซื้อที่นอน ซื้อผ้าห่มไว้รอแล้ว555 ป็อปอายดีใจมากๆ วิ่งคาบของเล่นก่อนเลย จากนั้นไม่กี่นาทีนางก็เศร้า เพราะนางต้องกลับไปอยู่ที่ SPCA จนกว่าเรื่องจะดำเนินเสร็จ คนรับเลี้ยงต้องไปใช้เวลากับน้องหมา 3ครั้ง เป็นอย่างต่ำในระหว่างที่น้องหมาอยู่ที่ศูนย์ ซึ่งเราไปทุกวันค่ะ ไปจี้ไปกดดันไปหาทุกวัน ดู๊ ดู ยังให้เรารอได้เป็นเดือน อ้อ ลืมบอกไปว่าตอนแรกเจ้าของนางที่อยู่ในคุกจะไม่ยอมโอนสิทธิ์ให้เราด้วย ญาติพี่น้องที่อยู่นอกคุกก็ติดต่อย๊ากยาก (จิตใจทำด้วยอะไร) เจ้าของเก่าเค้าบอกว่าจะให้อยู่กับลูกสาว จะไม่ให้อยู่ในโรงรถแล้ว จนพอเจ้าของออกจากคุกมาที่ SPCA ก็เปลี่ยนใจไม่เอา ถือว่าโชคดีสุดๆ เราไม่แน่ใจว่าลูกของเจ้าของคนเก่าเคยทำอะไรป็อปอายมั้ย เพราะป็อปอายเกลียดเด็กเล็กมากๆในช่วงแรก แค่เด็กวิ่งเล่นกัน นางก็จะเห่า จะขู่ จะโถมเข้า เราต้องคอยห้ามคอยสอน แต่ตอนนี้หายไปแล้วค่ะนิสัยนั้น
มาเข้าเรื่องการเดินทางโดยเครื่องบินกับน้องหมา เราพยายามฝึกป็อปอายหลายอย่างค่ะ เพื่อที่นางจะได้ไม่รบกวนคนอื่น และเพื่อให้นางสามารถไปกับเราได้ทุกที่ เช่น ฝึกอยู่ในกล่องหรือกระเป๋า ฝึกขับถ่ายบนนสพ. ฝึกให้ไม่เห่าพร่ำเพรื่อ ซึ่งนางก็เรียนรู้ได้เป็นอย่างดี แต่มีอย่างนึงที่ยังแก้ไม่หาย คือเรื่องกลัวเสียงรถ บางทีเสียงรถเครื่องดังๆ นางจะถอยจะหลบ บางทีหวิดจะโดนคนที่เดินบนถนนด้วยกันเตะแบบไม่ได้ตั้งใจ ยังไม่เคยโดนจังๆ แต่เกือบหลายครั้งแล้ว เราเข้าใจว่านางมีความทรงจำแย่ๆกับรถ เพราะนางเคยถูกขังไว้ในโรงรถกับหมาใหญ่อีก 2ตัว มาก่อน เราก็พยายามสอนนางค่ะ นางก็ดีขึ้น แต่พัฒนาการเรื่องนี้ช้ามาก(เมื่อเทียบกับอย่างอื่นที่นางเรียนรู้ได้ไวเวอร์) เพื่อนๆมีทริคอะไรแนะนำกันมาได้นะคะ เผื่อเราจะใช้สอนป็อปอายบ้าง อิอิ
ก่อนอื่นเลยต้องเช็คว่าการจะไปประเทศนั้นๆต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง ในยุโรปจะง่ายหน่อย เพราะมี EU pet passport เป็นตัวกลาง ราคาตอนทำเราไม่แน่ใจราคาค่ะ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ €54 ค่ะ สามารถทำได้ที่ pet clinic ที่มีสัตวแพทย์ที่ถูกรับรองให้ออก passport ได้เลยค่ะ โดยน้องหมาต้องได้รับวัคซีนกันพิษสุนัขบ้าก่อนบินอย่างน้อย 21วัน เข็มนึงนึงมีอายุเป็นปีๆ เพราะฉะนั้นไม่ต้องฉีดบ่อย แต่ที่ต้องทำและต้องวางแผน คือการเช็คร่างกาย ต้องพาน้องหมาไปหาสัตวแพทย์ก่อนบิน 1-5วัน ครั้งแรกเราไม่รู้ว่าเค้านับเป็นชั่วโมงเลย เราพาป็อปอายไปหาหมอวันก่อนบินช่วงเย็นๆ ซึ่งเราจะบินวันถัดไปช่วงเช้า คุณหมอใจดีค่ะ บันทึกเวลาเป็นช่วงเช้าให้ เพราะมันต้องอย่างน้อย 24ชม. ก่อนบิน แต่ไม่เกิน 5วันก่อนบิน
