รีวิวนี้ภาพส่วนใหญ่ถ่ายด้วย HTC10 แล้วแต่งภาพด้าย SnapSeed นะครับ ส่วนภาพไหนที่ผมใส่ลิงค์ Image มาแสดงว่านำภาพมาจากใน Internet ครับ
หมายเหตุ: รีวิวนี้มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับเครื่องดื่มมึนเมา ผู้อ่านควรมีวิจารณญาณในการอ่าน และบริโภคสินค้า
เมื่อปีที่แล้วมาลง Review ร้านนี้ครับ พอครบปีก็ควรที่จะมา review เพื่ออัพเดทกันว่าเหมือนเดิมหรือมีอะไรเพิ่มเติมบ้าง ความทรงจำสุดท้าย (ถ้าไม่นับที่มาเมาร้านนี้ บ่อย) คือ มีเหล้าเยอะ Cocktail อร่อย คนชงเกรียนแต่สุภาพ French Fries อร่อยมาก
วันนี้มาถึงร้านดึกหน่อย (22:00) ครัวกำลังจะปิดเลยครับ พอที่จะสั่ง French Fries กับ ไส้กรอกอิตาลี (เมนูใหม่) ร้านนี้ครัวปิด 22:30 แต่บาร์เปิดยาวจนปิดร้านนะครับ
ก่อนเข้ารายการอาหารมาที่เครื่องดื่มเรียกน้ำย่อยก่อนเลยครับ น้องบาร์เทนเดอร์เค้าเพิ่งได้สูตรมาใหม่ เลยอยากมาอวดผม (คือมาร้านนี้จนสนิท) ชื่อ Cocktail ผมจำไม่ได้ (เอาจริงๆ นะ น้องบาร์เทนเดอร์มันเปลี่ยนชื่อเครื่องดื่มตามใจมันทุกครั้งแหละ ไม่แปลกใจที่จะจำชื่อไม่ได้ เท่าที่พยายามนึกเหมือนจะเป็น นารีเริงไฟ อะไรซักอย่างนี่แหละครับ) แก้วนี้เป็น Brandy เป็น Base แล้วเบิร์นเปลือกส้มเคล้ากับ Brandy จากนั้นเสิร์ฟพร้อมก้านอบเชยที่เผาปลายจนมีกลิ่นหวานๆ ออกมา
น้องบาร์เทนเดอร์แนะให้ลองจิบก่อนที่จะใช้ก้านอบเชยเผาแกว่งคือรสของ Cocktail แก้วนี้หวานหอมกลิ่น Citrus สดชื่นมากครับ ยิ่งพอนำก้านอบเชยเผาไปแกว่งวนๆ ในแก้ว กลิ่นและรสของ Cocktail เปลี่ยนไปเลยครับ จากหอมหวานเปรี้ยวๆ สดชื่นกลายเป็นหอมละมุนและ sexy ครับ อารมณ์เหมือน เด็กสาวในช่วงเช้าแต่งชุดนักศึกษา แต่ พอตกดึกกลับกลายเป็นสาวเปรี้ยวตาม Routh66/Onyx เลยครับ ผมว่าเครื่องดื่มแก้วนี้เหมาะสำหรับมอมสาวนะครับ เพราะมีสิทธิ์เมาแบบไม่รู้ตัว ด้วยความที่มีรสหวาน กลิ่นหอมสดชื่น ดื่มง่าย สาวๆ น่าจะชอบกันครับ
จริงๆ สุดน่าสนใจของ Cocktail แก้วนี้คือ การโยนไฟระหว่างเหยือกซ้ายและขวาครับ ยิ่งตอนที่ไฟมันลุกแรงขึ้นจนน้องบาร์เทนเดอร์สะดุ้ง สาวงี้กรี้ดกันลั่นร้านจนแขกทั้งร้านหันมามองเลยครับ แก้วนี้ก็มีบรั่นดีเป็นส่วนผสมหลักแต่เพิ่มความหรูด้วยผงทองครับ
