ในเดือนสิงหาคม ปี 1964 มีเหตุการณ์ต่างๆมากมายที่ชายฝั่งของเวียดนามเหนือและมีการประเมินสถานการณ์ที่กรุงวอชิงตันดีซี โดยประเทศอเมริกาก็ได้ดำเนินแนวทางแบบเดียวกันอีก 10 ปีให้หลังและมีแนวโน้มว่าเป็นนโยบายต่างประเทศที่ใช้กันจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าเหตุการณ์จะเกิดหรือไม่เกิดขึ้นที่อ่าวตังเกี๋ยในวันที่ 2 กับ 4 สิงหาคมก็ยังคงเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ แต่การตัดสินใจของคณะรัฐบาลจอห์นสันกับสภาก็มีการตีความเหตุการณ์ต่างๆให้เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต
แม้ว่าจะมีข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดข้อมูลต่างๆมากมายเมื่อ 44 ปีก่อนจากนักสังเกตหลายคนที่ได้รายงานเหตุการณ์ต่างๆในเวลานั้นว่า ไม่เคยเกิดขึ้นจริง กุญแจสำคัญส่วนหนึ่งก็มาจากข้อมูลของฝ่ายข่าวกรองที่มีการเปิดเผยไม่นานมานี้
ในช่วงปลายปี 2007 ก็มีข้อมูลเผยแพร่สู่สาธารณะจากรายงานอย่างเป็นทางการของ NSA จากข้อมูลของฝ่าย SIGINT ในประเทศเวียดนาม ในปี 2002 ก็มีการเผยแพร่ข้อมูลการปฎิบัติการ โดยมีรายงานออกมาหลังจากที่เหตุการณ์ผ่านไปเกือบ 40 ปีมาแล้ว รายงานอย่างเป็นทางการของ NSA ก็เผยให้เห็นถึงการตัดสินใจของรัฐบาลในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ปี 1964 ว่า ประธานาธิบดีลินดอน จอห์นสันได้ออกโทรทัศน์เฉพาะกิจว่า “การโจมตีได้จมเรือ Maddox ไป เมื่อวันที่ 2 สิงหาคมก็มีรายงานว่า ข้าศึกได้จมเรือรบอเมริกัน 2 ลำด้วยตอร์ปิโด...ตอนนี้มีการรุกรานทางอากาศยานเพื่อหวังโจมตีเรือรบและเป็นที่แน่นอนว่ามาจากฝั่งของเวียดนามเหนือซึ่งถือเป็นข้าศึกฝ่ายตรงข้าม”
วันต่อมาประธานาธิบดีได้เปิดประชุมสภา โดยขออำนาจในการส่งกองกำลังสนับสนุนเพื่อปลดปล่อยเสรีภาพและอ้างว่าส่งกองกำลังเพื่อสันติภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
ทางด้านสภาก็ได้ลงมติในวันที่ 7 สิงหาคม ปี 1964 โดยมอบหมายอำนาจให้ทางประธานาธิบดีใช้อำนาจเข้าไปทำสงครามระหว่างเวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้และยังเป็นการเพิ่มอำนาจทางกฎหมายให้กับจอห์นสันสันกับคณะรัฐบาลนิกสันมากขึ้นโดยไม่สนเสียงส่วนใหญ่ของชาวอเมริกันที่เข้าใจเหตุการณ์นี้เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 1964
มีข้อสังเกตเกี่ยวกับแรงจูงใจของคณะรัฐบาลที่มีต่อเหตุการณ์อ่าวตังเกี๋ยและภายหลังต่อมาก็มีการยับยั้งไม่ให้มีการเผยแพร่ข้อมูลสำคัญๆออกมา แต่บันทึกข้อมูลของฝ่ายข่าวกรองก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า ฝ่ายข่าวกรองดำเนินผิดพลาด อธิบายเหตุการณ์ไปในทางที่ผิด สื่อสารเหตุการณ์ผิดและยังตัดสินใจผิดพลาดจากเหตุการณ์อ่าวตังเกี๋ยปี 1964 ที่แสดงให้เห็นว่า ทั้งฝ่ายวิเคราะห์กับเจ้าหน้าที่รัฐได้ตัดสินใจผิดพลาดครั้งใหญ่ที่นำประเทศเข้าสู่สงคราม
เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อเวลาราวๆประมาณ 14.30 ของวันที่ 2 สิงหาคม ปี 1964 มีรายงานว่า เรือ USS Maddox (DD-731) ตรวจจับพบเรือตอร์ปิโดของเวียดนามเหนือจำนวน 3 ลำที่เคลื่อนเข้ามาด้วยความเร็วสูง โดยเรือ Maddox ก็มาพร้อมกับเรือรบอเมริกันลำอื่นๆ เรือ Maddox อยู่ระยะทางห่างจาก 28 ไมล์ทะเลของชายฝั่งเวียดนามเหนือในขณะที่มีการรวบรวมข้อมูลบริเวณชายฝั่งของประเทศ
เนื่องจากเรือตอร์ปิโดเคลื่อนเข้ามาด้วยความเร็วสูง เรือ Maddox ก็ได้ยิงปืนดักหน้าเรือหากจรวดอยู่ใกล้รัศมีที่ 1 หมื่นหลา เมื่อมาถึงพิกัดแล้ว เรือ Maddox ก็ได้ยิงปืนดักหน้าเรือ 3 ครั้ง แต่เรือตอร์ปิโดก็ยังเคลื่อนด้วยความเร็วสูง
ภายหลังจากที่มีการยิงแลกกันแล้ว ทั้งเรือรบอเมริกันกับเวียดนามเหนือต่างก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก อย่างไรก็ตามเครื่องบินที่อยู่ในเรือบรรทุก Ticonderoga (CVA-14) ก็ไม่สามารถใช้การได้และได้รับความเสียหาย ใน 2 วันต่อมา วันที่ 4 สิงหาคม เรือ Maddox ก็ได้กลับพื้นที่เดิมโดยได้รับการสนับสนุนจากเรือรบ Turner Joy (DD-951) เวลานี้เรือรบอเมริกันก็ได้รับตรวจสอบผ่านสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์และแสดงให้เห็นว่าเรือรบเวียดนามเหนือจะเข้ามาจู่โจมอีก และทางด้านอเมริกาจึงขอกำลังเสริมทางอากาศ
เอกสารกว่า 522 หน้าที่มาจากรายงานของ NSA เกี่ยวกับการทำสงครามอินโดจีนเมื่อปี 1945-1975 นั้นก็มีการรายงานเผยแพร่ต่อสื่อมวลชนและมีข้อโต้แย้งในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์ที่อ่าวตังเกี๋ยจริงๆ รายงานได้มีการปกปิดเอาไว้จากเจ้าหน้าที่รัฐชาวอเมริกันหลายคนในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในการรุกรานเมืองไซง่อน มีการเปิดเผยว่าผู้บังคับการหลายคนต่างรู้เรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงว่า ฝ่ายวิเคราะห์ของ SIGINT มีความเห็นอย่างไรและจะรับมือกับทางสาธารณชนอย่างไรและจะชี้แจ้งกรณีที่เกิดขึ้นให้กระจ่างได้อย่างไรและคาดการณ์ได้ว่าจะต้องนำไปสู่ความขัดแย้งที่รากลึกและหลีกเลี่ยงการสร้างศัตรูที่เกิดขึ้นไม่ได้
รายงานก็มีการระบุเอาไว้เช่นกันว่า ไม่ว่า SIGINT จะบอกเรื่องราวกับผู้บังคับการเกี่ยวกับข้าศึกหรือเพื่อนที่ไว้วางใจไม่ได้ในการทำสงครามอย่างไร รายงานก็มีการสรุปเอาไว้เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอ่าวตังเกี๋ยว่า เป็นเหตุการณ์ทางเทคนิคที่พวกเขาใช้ประโยชน์จากการใช้อาวุธกับฝ่ายตรงข้ามโดยไม่สนใจกฎหมายและจะต้องพึ่งพาข้อมูลฝ่ายข่าวกรองสถานเดียว