ทีนี้ มีอีกอย่างค่ะ คือในกรณีทริปยาว ทริปแรกของเราไปแค่ 4วัน เลยไม่ต้องทำอะไรก่อนกลับค่ะ แต่ทริปต่อมาไปเกินกว่านั้น เราเดินทางไปกรีซค่ะ เราต้องพาป็อปอายไปหาหมอที่กรีซเพื่อเช็คร่างกายก่อนกลับอีกทีนึง และถึงแม้จะมี EU passport แต่ requirement บางอย่างมีความแตกต่างค่ะ ที่เราทราบนี่น้องหมาต้องทานยา worming ก่อนเข้ามอลต้า อังกฤษ ไอร์แลนด์ 1-5วัน เวลาไปเช็คร่างกายกับหมอที่ประเทศอื่นก่อนที่จะกลับมอลต้า ต้องเตือนหมอเรื่องยา worming ด้วย เพราะหมอต้องบันทึกไปใน passport ของน้องหมาค่ะ ค่าใช้จ่ายถ้าแค่ตรวจร่างกายจะประมาณ €10 ค่ะ แต่ถ้าต้องจ่ายยา wormimg ด้วย จะตกที่ประมาณ €18 ค่ะ
ครั้งแรกเราเดินทางไปปารีส โดยสายการบิน Transavia ค่ะ จากนั้นเรานั่งรถไปไปสวิส และเดินทางกลับมอลต้า จากซูริค โดยสายการบิน Swiss ครั้งนี้ปวดหัวค่ะ เพราะแต่ละสายการบินกำหนดขนาดของกล่องบรรจุหมาไม่เหมือนกัน เริ่มที่ Transavia ในเว็บบอกใช้ kennel or bag เราสอบถาม call center บอก bag ไม่ได้ ง่ายๆคือเค้าไม่ให้ถ้าเป็นบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน แต่ของ Swiss ขนาดกว้างยาวสูงไม่กำหนดค่ะ แต่บวกกันทุกด้านห้ามเกิน 118ซม. และต้องเป็นบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน ก็คือกระเป๋า แต่สำหรับขนาดเราไม่แน่ใจว่าเค้าเช็คละเอียดแค่ไหนนะคะ เพราะเราบินมา 6รอบ ไม่เคยเจอวัดเลย ขนาดที่รอบหลังนี่ใช้ขนาดใหญ่กว่าที่กำหนด ก็ไม่เห็นเค้าจะว่าอะไรกันเลย (แต่ยังไงเราก็พกกระเป่าที่ถูกไซส์ไปด้วยกันเหนียวทุกครั้งค่ะ) ครั้งแรกที่บินแอบงงกับ Swiss เพราะเราส่งรูปกล่องใส่น้องไปให้เค้าเช็ค เค้าก็บอกได้ พอหน้างานไม่ให้ค่ะ ต้องใส่กระเป๋าเท่านั้น ดีที่มีเตรียมไปค่ะ
การเดินทางโดยรถไฟในสวิส น้องหมาตัวเล็กขึ้นฟรีค่ะ แต่ต้องอยู่ในกล่องหรือกระเป๋า ถ้าเป็นน้องหมาตัวใหญ่ หรือเป็นตัวเล็กที่ไม่อยู่บรรจุภัณฑ์ ต้องซื้อตั๋วให้น้องหมาด้วย คาดว่าที่เยอรมัน และออสเตรียก็เช่นกัน เพราะเราเพิ่งจองรถไฟที่จะไเที่ยวทริปหน้า มีตั๋วหมาขายด้วย เราเลยซื้อให้ป็อปอายเลยเพราะนางรู้เรื่องขึ้นมากแล้ว ไม่ต้องให้อยู่ในกระเป่าให้หงุดหงิดใจนางแล้ว555 เราประทับใจสวิสอีกอย่าง คือน้องหมาเดินในห้างได้ค่ะ ป็อปอายได้เดินในห้างมาแล้วนะเออ แล้วเจอเพื่อนเยอะด้วย ฟินไปสิคะ555 ส่วนใหญ่ในยุโรปถ้าไม่ใช่ supermarket หรือร้านอาหาร น้องหมาจะได้เข้านะคะ อย่างน้อยก็อยู่ในประเป๋าได้ค่ะ ร้านอาหารนี่เราจะเลือกโซนที่มีเก้าอี้ข้างนอก น้องหมาก็อยู่ได้สบายๆค่ะ เคยเห็นรีวิวว่าร้านอาหารในสวิส และเยอรมัน จะมีที่ให้หมารอด้วย แต่เรายังไม่เคยเจอกับตัวเองค่ะ สถานที่ท่องเที่ยวไม่ใช่ทุกที่ที่น้องหมาจะเข้าได้นะคะ ต้องเช็คดีๆ อย่าง Acropolis ที่ Athens เราได้แค่อยู่ข้างล่าง ถ่ายรูปจากข้างล่าง555 แต่ Roman Forum ที่โรม ตอนเราไปนี่เห็นคนพาน้องหมาเดินว่อนเลย มีน้องหมาฉี่ใส่เสาใน Roman Forum ด้วยแหละ หุหุ