จากนั้นเทบรั่นดีแล้วจุดไฟแล้วตามด้วยเทสลับไปมาระหว่างเยือกขวาและซ้าย ยิ่งเทสลับไฟยิ่งแรงเทจนไฟพรึ้บขึ้นมาจนน้องบาร์เทนเดอร์ร้องตกใจซะเองเลยครับ ก่อนที่ไฟจะดับลงก็ค่อยๆ เทใส่แก้วที่จัดเตรียมไว้ครับ คนกับเปลือกส้มที่บีบให้น้ำมันจากเปลือกส้มระเหยออกมาให้ไฟพอลุกนิดๆ จากนั้นค่อยหย่อนก้อนน้ำแข็งลงไปครับ
มาที่เมนู จริงๆ มันมีชื่อของเค้านะครับ แต่ผมจำไม่ได้ จำได้แค่ว่า ไส้กรอกอิตาเลี่ยน วางพาดมาบนมันบดพร้อมราดซ้อสตราหมูสามตัวหนะครับ ไส้กรอก homemade (ใหญ่และอวบขนาดนี้ตามห้างไม่มีขายแน่นอนครับ) มันอร่อยมากครับ เนื้อไส้กรอกแน่นปรุงใส่เครื่องเทศมาอย่างดี รสคล้ายไส้อั่วเพียงแต่เครื่องเทศที่ยัดไส้มาหอมสดชื่นกว่าไส้อั่วครับ ทานง่าย เข้ากับมันบดเนื้อเนียนหอมเนย ยิ่งยีเนื้อไส้กรอกกับน้ำเกรวี่สูตรเฉพาะของที่ร้านยิ่งอร่อยครับ อร่อยอย่างไม่มีเหตุผล จานนี้ผมแนะให้ทานคู่กับ Whisky เพียวๆ ไม่แบบไม่ on the rock นะครับ กลิ่น smoke จากถังไม้ บวกความซาบซ่านที่ปลายลิ้น ทำให้รสของไส้กรอกยิ่งเด่นขึ้นครับ
มาที่เมนูดั่งเดิมของร้านที่ผมมาทีไรก็ต้องสั่ง French Fries ของที่ร้านนี้ครับ ขนาดใหญ่มาก กรอบนอกแต่ละมุนละลายในปาก ผมพยายามเซ้าซี้ถามเจ้าของร้านเลยได้สูตรมาว่า บดไข่เค็มให้ละเอียดแล้วเคล้ากับแป้งที่ใช้ทอดมาเป็นส่วนที่ทำให้ French Fries ของร้านนี้มีความกรอกนอกนุ่มในอร่อยเพลินลิ้น จนต้องสั่งมาทานหลายจานครับ ก่อนเสิร์ฟทางร้านจะโรยผงปาปริก้าลงไป เพื่อให้มีรสเผ็ดอมหวานเบาๆ ยิ่งจิ้มทานกับ dip ของที่ร้านที่เป็นซ้อสมารินาร่า (Marinara) สูตรของทางร้านคือเข้ากันมากครับ เสียดายให้น้อยไปหน่อย
ผ่านไปปีเศษกับร้านนี้ คือมีเมนูอาหารเพิ่มขึ้นเยอะแต่ที่ผมชื่นชมคือ อาหารรสชาติ อร่อยฝีมือไม่เคยตก มีวงดนตรีมาเล่นสดกันให้ฟัง
มาที่ Cocktail อีกตัวที่น่าจะเหมาะกับสาวสวยนิ่งๆ เชิดๆ (ตามความคิดของผม) คือ แก้วที่น้องบาร์เทนเดอร์รูปหล่อคนนี้ลงเลยครับ เป็นอีกตัวที่มีบรั่นดีเป็นตัวหลักแล้ว ผสมกับเหล้าตัวอื่นนำไปชงในแก้วผสมน้ำแข็งแล้วค่อยๆ รินลงแก้วมาการิต้า