รายงานจากสื่อมวลชนต่อรายงานของ NSA ก็ได้มีการปรับเนื้อหาข้อโต้แย้งเกี่ยวกับอ่าวตังเกี๋ย ประชาชนส่วนใหญ่มองว่าเหตุการณ์นี้เป็นการสร้างสถานการณ์หรือไม่ก็คนอเมริกันเป็นคนจุดชนวนขึ้นมาเอง ข้อโต้แย้งต่างๆนี้ก็ได้มีการขุดคุ้ยข้อมูลเชิงลึกกับเอกสารต่างๆที่มีการเผยแพร่โดย Daniel Ellsberg กับพวก และก็มีข้อมูลเพิ่มเติมอีก 10 ปีให้หลังในวันครบรอบการสัมภาษณ์กับผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์นั้น ซึ่งประกอบไปด้วยลูกเรือกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งต่างก็ไม่คาดคิดว่าจะมีการโจมตีระลอกที่สองเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม
โชคไม่ดีที่สื่อมวลชนรายงานเหตุการณ์ต่างๆด้วยความสับสนทั้งวันที่ 2 กับ 4 สิงหาคมโดยรวมเอาไว้ในเหตุการณ์เดียวกัน ทางด้านวุฒิสภาก็ได้ทำการสืบค้นข้อมูลในปี 1968 กับ 1975 ก็ไม่ค่อยอธิบายเรื่องนี้ให้กระจ่างและยังหาหลักฐานไม่เพียงพอ ซึ่งนำไปสู่ทฤษฎีสมคบคิดหลายรูปแบบด้วยกัน
แม้ว่านายพลเวียดนามเหนือ Vo Nguyen Gaip ยอมรับว่าในปี 1984 ว่า ได้ทำการพูดคุยกับ Robert S.McNamara ว่า การโจมตีครั้งแรกเป็นความจงใจ แต่เขาปฎิเสธว่าการโจมตีครั้งที่สองไม่ได้เป็นคนทำ ทางด้าน McNamara ก็ยืนกรานว่า หลักฐานได้แสดงให้เห็นว่า มีการโจมตีเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม และเขาก็กล่าวต่อในหนังสือที่ชื่อว่า Retrospect : The Tragedy And Lessons From Veitnam
ในปี 1996 หนังสือของ Edward Moise ที่ชื่อ Tonkin Gulf And The Escalation Of The Vietnam War ก็ได้เผยแพร่ตีพิมพ์ออกมาเป็นครั้งแรกโดยแสดงหลักฐานให้เห็นว่า รายงานของ SIGINT รายงานว่า วันที่ 2 สิงหาคม มีการโจมตีจริง แต่ไม่ได้ยืนยันว่า มีการโจมตีครั้งที่สองเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม อย่างไรก็ตามหนังสือของ Moise ก็อ้างอิงรายงานของ SIGINT ไม่กี่ชิ้น โดยที่เขาเองก็มีการรวบรวมข้อมูลต่างๆเอาไว้อย่างรอบด้าน
รายงานของ NSA เป็นรายงานแบบเปิดเผย ซึ่งรวมไปถึงการออกคำสั่งและการปฎิบัติการของแต่ละหน่วยที่เกี่ยวข้อง จากการศึกษาพบว่าข้อมูลข่าวกรองที่ได้รับก่อนหน้าหายไปบางส่วนกับรายงานเหตุการณ์อ่าวตังเกี๋ยที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นแล้ว
จากการศึกษาได้ทำการหักล้างความคิดที่กล่าวเกินจริง แต่ก็ยังมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้ง 2 วัน ในทางกลับกันก็ไม่มีรายงานการโจมตีปรากฏให้เห็นทั้ง 2 วัน และข้อเท็จจริงจากการโจมตีครั้งที่สองที่มาจากฝั่งเวียดนามเหนือเมื่อวันที่ 4 สิงหาคมนั้น แม้ว่าข้อมูลข่าวกรองทั้งหมดบอกว่าเป็นการกระทำของเวียดนามเหนือ และมีการติดต่อสื่อสารที่แสดงให้เห็นว่าเวียดนามเหนือเป็นคนออกคำสั่งการโจมตีครั้งแรก ซึ่งก็ยังไม่ชัดเจนว่าเรือ Maddox เป็นเป้าหมายของโจมตีแต่อย่างใด