ทริปต่อมาเราไปกรีซค่ะ ไปเที่ยวเอเธนส์ และซานโตรินี่ ป็อปอายต้องอยู่ในกระเป๋าเท่านั้นค่ะ ไม่ว่าจะขึ้นรถอะไร ในสนามบินก็เดินไม่ได้ค่ะ ต้องอยู่ในประเป๋าตลอด ต่างจากที่ฝรั่งเศส สวิส และมอลต้า ที่นางเดินในสนามบินได้สบายๆ อ้อ ลืมเล่าขั้นตอนการผ่าน security control ต้องนำน้องหมาออกมาค่ะ กระเป๋าน้องหมาต้องถูกสแกน ส่วนตัวเราอุ้มหรือจูงน้องหมาผ่านประตูสแกนค่ะ ทริปกรีซเราประทับใจสายการบิน Aegean airlines แอร์เดินมาถามด้วยว่าต้องการน้ำให้น้องหมามั้ย สายอื่นไม่มีถาม แต่เราก็ปฏิเสธไปค่ะ เพราะก่อนขึ้นเครื่อง เราจะให้ป็อปอายดื่มน้ำ และขับถ่ายก่อนทุกครั้งอยู่แล้ว
หากต้องการเดินทางพร้อมน้องหมาบนเครื่องบิน ต้องแจ้งสายการบินก่อนอย่างน้อย 24ชม. ก่อนบิน แต่แนะนำให้จองหลังจากเราจองตั๋วของเราเสร็จแลยค่ะ เพราะในหนึ่งเที่ยวบิน อนุญาติให้น้องหมาขึ้นได้แค่ 2ตัว และอนุญาติผู้โดยสารหนึ่งคน ต่อน้องหมาหนึ่งตัวค่ะ เพราะฉะนั้น ถ้าช้า อาจมีน้องหมาตัวอื่นได้โควต้าไป บางสายการบินสามารถแจ้งผ่าน social network ได้ด้วย เช่า เราติดต่อ Transavia และ Swiss ผ่าน facebook ของสายการบินค่ะ ทริปต่อมา Aegean airlines โทรติดต่อ call center และ Volotea ทำรายการผ่าน contact center ทาง e-mail และทริปหน้าบินกับ Lufthansa ติดต่อผ่าน e-mail เช่นกันค่ะ ที่เราไม่ค่อยเลือกโทรเพราะเราฟังภาษาอังกฤษไม่เก่งค่ะ ถ้าไม่จำเป็นเราไม่โทรเด็ดขาด เดี๋ยวข้อมูลคลาดเคลื่อน เป็นปัญหากับเรามาเนิ่นนาน เราฟังสำเนียงได้ไม่หลากหลายค่ะ จำได้ว่าตอนไปออสเตรเลีย ครั้งแรกที่สั่งอาหาร แต่เราฟังเค้าไม่เข้าใจเลยค่ะ เค้าพูดหลายรอบกว่าเราจะเข้าใจ จะมีแค่ American accent ที่เราฟังได้เคลียร์ ตอนอยู่อเมริกา จองโรงแรม ตั๋วเครื่องบิน ทำธุรกรรมธนาคาร ผ่านโทรศัพท์ตลอด และรู้เรื่องลื่นไหล เวลาสอบไอเอล นี่เราจะกลัว listening ที่สุด เพราะเราไม่ถูกกับ accent อื่นที่ไม่ใช่ American เพราะฉะนั้นถ้าติดต่อผ่านช่องทางอื่นได้เราจะทำก่อน โทรคุยนี่คือวิธีสุดท้ายที่เราจะทำในช่วงที่อยู่ยุโรป