จุดเด่นอยู่ที่มีการพ่นสเปรย์กลิ่นคล้ายชะเอมเทศผ่านเปลวไฟให้พอพรึบพรับ กลิ่นชะเอมเทศที่ผ่านความร้อนมันหอมมากครับ กลิ่น Cocktail ที่มีไอระเหยของสเปรย์ กลิ่นคล้ายชะเอมเทศทำให้ผมนึกถึงกลิ่น Chanel No5 ที่อยู่ตามซอกคอของสาวๆ พอได้กลิ่นแล้วช่างเย้ายวนน่าดึงดูดมาก ยิ่งมีการคั้นไอน้ำมันระเหยจากเปลือกส้มพรม ลงบนผิว Cocktail กลิ่นยิ่งสดชื่นขึ้นครับ คือสั่งแก้วนี้ให้สาวคนไหนรับรองน้องเค้าจะดูสวยและย้วยเร็วมากครับ เพียงแต่อย่าให้สาวๆ เค้าไปจ้องน้องบาร์เทนเดอร์คนนี้ เพราะมีเราจะมีแววนกหรือโดนเทอย่างไม่ต้องเดาอะไรมาก ดื่มพวก Cocktail มาหลายสูตร แต่เพิ่งจะมาได้ลองดื่ม Cocktail ที่ใช้ Brandy/Cognac มาเป็นส่วนผสมหลัก ผมว่ารสออกมาหวานและหอมสดชื่นมากกว่าใช้เหล้า Whisky นะครับ ช่วงนี้ไปหลายร้านก็จะมี Cocktail ที่ใช้ Brandyu/Cognac มาเป็นส่วนผสมหลัก เพิ่มมากขึ้นไว้ผมจะทยอยลงรีวิวมาให้อ่านกันนะครับ
Image :
http://www.lifedaily.com/the-6-smokiest-scotch-whiskies-you-can-buy/
ขอข้ามมาที่ Single Malt Whisky วันนี้น้องบาร์เทนเดอร์เค้าแนะนำ Laphroaig 10 Year Old Single Malt Scotch Whisky ที่เพิ่งนำเข้ามาขายครับ ปรกติแล้วผมจะ ชอบพวก Single Malt แต่ตัวนี้รสและกลิ่นจะโดดเด่นกว่าตัวอื่นตรงที่ หนักและแรง กลิ่น Malt Whisky เด่นชัดอบอวลออกมา พร้อมกลิ่น Smoke คล้ายชา Lapsang รสเข้ม ดื่มแล้วนึกถึงเวลานั่งเก้าอี้โยกหน้าเตาผิงในบ้านอังกฤษโบราณที่รายล้อมไปด้วยป่าสน ให้ความรู้สึกดีมากๆ เลยครับ ถ้าใครชอบ Scotch Whisky รสโบราณๆ ผมแนะนำตัวนี้เลยครับ แรกๆ อาจจะดื่มยากหน่อยแต่พอเข้าใจใน Character ของเหล้าแล้วคุณจะหลงรัก Laphroaig 10 Year Old Single Malt Scotch Whisky โดยไม่รู้ตัวครับ
สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหล้า และ Cocktail ก็หมดไปหลายแก้ว น้องๆ สาวๆ ก็เริ่มเมา ผมเองก็เริ่มตึงๆ คือถ้าไม่มีเหล้า Laphroaig ตัวนี้ รับรองผมได้พาน้องๆ กลับห้องแน่นอนครับ เหล้าไม่ได้ทำให้ขาดสติอย่างเดียวครับ แต่ดื่มมากไปก็ทำให้หมดโอกาสเหมือนกันครับ เพราะฉะนั้นถ้าเจอเหล้าถูกปาก ไม่ควรปล่อยให้เลยเถิดมาเกินหลายแก้วครับ
ไหนๆ กระทู้นี้ก็มีเรื่องเหล้า และ Brandy แล้ว ก็ขอเขียนเรื่องการดื่มบรั่นดีพอให้ดื่มกันเป็นด้วยละกันครับ ผมว่าเรื่องการดื่มเหล้าคนไทยดื่มกันเป็นอยู่แล้วครับ
Image : www.bartendermixed.com