รายงานของ NSA มีการเปิดเผยเรื่องการตีความสื่อสารกับการวิเคราะห์ที่ผิดพลาดของฝ่ายวิเคราะห์ของ SIGINT ความผิดพลาดนี้ก็ทำให้ทางกองบังคับการเรือรบชี้ว่า เวียดนามเหนือออกคำสั่งยิงเรือรบครั้งที่สองเมื่อวันที่ 4 สิงหาคมและด้วยเหตุนี้ทำให้ลูกเรือ Maddox พยายามตีความหมายการติดต่อสื่อสารและมีข้อมูลอื่นๆที่ยืนยันได้ว่า เรือรบจะต้องถูกโจมตีอีกครั้ง ภายหลังต่อมา SIGINT ก็ได้รายงานว่า มีการวิเคราะห์ผิดพลาดที่ว่า จะต้องมีการขอกำลังเสริมจากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ หลังจากมีการรายงานที่ได้รับจากผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ในอ่าว ซึ่งพวกเขาก็ได้มาถึงที่กรุงวอชิงตันหลายชั่วโมงหลังจากที่รายงานเหตุการณ์ครั้งที่สองแล้วนั้น ต่อมาก็มีการประเมินข้อมูลบางส่วนที่ได้รับมาก่อนหน้านี้และคณะรัฐบาลจอห์นสันสันก็ตัดสินใจที่จะโต้ตอบการโจมตีดังกล่าว
ความผิดพลาดต่างๆเกิดขึ้นจากการวิเคราะห์ในช่วงแรกอีกทั้งยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปฎิบัติการของฝ่ายเวียดนามเหนือและการปฎิบัติการที่มั่นใจได้ว่า เรือรบของอเมริกันจะไม่สามารถถูกจับไต๋ได้ เบื้องหลังข่าวกรองของเวียดนามเหนือนั้น มีระบบทั้งเครือข่ายและการควบคุมออกคำสั่งที่มีขีดจำกัด ในช่วงปลายปี 1958 เป็นที่แน่นอนว่าฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้ก่อรากสร้างตัวที่เวียดนามใต้ แต่ฝ่าย SIGINT ของอเมริกันนั้นยังขาดความพร้อม ขาดอาวุธยุโถปกรณ์ ซึ่งการสร้างบทละครของ SIGINT ของอเมริกันก็ยังมีข้อจำกัดอยู่จากการใช้ภาษาเวียดนาม
กองทัพของอเมริกาได้จัดตั้งศูนย์ SIGINT 3 แห่งในประเทศฟิลิปปินส์ แต่ละแห่งก็ให้บริการข้อมูลต่างๆ แต่การรายงานข้อมูลก็มีการใช้ชาวเวียดนามเหนือส่วนหนึ่งเพื่อติดต่อสื่อสาร เนื่องจากคอมมิวนิสต์ได้มีการใช้ช่องทางการสื่อสารขับเคลื่อนยุทธการต่างๆอย่างรวดเร็ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอเมริกันก็ได้เพิ่มกำลังสนับสนุนประเทศเวียดนามใต้อย่างเต็มที่ โดยข้อมูลข่าวกรองก็จะรวมไปถึงข้อมูลที่ได้จาก SIGINT เพื่อใช้ในการเสริมทัพของหน่วยปฎิบัติการของอเมริกามากขึ้น
ปัจจัยที่สำคัญส่วนหนึ่งก็คือ อเมริกาได้ให้การช่วยเหลือเวียดนามใต้ มีการสนับสนุนเวียดนามใต้อย่างลับๆในการต่อต้านเวียดนามเหนือบริเวณชายฝั่งทั้งการลำเลียงหรือการประสานงานกัน โดยมีการควบคุมภายใต้ปฎิบัติการที่ชื่อ OPLAN-34A โปรแกรมก็ดำเนินภายใต้ข้อมูลข่าวกรองที่มีการระบุเป้าหมายสำคัญๆ ทั้งการป้องกันเขตชายฝั่งตอนเหนือและมีการใช้ระบบตรวจตรา ซึ่งช่วยในการออกคำสั่งเดินเรือได้สะดวก มีการออกคำสั่งจาก Da Nang ที่ได้มีการรวบรวมข้อมูลข่าวกรองที่สำคัญๆ ในเวลานั้นกองทัพเรือก็ได้พึ่งพาการสนับสนุนจากกลุ่มนาวิกโยธิน (NSGA) ไม่ว่าจะเป็นที่ San Miguel ประเทศฟิลิปปินส์ จาก SIGINT จากการขนส่งทางทะเลภายใต้หน่วย DSUs
SIGINT ก็ให้การสนับสนุนแผนการ OPLAN-34 โดยเรียกเรือลาดตระเวนว่า Desoto ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่เหตุการณ์อ่าวตังเกี๋ย ในปี 1964 กองทัพเรือพยายามที่จะแทรกซึมพื้นที่ทางทะเลของฝ่ายเวียดนามเหนือแล้วมุ่งสู่ตอนใต้ และก็ระบุได้ถึงจำนวนเรือรบของฝ่ายเวียดนามเหนือ ซึ่งกองทัพ MACV เวียดนามก็ให้การสนับสนุนเวียดนามใต้ในการต่อต้านฝ่ายเวียดนามเหนืออยู่