การเช็คข้อมูลของแต่ละสายการบิน เรื่องขนาดกระเป๋า แบบบรรจุภัณฑ์ วิธีการจองต่างๆนานา เราจะเช็คโดยการ search บน google ค่ะ โดยพิมพ์ชื่อสายการบิน ตามด้วยคำว่า pet policy เช่น thai airways pet policy ค่ะ อ้อไม่ใช่ทุกสายจะรับนะคะ สำหรับคนที่จะเดินทางเข้าอังกฤษ และไอร์แลนด์ กฏหมายเค้าจะห้ามไว้นะคะ น้องหมาจะไปได้โดยวิธี cargo และ check-in baggage ค่ะ มีอีกวิธีที่เราจะทำในปีหน้าที่เราจะไปเที่ยวอังกฤษ คือไปทางเรือ ซึ่งค่าใช้จ่ายเบากว่าวิธีจ้าง taxi หรือ เอเจนซี่ที่รับโดยสารผ่านทางรถไฟ Eurostar หรือ รถยนตร์ผ่าน Eurotunnel ค่ะ Eurostar เป็นรถไฟชนิดเดียวในแถบนี้ที่ไม่อนุญาติให้น้องหมาเดินทางค่ะ ส่วนทางเรือนี่ก็ต้องดูดีๆ เพราะหลายสายเค้าอนุญาติให้น้องหมาโดยสารบนรถยนตร์ของเรา นั่นหมายถึงถ้าคุณไม่ได้นำรถขึ้นเรือ ก็พาน้องหมาไปไม่ได้ค่ะ สายที่เราเพิ่งจองไปคือไปกลับจาก Hook of Holland เนเธอร์แลนด์ ไป Harwich International ของอังกฤษค่ะ ซึ่งเค้าจะมีห้องและกรงให้น้องหมาอยู่ โดยเราสามารถไปหาน้องหมาได้ตลอด และจะมีกล้องถ่ายทอดมายังห้องเราด้วยว่าน้องหมาเป็นอย่างไรบ้าง อันนี้คือข้อมูลที่หาค่ะ ได้นั่งจริงเมื่อไหร่จะมารีวิวอีกที
นี่คือสภาพของป็อปอายในขณะที่อยู่บนเครื่องบิน นางเก่งมากค่ะ เครื่องขึ้นลงนางงงๆ แต่ก็ไม่ตกใจ ไม่เห่า ไม่งอแงเลย น่ารักมากๆ
กระเป๋าใส่น้องหมาที่เรามี 4ใบ กรงอีก 2กรง ชนิดที่เรามีความคิดว่าถ้าเรียนจบกับไปนี่จะไปออกแบบกระเป่าใส่น้องหมาขายเองแล้ว เพราะซื้อมาหลายใบ เลือกมาหลายใบ และจะมีข้อเสียห้อยพ่วงมาทุกใบ ต้องแล้วแต่สถานการณ์ว่าจะใช้ใบไหน ถ้ามีคนสนใจอาจจะลงรายละเอียดให้อีกทีค่ะ เราไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่ กระทู้เราเลยอาจจะไม่ได้ประณีตมากนัก คือพิมพ์ครั้งเดียว รูปก็เอาเท่าที่มี แหะๆ
บอกเล่าประสบการณ์การ การเดินทางพร้อมน้องหมาบนเครื่องบินค่ะ
เรามาเรียน ป.โท ที่ประเทศมอลต้า ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศกลุ่มเชงเก้น ต่อมาเราลองไปเป็นอาสาสมัครที่ SPCA ตอนแรกก็ทำแค่เล่นกับแมว และพาหมาเดิน แต่พอไปถึงครั้งแรกมีลูกหมาตัวนึงเห่าเรียกร้องความสนใจอย่างหนัก ชนิดที่เห่าตอนเข้ามา พอเราไปพาหมาตัวใหญ่เดินเสร็จ เราก็ล้างมือ และไปเล่นกับแมว นางก็เห่าเรียก ห้องนางจะอยู่ตรงข้ามกันกับห้องแมว นางเห็นเราเล่นกับแมวแล้วนางอิจฉา จนตอนก่อนกลับเราเลยยอมใจนางแวะไปนิดนึง เท่านั้นแหละถูกชะตาอย่างแรง น่ารักขนาดนั้น มาจุ๊บๆ ประจบแรงเต็มที่มาก หลังจากนั้นเราก็ไป SPCA ทุกวันเสาร์ก่อนคะ จนได้รับรู้เรื่องราวของเจ้าหมาตัวนี้
นางมีชื่อว่าป็อปอาย เพศผู้ พันธุ์ Miniature Fox Terrier นั่นก็คือ Fox Terrier มินิ นั่นเองค่ะ นางเป็นหมาไร้ไมโครชิพ เจ้าของของนางอยู่ในคุก!!!!!! ตอนนั้นนางอายุได้ 4เดือน SPCA ช่วยนางออกมาจากโรงรถ ซึ่งนางถูกขังไว้กับหมาใหญ่อีก 2ตัว คุณป้าที่ SPCA บอกว่าตอนแรกที่นางมาถึง นางกินข้าว 4มื้อ เพราะนางหิวโหยมาก อยู่โรงรถหมาใหญ่แย่งกินหมด เราก็เกิดความสงสารมากๆ และเนื่องจากก่อนหน้าเราได้บินไปเที่ยวอิตาลี แล้วเจอคนนำหมาขึ้นเครื่องบิน เราเลยค้นคว้าหาข้อมูล ซึ่งพันธุ์ของนางน้ำหนักเฉลี่ยจะไม่เกิน 6กิโลกรัม ซึ่งข้อกำหนดของสายการบินส่วนใหญ่ที่อนุญาตินำหมาขึ้นเครื่องได้ น้ำหนักของน้องหมารวมกับกระเป๋าหรือกล่องบรรจุรวมกันจะต้องไม่เกิน 8กิโลกรัม มีบางสายให้ถึง 10กิโลกรัม แต่มีไม่มากค่ะ