กลับเข้าที่หัวข้อ Brandy หรือเรียกอีกอย่างว่า Cognac ชื่อ 2 ชื่อนี้คือเหล้าชนิดเดียวกัน แต่ต่างกันที่สถานที่ในการผลิต Cognac คือ Brandy ที่ผลิตกลั่น (สองรอบขึ้นไป) และบ่มในแคว้น Cognac เท่านั้นครับ โดย Brandy ที่ Premium มากๆ หรือที่ราคาแพงๆ ก็จะมาจากแคว้น Cognac นี่แหละครับ เพราะฉะนั้นจึงทำให้ Cognac มีราคาอยู่ในระดับที่แพงกว่า Brandy นั่นเองครับ ถามว่าแพงระดับไหน เอาง่ายๆ ครับ Brandy ที่แพงๆ ราคายังไงก็ไม่เกิน 50,000 บาท แต่ Cognac แพงๆ คือไปเริ่มที่ 50,000กว่าเลยครับ แล้วอะไรที่เป็นเครื่องกำหนดราคาตรงนี้คงต้องกลับมา ที่เรื่องระยะเวลาในการบ่มครับว่านานกี่สิบปี โดยทั่วไป Brandy จะอยู่ที่ 1~2ปี (V.S. – Very Special) และ 2~6ปี (V.S.O.P. – Very Special Old Pale) แต่ถ้าเกิน 6ปี ขึ้นไปจะได้เป็น X.O. (Extra Old) แต่ด้วยศักดิ์ศรีของแคว้น Cognac ถ้าบ่มเกิน 6ปีนิดๆ คงไม่อาจหาญที่จะเรียกตัว เองว่า Cognac XO ได้เต็มปาก Master Blender เลยจัดให้ทะลุ 20ปี เป็นส่วนใหญ่เพื่อให้สมเกียรติแห่งชายชาติฝรั่งเศษและเพื่อที่จะได้อัพราคาให้แพงๆ ได้ครับ (สมัยไปฝรั่งเศสเคยถามคนฝรั่งเศสว่า เค้าเอามาตราฐานอะไรมากำหนดราคาไวน์ คนทำไวน์ บอกว่าราคาขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้ผลิตและความคาดหวังว่าน่าจะขายได้แพง ถ้าพูดง่ายๆ คือไม่มีเกณฑ์ตายตัว)
เดี๋ยวมาพิมพ์ต่อนะครับ
[CR] Review 21+: ชอบก็รีวิวซ้ำวนไปวนไป เช็คคุณภาพรส พ่วงทดสอบกล้อง HTC10
หมายเหตุ: รีวิวนี้มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับเครื่องดื่มมึนเมา ผู้อ่านควรมีวิจารณญาณในการอ่าน และบริโภคสินค้า
เมื่อปีที่แล้วมาลง Review ร้านนี้ครับ พอครบปีก็ควรที่จะมา review เพื่ออัพเดทกันว่าเหมือนเดิมหรือมีอะไรเพิ่มเติมบ้าง ความทรงจำสุดท้าย (ถ้าไม่นับที่มาเมาร้านนี้ บ่อย) คือ มีเหล้าเยอะ Cocktail อร่อย คนชงเกรียนแต่สุภาพ French Fries อร่อยมาก
วันนี้มาถึงร้านดึกหน่อย (22:00) ครัวกำลังจะปิดเลยครับ พอที่จะสั่ง French Fries กับ ไส้กรอกอิตาลี (เมนูใหม่) ร้านนี้ครัวปิด 22:30 แต่บาร์เปิดยาวจนปิดร้านนะครับ
ก่อนเข้ารายการอาหารมาที่เครื่องดื่มเรียกน้ำย่อยก่อนเลยครับ น้องบาร์เทนเดอร์เค้าเพิ่งได้สูตรมาใหม่ เลยอยากมาอวดผม (คือมาร้านนี้จนสนิท) ชื่อ Cocktail ผมจำไม่ได้ (เอาจริงๆ นะ น้องบาร์เทนเดอร์มันเปลี่ยนชื่อเครื่องดื่มตามใจมันทุกครั้งแหละ ไม่แปลกใจที่จะจำชื่อไม่ได้ เท่าที่พยายามนึกเหมือนจะเป็น นารีเริงไฟ อะไรซักอย่างนี่แหละครับ) แก้วนี้เป็น Brandy เป็น Base แล้วเบิร์นเปลือกส้มเคล้ากับ Brandy จากนั้นเสิร์ฟพร้อมก้านอบเชยที่เผาปลายจนมีกลิ่นหวานๆ ออกมา