ภารกิจรองในการลาดตระเวนที่อ่าวตังเกี๋ยก็คือ จะต้องแน่ใจว่าชาวอเมริกันเดินเรือตามเส้นทางสากล เรือรบของอเมริกันก็คาดได้ว่าอยู่ห่างจากเรือของเวียดนามเหนือ 5 ไมล์ทะเล ระยะทางตอนแรกประเมินเอาไว้ที่ 20 ไมล์ทะเล แต่ผู้บังคับการอเมริกาก็สั่งอยู่ในระดับที่ 12 ไมล์ทะเล เช่นกันทางด้านผู้บังคับการก็ได้ออกคำสั่งรวบรวมข้อมูลข่าวกรองทั้งเรือรบกับเครื่องบินตามที่เห็น รวมไปถึงสภาพอากาศและรวบรวมข้อมูลพื้นที่ผืนน้ำ
ปิดคดี : เหตุการณ์ที่อ่าวตังเกี๋ย
ในเดือนสิงหาคม ปี 1964 มีเหตุการณ์ต่างๆมากมายที่ชายฝั่งของเวียดนามเหนือและมีการประเมินสถานการณ์ที่กรุงวอชิงตันดีซี โดยประเทศอเมริกาก็ได้ดำเนินแนวทางแบบเดียวกันอีก 10 ปีให้หลังและมีแนวโน้มว่าเป็นนโยบายต่างประเทศที่ใช้กันจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าเหตุการณ์จะเกิดหรือไม่เกิดขึ้นที่อ่าวตังเกี๋ยในวันที่ 2 กับ 4 สิงหาคมก็ยังคงเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ แต่การตัดสินใจของคณะรัฐบาลจอห์นสันกับสภาก็มีการตีความเหตุการณ์ต่างๆให้เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต
แม้ว่าจะมีข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดข้อมูลต่างๆมากมายเมื่อ 44 ปีก่อนจากนักสังเกตหลายคนที่ได้รายงานเหตุการณ์ต่างๆในเวลานั้นว่า ไม่เคยเกิดขึ้นจริง กุญแจสำคัญส่วนหนึ่งก็มาจากข้อมูลของฝ่ายข่าวกรองที่มีการเปิดเผยไม่นานมานี้
ในช่วงปลายปี 2007 ก็มีข้อมูลเผยแพร่สู่สาธารณะจากรายงานอย่างเป็นทางการของ NSA จากข้อมูลของฝ่าย SIGINT ในประเทศเวียดนาม ในปี 2002 ก็มีการเผยแพร่ข้อมูลการปฎิบัติการ โดยมีรายงานออกมาหลังจากที่เหตุการณ์ผ่านไปเกือบ 40 ปีมาแล้ว รายงานอย่างเป็นทางการของ NSA ก็เผยให้เห็นถึงการตัดสินใจของรัฐบาลในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ปี 1964 ว่า ประธานาธิบดีลินดอน จอห์นสันได้ออกโทรทัศน์เฉพาะกิจว่า “การโจมตีได้จมเรือ Maddox ไป เมื่อวันที่ 2 สิงหาคมก็มีรายงานว่า ข้าศึกได้จมเรือรบอเมริกัน 2 ลำด้วยตอร์ปิโด...ตอนนี้มีการรุกรานทางอากาศยานเพื่อหวังโจมตีเรือรบและเป็นที่แน่นอนว่ามาจากฝั่งของเวียดนามเหนือซึ่งถือเป็นข้าศึกฝ่ายตรงข้าม”
วันต่อมาประธานาธิบดีได้เปิดประชุมสภา โดยขออำนาจในการส่งกองกำลังสนับสนุนเพื่อปลดปล่อยเสรีภาพและอ้างว่าส่งกองกำลังเพื่อสันติภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
ทางด้านสภาก็ได้ลงมติในวันที่ 7 สิงหาคม ปี 1964 โดยมอบหมายอำนาจให้ทางประธานาธิบดีใช้อำนาจเข้าไปทำสงครามระหว่างเวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้และยังเป็นการเพิ่มอำนาจทางกฎหมายให้กับจอห์นสันสันกับคณะรัฐบาลนิกสันมากขึ้นโดยไม่สนเสียงส่วนใหญ่ของชาวอเมริกันที่เข้าใจเหตุการณ์นี้เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 1964