จากนั้นเราก็ไปคุยกับ ผจก. SPCA เรื่องจะขอรับเลี้ยงป็อปอาย ด้วยความที่นางยังเป็นลูกหมา นางยังต้องฉีดวัคซีน ทำหมัน(แอบสงสาร เพราะเราคิดว่านางเด็กเกินที่จะทำ) และฝังไมโครชิพ ซึ่ง SPCA จะเป็นคนดำเนินเรื่องทั้งหมด และแน่นอนว่ามันช้ามาก คหสต.เราว่าคนยุโรปทุกที่ทำงานช้า เราคิดว่าเป็นเพราะระบบ benefit ทำให้คนแถบนี้ไม่ค่อยต้องดิ้นรน ทำให้ชีวิตไม่เร่งรีบเท่าอีกหลายๆที่ เราเคยอยู่อเมริกา กับออสเตรเลีย มาช่วงนึงเรารู้สึกว่าคนยุโรปทำอะไรช้ากว่ามากๆ มาที่เรื่องป็อปอายต่อ เรารอทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ ใช้เวลาไป 1เดือนค่ะ (นี่ขนาดตามจี้) ในช่วง 1เดือนนั้น SPCA จะส่งคนมาเช็คที่อยู่ ซึ่งเราอยู่อพาทเมนท์ห้อง studio ค่ะ เค้าจะพาน้องหมามาด้วย เพื่อดูว่าน้องหมาชอบมั้ย ตอนที่เค้ามาเค้าอึ้งมากๆ เพราะเราซื้อของเล่น ซื้อที่นอน ซื้อผ้าห่มไว้รอแล้ว555 ป็อปอายดีใจมากๆ วิ่งคาบของเล่นก่อนเลย จากนั้นไม่กี่นาทีนางก็เศร้า เพราะนางต้องกลับไปอยู่ที่ SPCA จนกว่าเรื่องจะดำเนินเสร็จ คนรับเลี้ยงต้องไปใช้เวลากับน้องหมา 3ครั้ง เป็นอย่างต่ำในระหว่างที่น้องหมาอยู่ที่ศูนย์ ซึ่งเราไปทุกวันค่ะ ไปจี้ไปกดดันไปหาทุกวัน ดู๊ ดู ยังให้เรารอได้เป็นเดือน อ้อ ลืมบอกไปว่าตอนแรกเจ้าของนางที่อยู่ในคุกจะไม่ยอมโอนสิทธิ์ให้เราด้วย ญาติพี่น้องที่อยู่นอกคุกก็ติดต่อย๊ากยาก (จิตใจทำด้วยอะไร) เจ้าของเก่าเค้าบอกว่าจะให้อยู่กับลูกสาว จะไม่ให้อยู่ในโรงรถแล้ว จนพอเจ้าของออกจากคุกมาที่ SPCA ก็เปลี่ยนใจไม่เอา ถือว่าโชคดีสุดๆ เราไม่แน่ใจว่าลูกของเจ้าของคนเก่าเคยทำอะไรป็อปอายมั้ย เพราะป็อปอายเกลียดเด็กเล็กมากๆในช่วงแรก แค่เด็กวิ่งเล่นกัน นางก็จะเห่า จะขู่ จะโถมเข้า เราต้องคอยห้ามคอยสอน แต่ตอนนี้หายไปแล้วค่ะนิสัยนั้น
มาเข้าเรื่องการเดินทางโดยเครื่องบินกับน้องหมา เราพยายามฝึกป็อปอายหลายอย่างค่ะ เพื่อที่นางจะได้ไม่รบกวนคนอื่น และเพื่อให้นางสามารถไปกับเราได้ทุกที่ เช่น ฝึกอยู่ในกล่องหรือกระเป๋า ฝึกขับถ่ายบนนสพ. ฝึกให้ไม่เห่าพร่ำเพรื่อ ซึ่งนางก็เรียนรู้ได้เป็นอย่างดี แต่มีอย่างนึงที่ยังแก้ไม่หาย คือเรื่องกลัวเสียงรถ บางทีเสียงรถเครื่องดังๆ นางจะถอยจะหลบ บางทีหวิดจะโดนคนที่เดินบนถนนด้วยกันเตะแบบไม่ได้ตั้งใจ ยังไม่เคยโดนจังๆ แต่เกือบหลายครั้งแล้ว เราเข้าใจว่านางมีความทรงจำแย่ๆกับรถ เพราะนางเคยถูกขังไว้ในโรงรถกับหมาใหญ่อีก 2ตัว มาก่อน เราก็พยายามสอนนางค่ะ นางก็ดีขึ้น แต่พัฒนาการเรื่องนี้ช้ามาก(เมื่อเทียบกับอย่างอื่นที่นางเรียนรู้ได้ไวเวอร์) เพื่อนๆมีทริคอะไรแนะนำกันมาได้นะคะ เผื่อเราจะใช้สอนป็อปอายบ้าง อิอิ