น้องบาร์เทนเดอร์แนะให้ลองจิบก่อนที่จะใช้ก้านอบเชยเผาแกว่งคือรสของ Cocktail แก้วนี้หวานหอมกลิ่น Citrus สดชื่นมากครับ ยิ่งพอนำก้านอบเชยเผาไปแกว่งวนๆ ในแก้ว กลิ่นและรสของ Cocktail เปลี่ยนไปเลยครับ จากหอมหวานเปรี้ยวๆ สดชื่นกลายเป็นหอมละมุนและ sexy ครับ อารมณ์เหมือน เด็กสาวในช่วงเช้าแต่งชุดนักศึกษา แต่ พอตกดึกกลับกลายเป็นสาวเปรี้ยวตาม Routh66/Onyx เลยครับ ผมว่าเครื่องดื่มแก้วนี้เหมาะสำหรับมอมสาวนะครับ เพราะมีสิทธิ์เมาแบบไม่รู้ตัว ด้วยความที่มีรสหวาน กลิ่นหอมสดชื่น ดื่มง่าย สาวๆ น่าจะชอบกันครับ
จริงๆ สุดน่าสนใจของ Cocktail แก้วนี้คือ การโยนไฟระหว่างเหยือกซ้ายและขวาครับ ยิ่งตอนที่ไฟมันลุกแรงขึ้นจนน้องบาร์เทนเดอร์สะดุ้ง สาวงี้กรี้ดกันลั่นร้านจนแขกทั้งร้านหันมามองเลยครับ แก้วนี้ก็มีบรั่นดีเป็นส่วนผสมหลักแต่เพิ่มความหรูด้วยผงทองครับ
จากนั้นเทบรั่นดีแล้วจุดไฟแล้วตามด้วยเทสลับไปมาระหว่างเยือกขวาและซ้าย ยิ่งเทสลับไฟยิ่งแรงเทจนไฟพรึ้บขึ้นมาจนน้องบาร์เทนเดอร์ร้องตกใจซะเองเลยครับ ก่อนที่ไฟจะดับลงก็ค่อยๆ เทใส่แก้วที่จัดเตรียมไว้ครับ คนกับเปลือกส้มที่บีบให้น้ำมันจากเปลือกส้มระเหยออกมาให้ไฟพอลุกนิดๆ จากนั้นค่อยหย่อนก้อนน้ำแข็งลงไปครับ
มาที่เมนู จริงๆ มันมีชื่อของเค้านะครับ แต่ผมจำไม่ได้ จำได้แค่ว่า ไส้กรอกอิตาเลี่ยน วางพาดมาบนมันบดพร้อมราดซ้อสตราหมูสามตัวหนะครับ ไส้กรอก homemade (ใหญ่และอวบขนาดนี้ตามห้างไม่มีขายแน่นอนครับ) มันอร่อยมากครับ เนื้อไส้กรอกแน่นปรุงใส่เครื่องเทศมาอย่างดี รสคล้ายไส้อั่วเพียงแต่เครื่องเทศที่ยัดไส้มาหอมสดชื่นกว่าไส้อั่วครับ ทานง่าย เข้ากับมันบดเนื้อเนียนหอมเนย ยิ่งยีเนื้อไส้กรอกกับน้ำเกรวี่สูตรเฉพาะของที่ร้านยิ่งอร่อยครับ อร่อยอย่างไม่มีเหตุผล จานนี้ผมแนะให้ทานคู่กับ Whisky เพียวๆ ไม่แบบไม่ on the rock นะครับ กลิ่น smoke จากถังไม้ บวกความซาบซ่านที่ปลายลิ้น ทำให้รสของไส้กรอกยิ่งเด่นขึ้นครับ