มีข้อสังเกตเกี่ยวกับแรงจูงใจของคณะรัฐบาลที่มีต่อเหตุการณ์อ่าวตังเกี๋ยและภายหลังต่อมาก็มีการยับยั้งไม่ให้มีการเผยแพร่ข้อมูลสำคัญๆออกมา แต่บันทึกข้อมูลของฝ่ายข่าวกรองก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า ฝ่ายข่าวกรองดำเนินผิดพลาด อธิบายเหตุการณ์ไปในทางที่ผิด สื่อสารเหตุการณ์ผิดและยังตัดสินใจผิดพลาดจากเหตุการณ์อ่าวตังเกี๋ยปี 1964 ที่แสดงให้เห็นว่า ทั้งฝ่ายวิเคราะห์กับเจ้าหน้าที่รัฐได้ตัดสินใจผิดพลาดครั้งใหญ่ที่นำประเทศเข้าสู่สงคราม
เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อเวลาราวๆประมาณ 14.30 ของวันที่ 2 สิงหาคม ปี 1964 มีรายงานว่า เรือ USS Maddox (DD-731) ตรวจจับพบเรือตอร์ปิโดของเวียดนามเหนือจำนวน 3 ลำที่เคลื่อนเข้ามาด้วยความเร็วสูง โดยเรือ Maddox ก็มาพร้อมกับเรือรบอเมริกันลำอื่นๆ เรือ Maddox อยู่ระยะทางห่างจาก 28 ไมล์ทะเลของชายฝั่งเวียดนามเหนือในขณะที่มีการรวบรวมข้อมูลบริเวณชายฝั่งของประเทศ
เนื่องจากเรือตอร์ปิโดเคลื่อนเข้ามาด้วยความเร็วสูง เรือ Maddox ก็ได้ยิงปืนดักหน้าเรือหากจรวดอยู่ใกล้รัศมีที่ 1 หมื่นหลา เมื่อมาถึงพิกัดแล้ว เรือ Maddox ก็ได้ยิงปืนดักหน้าเรือ 3 ครั้ง แต่เรือตอร์ปิโดก็ยังเคลื่อนด้วยความเร็วสูง
ภายหลังจากที่มีการยิงแลกกันแล้ว ทั้งเรือรบอเมริกันกับเวียดนามเหนือต่างก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก อย่างไรก็ตามเครื่องบินที่อยู่ในเรือบรรทุก Ticonderoga (CVA-14) ก็ไม่สามารถใช้การได้และได้รับความเสียหาย ใน 2 วันต่อมา วันที่ 4 สิงหาคม เรือ Maddox ก็ได้กลับพื้นที่เดิมโดยได้รับการสนับสนุนจากเรือรบ Turner Joy (DD-951) เวลานี้เรือรบอเมริกันก็ได้รับตรวจสอบผ่านสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์และแสดงให้เห็นว่าเรือรบเวียดนามเหนือจะเข้ามาจู่โจมอีก และทางด้านอเมริกาจึงขอกำลังเสริมทางอากาศ
เอกสารกว่า 522 หน้าที่มาจากรายงานของ NSA เกี่ยวกับการทำสงครามอินโดจีนเมื่อปี 1945-1975 นั้นก็มีการรายงานเผยแพร่ต่อสื่อมวลชนและมีข้อโต้แย้งในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์ที่อ่าวตังเกี๋ยจริงๆ รายงานได้มีการปกปิดเอาไว้จากเจ้าหน้าที่รัฐชาวอเมริกันหลายคนในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในการรุกรานเมืองไซง่อน มีการเปิดเผยว่าผู้บังคับการหลายคนต่างรู้เรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงว่า ฝ่ายวิเคราะห์ของ SIGINT มีความเห็นอย่างไรและจะรับมือกับทางสาธารณชนอย่างไรและจะชี้แจ้งกรณีที่เกิดขึ้นให้กระจ่างได้อย่างไรและคาดการณ์ได้ว่าจะต้องนำไปสู่ความขัดแย้งที่รากลึกและหลีกเลี่ยงการสร้างศัตรูที่เกิดขึ้นไม่ได้