ก่อนอื่นเลยต้องเช็คว่าการจะไปประเทศนั้นๆต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง ในยุโรปจะง่ายหน่อย เพราะมี EU pet passport เป็นตัวกลาง ราคาตอนทำเราไม่แน่ใจราคาค่ะ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ €54 ค่ะ สามารถทำได้ที่ pet clinic ที่มีสัตวแพทย์ที่ถูกรับรองให้ออก passport ได้เลยค่ะ โดยน้องหมาต้องได้รับวัคซีนกันพิษสุนัขบ้าก่อนบินอย่างน้อย 21วัน เข็มนึงนึงมีอายุเป็นปีๆ เพราะฉะนั้นไม่ต้องฉีดบ่อย แต่ที่ต้องทำและต้องวางแผน คือการเช็คร่างกาย ต้องพาน้องหมาไปหาสัตวแพทย์ก่อนบิน 1-5วัน ครั้งแรกเราไม่รู้ว่าเค้านับเป็นชั่วโมงเลย เราพาป็อปอายไปหาหมอวันก่อนบินช่วงเย็นๆ ซึ่งเราจะบินวันถัดไปช่วงเช้า คุณหมอใจดีค่ะ บันทึกเวลาเป็นช่วงเช้าให้ เพราะมันต้องอย่างน้อย 24ชม. ก่อนบิน แต่ไม่เกิน 5วันก่อนบิน
ทีนี้ มีอีกอย่างค่ะ คือในกรณีทริปยาว ทริปแรกของเราไปแค่ 4วัน เลยไม่ต้องทำอะไรก่อนกลับค่ะ แต่ทริปต่อมาไปเกินกว่านั้น เราเดินทางไปกรีซค่ะ เราต้องพาป็อปอายไปหาหมอที่กรีซเพื่อเช็คร่างกายก่อนกลับอีกทีนึง และถึงแม้จะมี EU passport แต่ requirement บางอย่างมีความแตกต่างค่ะ ที่เราทราบนี่น้องหมาต้องทานยา worming ก่อนเข้ามอลต้า อังกฤษ ไอร์แลนด์ 1-5วัน เวลาไปเช็คร่างกายกับหมอที่ประเทศอื่นก่อนที่จะกลับมอลต้า ต้องเตือนหมอเรื่องยา worming ด้วย เพราะหมอต้องบันทึกไปใน passport ของน้องหมาค่ะ ค่าใช้จ่ายถ้าแค่ตรวจร่างกายจะประมาณ €10 ค่ะ แต่ถ้าต้องจ่ายยา wormimg ด้วย จะตกที่ประมาณ €18 ค่ะ
ครั้งแรกเราเดินทางไปปารีส โดยสายการบิน Transavia ค่ะ จากนั้นเรานั่งรถไปไปสวิส และเดินทางกลับมอลต้า จากซูริค โดยสายการบิน Swiss ครั้งนี้ปวดหัวค่ะ เพราะแต่ละสายการบินกำหนดขนาดของกล่องบรรจุหมาไม่เหมือนกัน เริ่มที่ Transavia ในเว็บบอกใช้ kennel or bag เราสอบถาม call center บอก bag ไม่ได้ ง่ายๆคือเค้าไม่ให้ถ้าเป็นบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน แต่ของ Swiss ขนาดกว้างยาวสูงไม่กำหนดค่ะ แต่บวกกันทุกด้านห้ามเกิน 118ซม. และต้องเป็นบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน ก็คือกระเป๋า แต่สำหรับขนาดเราไม่แน่ใจว่าเค้าเช็คละเอียดแค่ไหนนะคะ เพราะเราบินมา 6รอบ ไม่เคยเจอวัดเลย ขนาดที่รอบหลังนี่ใช้ขนาดใหญ่กว่าที่กำหนด ก็ไม่เห็นเค้าจะว่าอะไรกันเลย (แต่ยังไงเราก็พกกระเป่าที่ถูกไซส์ไปด้วยกันเหนียวทุกครั้งค่ะ) ครั้งแรกที่บินแอบงงกับ Swiss เพราะเราส่งรูปกล่องใส่น้องไปให้เค้าเช็ค เค้าก็บอกได้ พอหน้างานไม่ให้ค่ะ ต้องใส่กระเป๋าเท่านั้น ดีที่มีเตรียมไปค่ะ