มาที่เมนูดั่งเดิมของร้านที่ผมมาทีไรก็ต้องสั่ง French Fries ของที่ร้านนี้ครับ ขนาดใหญ่มาก กรอบนอกแต่ละมุนละลายในปาก ผมพยายามเซ้าซี้ถามเจ้าของร้านเลยได้สูตรมาว่า บดไข่เค็มให้ละเอียดแล้วเคล้ากับแป้งที่ใช้ทอดมาเป็นส่วนที่ทำให้ French Fries ของร้านนี้มีความกรอกนอกนุ่มในอร่อยเพลินลิ้น จนต้องสั่งมาทานหลายจานครับ ก่อนเสิร์ฟทางร้านจะโรยผงปาปริก้าลงไป เพื่อให้มีรสเผ็ดอมหวานเบาๆ ยิ่งจิ้มทานกับ dip ของที่ร้านที่เป็นซ้อสมารินาร่า (Marinara) สูตรของทางร้านคือเข้ากันมากครับ เสียดายให้น้อยไปหน่อย
ผ่านไปปีเศษกับร้านนี้ คือมีเมนูอาหารเพิ่มขึ้นเยอะแต่ที่ผมชื่นชมคือ อาหารรสชาติ อร่อยฝีมือไม่เคยตก มีวงดนตรีมาเล่นสดกันให้ฟัง
มาที่ Cocktail อีกตัวที่น่าจะเหมาะกับสาวสวยนิ่งๆ เชิดๆ (ตามความคิดของผม) คือ แก้วที่น้องบาร์เทนเดอร์รูปหล่อคนนี้ลงเลยครับ เป็นอีกตัวที่มีบรั่นดีเป็นตัวหลักแล้ว ผสมกับเหล้าตัวอื่นนำไปชงในแก้วผสมน้ำแข็งแล้วค่อยๆ รินลงแก้วมาการิต้า
จุดเด่นอยู่ที่มีการพ่นสเปรย์กลิ่นคล้ายชะเอมเทศผ่านเปลวไฟให้พอพรึบพรับ กลิ่นชะเอมเทศที่ผ่านความร้อนมันหอมมากครับ กลิ่น Cocktail ที่มีไอระเหยของสเปรย์ กลิ่นคล้ายชะเอมเทศทำให้ผมนึกถึงกลิ่น Chanel No5 ที่อยู่ตามซอกคอของสาวๆ พอได้กลิ่นแล้วช่างเย้ายวนน่าดึงดูดมาก ยิ่งมีการคั้นไอน้ำมันระเหยจากเปลือกส้มพรม ลงบนผิว Cocktail กลิ่นยิ่งสดชื่นขึ้นครับ คือสั่งแก้วนี้ให้สาวคนไหนรับรองน้องเค้าจะดูสวยและย้วยเร็วมากครับ เพียงแต่อย่าให้สาวๆ เค้าไปจ้องน้องบาร์เทนเดอร์คนนี้ เพราะมีเราจะมีแววนกหรือโดนเทอย่างไม่ต้องเดาอะไรมาก ดื่มพวก Cocktail มาหลายสูตร แต่เพิ่งจะมาได้ลองดื่ม Cocktail ที่ใช้ Brandy/Cognac มาเป็นส่วนผสมหลัก ผมว่ารสออกมาหวานและหอมสดชื่นมากกว่าใช้เหล้า Whisky นะครับ ช่วงนี้ไปหลายร้านก็จะมี Cocktail ที่ใช้ Brandyu/Cognac มาเป็นส่วนผสมหลัก เพิ่มมากขึ้นไว้ผมจะทยอยลงรีวิวมาให้อ่านกันนะครับ
Image : http://www.lifedaily.com/the-6-smokiest-scotch-whiskies-you-can-buy/
ขอข้ามมาที่ Single Malt Whisky วันนี้น้องบาร์เทนเดอร์เค้าแนะนำ Laphroaig 10 Year Old Single Malt Scotch Whisky ที่เพิ่งนำเข้ามาขายครับ ปรกติแล้วผมจะ ชอบพวก Single Malt แต่ตัวนี้รสและกลิ่นจะโดดเด่นกว่าตัวอื่นตรงที่ หนักและแรง กลิ่น Malt Whisky เด่นชัดอบอวลออกมา พร้อมกลิ่น Smoke คล้ายชา Lapsang รสเข้ม ดื่มแล้วนึกถึงเวลานั่งเก้าอี้โยกหน้าเตาผิงในบ้านอังกฤษโบราณที่รายล้อมไปด้วยป่าสน ให้ความรู้สึกดีมากๆ เลยครับ ถ้าใครชอบ Scotch Whisky รสโบราณๆ ผมแนะนำตัวนี้เลยครับ แรกๆ อาจจะดื่มยากหน่อยแต่พอเข้าใจใน Character ของเหล้าแล้วคุณจะหลงรัก Laphroaig 10 Year Old Single Malt Scotch Whisky โดยไม่รู้ตัวครับ
สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหล้า และ Cocktail ก็หมดไปหลายแก้ว น้องๆ สาวๆ ก็เริ่มเมา ผมเองก็เริ่มตึงๆ คือถ้าไม่มีเหล้า Laphroaig ตัวนี้ รับรองผมได้พาน้องๆ กลับห้องแน่นอนครับ เหล้าไม่ได้ทำให้ขาดสติอย่างเดียวครับ แต่ดื่มมากไปก็ทำให้หมดโอกาสเหมือนกันครับ เพราะฉะนั้นถ้าเจอเหล้าถูกปาก ไม่ควรปล่อยให้เลยเถิดมาเกินหลายแก้วครับ
ไหนๆ กระทู้นี้ก็มีเรื่องเหล้า และ Brandy แล้ว ก็ขอเขียนเรื่องการดื่มบรั่นดีพอให้ดื่มกันเป็นด้วยละกันครับ ผมว่าเรื่องการดื่มเหล้าคนไทยดื่มกันเป็นอยู่แล้วครับ
Image : www.bartendermixed.com
กลับเข้าที่หัวข้อ Brandy หรือเรียกอีกอย่างว่า Cognac ชื่อ 2 ชื่อนี้คือเหล้าชนิดเดียวกัน แต่ต่างกันที่สถานที่ในการผลิต Cognac คือ Brandy ที่ผลิตกลั่น (สองรอบขึ้นไป) และบ่มในแคว้น Cognac เท่านั้นครับ โดย Brandy ที่ Premium มากๆ หรือที่ราคาแพงๆ ก็จะมาจากแคว้น Cognac นี่แหละครับ เพราะฉะนั้นจึงทำให้ Cognac มีราคาอยู่ในระดับที่แพงกว่า Brandy นั่นเองครับ ถามว่าแพงระดับไหน เอาง่ายๆ ครับ Brandy ที่แพงๆ ราคายังไงก็ไม่เกิน 50,000 บาท แต่ Cognac แพงๆ คือไปเริ่มที่ 50,000กว่าเลยครับ แล้วอะไรที่เป็นเครื่องกำหนดราคาตรงนี้คงต้องกลับมา ที่เรื่องระยะเวลาในการบ่มครับว่านานกี่สิบปี โดยทั่วไป Brandy จะอยู่ที่ 1~2ปี (V.S. – Very Special) และ 2~6ปี (V.S.O.P. – Very Special Old Pale) แต่ถ้าเกิน 6ปี ขึ้นไปจะได้เป็น X.O. (Extra Old) แต่ด้วยศักดิ์ศรีของแคว้น Cognac ถ้าบ่มเกิน 6ปีนิดๆ คงไม่อาจหาญที่จะเรียกตัว เองว่า Cognac XO ได้เต็มปาก Master Blender เลยจัดให้ทะลุ 20ปี เป็นส่วนใหญ่เพื่อให้สมเกียรติแห่งชายชาติฝรั่งเศษและเพื่อที่จะได้อัพราคาให้แพงๆ ได้ครับ (สมัยไปฝรั่งเศสเคยถามคนฝรั่งเศสว่า เค้าเอามาตราฐานอะไรมากำหนดราคาไวน์ คนทำไวน์ บอกว่าราคาขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้ผลิตและความคาดหวังว่าน่าจะขายได้แพง ถ้าพูดง่ายๆ คือไม่มีเกณฑ์ตายตัว)
เดี๋ยวมาพิมพ์ต่อนะครับ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น