รายงานก็มีการระบุเอาไว้เช่นกันว่า ไม่ว่า SIGINT จะบอกเรื่องราวกับผู้บังคับการเกี่ยวกับข้าศึกหรือเพื่อนที่ไว้วางใจไม่ได้ในการทำสงครามอย่างไร รายงานก็มีการสรุปเอาไว้เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอ่าวตังเกี๋ยว่า เป็นเหตุการณ์ทางเทคนิคที่พวกเขาใช้ประโยชน์จากการใช้อาวุธกับฝ่ายตรงข้ามโดยไม่สนใจกฎหมายและจะต้องพึ่งพาข้อมูลฝ่ายข่าวกรองสถานเดียว
รายงานจากสื่อมวลชนต่อรายงานของ NSA ก็ได้มีการปรับเนื้อหาข้อโต้แย้งเกี่ยวกับอ่าวตังเกี๋ย ประชาชนส่วนใหญ่มองว่าเหตุการณ์นี้เป็นการสร้างสถานการณ์หรือไม่ก็คนอเมริกันเป็นคนจุดชนวนขึ้นมาเอง ข้อโต้แย้งต่างๆนี้ก็ได้มีการขุดคุ้ยข้อมูลเชิงลึกกับเอกสารต่างๆที่มีการเผยแพร่โดย Daniel Ellsberg กับพวก และก็มีข้อมูลเพิ่มเติมอีก 10 ปีให้หลังในวันครบรอบการสัมภาษณ์กับผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์นั้น ซึ่งประกอบไปด้วยลูกเรือกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งต่างก็ไม่คาดคิดว่าจะมีการโจมตีระลอกที่สองเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม
โชคไม่ดีที่สื่อมวลชนรายงานเหตุการณ์ต่างๆด้วยความสับสนทั้งวันที่ 2 กับ 4 สิงหาคมโดยรวมเอาไว้ในเหตุการณ์เดียวกัน ทางด้านวุฒิสภาก็ได้ทำการสืบค้นข้อมูลในปี 1968 กับ 1975 ก็ไม่ค่อยอธิบายเรื่องนี้ให้กระจ่างและยังหาหลักฐานไม่เพียงพอ ซึ่งนำไปสู่ทฤษฎีสมคบคิดหลายรูปแบบด้วยกัน
แม้ว่านายพลเวียดนามเหนือ Vo Nguyen Gaip ยอมรับว่าในปี 1984 ว่า ได้ทำการพูดคุยกับ Robert S.McNamara ว่า การโจมตีครั้งแรกเป็นความจงใจ แต่เขาปฎิเสธว่าการโจมตีครั้งที่สองไม่ได้เป็นคนทำ ทางด้าน McNamara ก็ยืนกรานว่า หลักฐานได้แสดงให้เห็นว่า มีการโจมตีเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม และเขาก็กล่าวต่อในหนังสือที่ชื่อว่า Retrospect : The Tragedy And Lessons From Veitnam
ในปี 1996 หนังสือของ Edward Moise ที่ชื่อ Tonkin Gulf And The Escalation Of The Vietnam War ก็ได้เผยแพร่ตีพิมพ์ออกมาเป็นครั้งแรกโดยแสดงหลักฐานให้เห็นว่า รายงานของ SIGINT รายงานว่า วันที่ 2 สิงหาคม มีการโจมตีจริง แต่ไม่ได้ยืนยันว่า มีการโจมตีครั้งที่สองเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม อย่างไรก็ตามหนังสือของ Moise ก็อ้างอิงรายงานของ SIGINT ไม่กี่ชิ้น โดยที่เขาเองก็มีการรวบรวมข้อมูลต่างๆเอาไว้อย่างรอบด้าน
รายงานของ NSA เป็นรายงานแบบเปิดเผย ซึ่งรวมไปถึงการออกคำสั่งและการปฎิบัติการของแต่ละหน่วยที่เกี่ยวข้อง จากการศึกษาพบว่าข้อมูลข่าวกรองที่ได้รับก่อนหน้าหายไปบางส่วนกับรายงานเหตุการณ์อ่าวตังเกี๋ยที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นแล้ว
จากการศึกษาได้ทำการหักล้างความคิดที่กล่าวเกินจริง แต่ก็ยังมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้ง 2 วัน ในทางกลับกันก็ไม่มีรายงานการโจมตีปรากฏให้เห็นทั้ง 2 วัน และข้อเท็จจริงจากการโจมตีครั้งที่สองที่มาจากฝั่งเวียดนามเหนือเมื่อวันที่ 4 สิงหาคมนั้น แม้ว่าข้อมูลข่าวกรองทั้งหมดบอกว่าเป็นการกระทำของเวียดนามเหนือ และมีการติดต่อสื่อสารที่แสดงให้เห็นว่าเวียดนามเหนือเป็นคนออกคำสั่งการโจมตีครั้งแรก ซึ่งก็ยังไม่ชัดเจนว่าเรือ Maddox เป็นเป้าหมายของโจมตีแต่อย่างใด