การเดินทางโดยรถไฟในสวิส น้องหมาตัวเล็กขึ้นฟรีค่ะ แต่ต้องอยู่ในกล่องหรือกระเป๋า ถ้าเป็นน้องหมาตัวใหญ่ หรือเป็นตัวเล็กที่ไม่อยู่บรรจุภัณฑ์ ต้องซื้อตั๋วให้น้องหมาด้วย คาดว่าที่เยอรมัน และออสเตรียก็เช่นกัน เพราะเราเพิ่งจองรถไฟที่จะไเที่ยวทริปหน้า มีตั๋วหมาขายด้วย เราเลยซื้อให้ป็อปอายเลยเพราะนางรู้เรื่องขึ้นมากแล้ว ไม่ต้องให้อยู่ในกระเป่าให้หงุดหงิดใจนางแล้ว555 เราประทับใจสวิสอีกอย่าง คือน้องหมาเดินในห้างได้ค่ะ ป็อปอายได้เดินในห้างมาแล้วนะเออ แล้วเจอเพื่อนเยอะด้วย ฟินไปสิคะ555 ส่วนใหญ่ในยุโรปถ้าไม่ใช่ supermarket หรือร้านอาหาร น้องหมาจะได้เข้านะคะ อย่างน้อยก็อยู่ในประเป๋าได้ค่ะ ร้านอาหารนี่เราจะเลือกโซนที่มีเก้าอี้ข้างนอก น้องหมาก็อยู่ได้สบายๆค่ะ เคยเห็นรีวิวว่าร้านอาหารในสวิส และเยอรมัน จะมีที่ให้หมารอด้วย แต่เรายังไม่เคยเจอกับตัวเองค่ะ สถานที่ท่องเที่ยวไม่ใช่ทุกที่ที่น้องหมาจะเข้าได้นะคะ ต้องเช็คดีๆ อย่าง Acropolis ที่ Athens เราได้แค่อยู่ข้างล่าง ถ่ายรูปจากข้างล่าง555 แต่ Roman Forum ที่โรม ตอนเราไปนี่เห็นคนพาน้องหมาเดินว่อนเลย มีน้องหมาฉี่ใส่เสาใน Roman Forum ด้วยแหละ หุหุ
ทริปต่อมาเราไปกรีซค่ะ ไปเที่ยวเอเธนส์ และซานโตรินี่ ป็อปอายต้องอยู่ในกระเป๋าเท่านั้นค่ะ ไม่ว่าจะขึ้นรถอะไร ในสนามบินก็เดินไม่ได้ค่ะ ต้องอยู่ในประเป๋าตลอด ต่างจากที่ฝรั่งเศส สวิส และมอลต้า ที่นางเดินในสนามบินได้สบายๆ อ้อ ลืมเล่าขั้นตอนการผ่าน security control ต้องนำน้องหมาออกมาค่ะ กระเป๋าน้องหมาต้องถูกสแกน ส่วนตัวเราอุ้มหรือจูงน้องหมาผ่านประตูสแกนค่ะ ทริปกรีซเราประทับใจสายการบิน Aegean airlines แอร์เดินมาถามด้วยว่าต้องการน้ำให้น้องหมามั้ย สายอื่นไม่มีถาม แต่เราก็ปฏิเสธไปค่ะ เพราะก่อนขึ้นเครื่อง เราจะให้ป็อปอายดื่มน้ำ และขับถ่ายก่อนทุกครั้งอยู่แล้ว
หากต้องการเดินทางพร้อมน้องหมาบนเครื่องบิน ต้องแจ้งสายการบินก่อนอย่างน้อย 24ชม. ก่อนบิน แต่แนะนำให้จองหลังจากเราจองตั๋วของเราเสร็จแลยค่ะ เพราะในหนึ่งเที่ยวบิน อนุญาติให้น้องหมาขึ้นได้แค่ 2ตัว และอนุญาติผู้โดยสารหนึ่งคน ต่อน้องหมาหนึ่งตัวค่ะ เพราะฉะนั้น ถ้าช้า อาจมีน้องหมาตัวอื่นได้โควต้าไป บางสายการบินสามารถแจ้งผ่าน social network ได้ด้วย เช่า เราติดต่อ Transavia และ Swiss ผ่าน facebook ของสายการบินค่ะ ทริปต่อมา Aegean airlines โทรติดต่อ call center และ Volotea ทำรายการผ่าน contact center ทาง e-mail และทริปหน้าบินกับ Lufthansa ติดต่อผ่าน e-mail เช่นกันค่ะ ที่เราไม่ค่อยเลือกโทรเพราะเราฟังภาษาอังกฤษไม่เก่งค่ะ ถ้าไม่จำเป็นเราไม่โทรเด็ดขาด เดี๋ยวข้อมูลคลาดเคลื่อน เป็นปัญหากับเรามาเนิ่นนาน เราฟังสำเนียงได้ไม่หลากหลายค่ะ จำได้ว่าตอนไปออสเตรเลีย ครั้งแรกที่สั่งอาหาร แต่เราฟังเค้าไม่เข้าใจเลยค่ะ เค้าพูดหลายรอบกว่าเราจะเข้าใจ จะมีแค่ American accent ที่เราฟังได้เคลียร์ ตอนอยู่อเมริกา จองโรงแรม ตั๋วเครื่องบิน ทำธุรกรรมธนาคาร ผ่านโทรศัพท์ตลอด และรู้เรื่องลื่นไหล เวลาสอบไอเอล นี่เราจะกลัว listening ที่สุด เพราะเราไม่ถูกกับ accent อื่นที่ไม่ใช่ American เพราะฉะนั้นถ้าติดต่อผ่านช่องทางอื่นได้เราจะทำก่อน โทรคุยนี่คือวิธีสุดท้ายที่เราจะทำในช่วงที่อยู่ยุโรป
การเช็คข้อมูลของแต่ละสายการบิน เรื่องขนาดกระเป๋า แบบบรรจุภัณฑ์ วิธีการจองต่างๆนานา เราจะเช็คโดยการ search บน google ค่ะ โดยพิมพ์ชื่อสายการบิน ตามด้วยคำว่า pet policy เช่น thai airways pet policy ค่ะ อ้อไม่ใช่ทุกสายจะรับนะคะ สำหรับคนที่จะเดินทางเข้าอังกฤษ และไอร์แลนด์ กฏหมายเค้าจะห้ามไว้นะคะ น้องหมาจะไปได้โดยวิธี cargo และ check-in baggage ค่ะ มีอีกวิธีที่เราจะทำในปีหน้าที่เราจะไปเที่ยวอังกฤษ คือไปทางเรือ ซึ่งค่าใช้จ่ายเบากว่าวิธีจ้าง taxi หรือ เอเจนซี่ที่รับโดยสารผ่านทางรถไฟ Eurostar หรือ รถยนตร์ผ่าน Eurotunnel ค่ะ Eurostar เป็นรถไฟชนิดเดียวในแถบนี้ที่ไม่อนุญาติให้น้องหมาเดินทางค่ะ ส่วนทางเรือนี่ก็ต้องดูดีๆ เพราะหลายสายเค้าอนุญาติให้น้องหมาโดยสารบนรถยนตร์ของเรา นั่นหมายถึงถ้าคุณไม่ได้นำรถขึ้นเรือ ก็พาน้องหมาไปไม่ได้ค่ะ สายที่เราเพิ่งจองไปคือไปกลับจาก Hook of Holland เนเธอร์แลนด์ ไป Harwich International ของอังกฤษค่ะ ซึ่งเค้าจะมีห้องและกรงให้น้องหมาอยู่ โดยเราสามารถไปหาน้องหมาได้ตลอด และจะมีกล้องถ่ายทอดมายังห้องเราด้วยว่าน้องหมาเป็นอย่างไรบ้าง อันนี้คือข้อมูลที่หาค่ะ ได้นั่งจริงเมื่อไหร่จะมารีวิวอีกที
นี่คือสภาพของป็อปอายในขณะที่อยู่บนเครื่องบิน นางเก่งมากค่ะ เครื่องขึ้นลงนางงงๆ แต่ก็ไม่ตกใจ ไม่เห่า ไม่งอแงเลย น่ารักมากๆ
กระเป๋าใส่น้องหมาที่เรามี 4ใบ กรงอีก 2กรง ชนิดที่เรามีความคิดว่าถ้าเรียนจบกับไปนี่จะไปออกแบบกระเป่าใส่น้องหมาขายเองแล้ว เพราะซื้อมาหลายใบ เลือกมาหลายใบ และจะมีข้อเสียห้อยพ่วงมาทุกใบ ต้องแล้วแต่สถานการณ์ว่าจะใช้ใบไหน ถ้ามีคนสนใจอาจจะลงรายละเอียดให้อีกทีค่ะ เราไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่ กระทู้เราเลยอาจจะไม่ได้ประณีตมากนัก คือพิมพ์ครั้งเดียว รูปก็เอาเท่าที่มี แหะๆ