รายงานของ NSA มีการเปิดเผยเรื่องการตีความสื่อสารกับการวิเคราะห์ที่ผิดพลาดของฝ่ายวิเคราะห์ของ SIGINT ความผิดพลาดนี้ก็ทำให้ทางกองบังคับการเรือรบชี้ว่า เวียดนามเหนือออกคำสั่งยิงเรือรบครั้งที่สองเมื่อวันที่ 4 สิงหาคมและด้วยเหตุนี้ทำให้ลูกเรือ Maddox พยายามตีความหมายการติดต่อสื่อสารและมีข้อมูลอื่นๆที่ยืนยันได้ว่า เรือรบจะต้องถูกโจมตีอีกครั้ง ภายหลังต่อมา SIGINT ก็ได้รายงานว่า มีการวิเคราะห์ผิดพลาดที่ว่า จะต้องมีการขอกำลังเสริมจากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ หลังจากมีการรายงานที่ได้รับจากผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ในอ่าว ซึ่งพวกเขาก็ได้มาถึงที่กรุงวอชิงตันหลายชั่วโมงหลังจากที่รายงานเหตุการณ์ครั้งที่สองแล้วนั้น ต่อมาก็มีการประเมินข้อมูลบางส่วนที่ได้รับมาก่อนหน้านี้และคณะรัฐบาลจอห์นสันสันก็ตัดสินใจที่จะโต้ตอบการโจมตีดังกล่าว
ความผิดพลาดต่างๆเกิดขึ้นจากการวิเคราะห์ในช่วงแรกอีกทั้งยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปฎิบัติการของฝ่ายเวียดนามเหนือและการปฎิบัติการที่มั่นใจได้ว่า เรือรบของอเมริกันจะไม่สามารถถูกจับไต๋ได้ เบื้องหลังข่าวกรองของเวียดนามเหนือนั้น มีระบบทั้งเครือข่ายและการควบคุมออกคำสั่งที่มีขีดจำกัด ในช่วงปลายปี 1958 เป็นที่แน่นอนว่าฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้ก่อรากสร้างตัวที่เวียดนามใต้ แต่ฝ่าย SIGINT ของอเมริกันนั้นยังขาดความพร้อม ขาดอาวุธยุโถปกรณ์ ซึ่งการสร้างบทละครของ SIGINT ของอเมริกันก็ยังมีข้อจำกัดอยู่จากการใช้ภาษาเวียดนาม
กองทัพของอเมริกาได้จัดตั้งศูนย์ SIGINT 3 แห่งในประเทศฟิลิปปินส์ แต่ละแห่งก็ให้บริการข้อมูลต่างๆ แต่การรายงานข้อมูลก็มีการใช้ชาวเวียดนามเหนือส่วนหนึ่งเพื่อติดต่อสื่อสาร เนื่องจากคอมมิวนิสต์ได้มีการใช้ช่องทางการสื่อสารขับเคลื่อนยุทธการต่างๆอย่างรวดเร็ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอเมริกันก็ได้เพิ่มกำลังสนับสนุนประเทศเวียดนามใต้อย่างเต็มที่ โดยข้อมูลข่าวกรองก็จะรวมไปถึงข้อมูลที่ได้จาก SIGINT เพื่อใช้ในการเสริมทัพของหน่วยปฎิบัติการของอเมริกามากขึ้น
ปัจจัยที่สำคัญส่วนหนึ่งก็คือ อเมริกาได้ให้การช่วยเหลือเวียดนามใต้ มีการสนับสนุนเวียดนามใต้อย่างลับๆในการต่อต้านเวียดนามเหนือบริเวณชายฝั่งทั้งการลำเลียงหรือการประสานงานกัน โดยมีการควบคุมภายใต้ปฎิบัติการที่ชื่อ OPLAN-34A โปรแกรมก็ดำเนินภายใต้ข้อมูลข่าวกรองที่มีการระบุเป้าหมายสำคัญๆ ทั้งการป้องกันเขตชายฝั่งตอนเหนือและมีการใช้ระบบตรวจตรา ซึ่งช่วยในการออกคำสั่งเดินเรือได้สะดวก มีการออกคำสั่งจาก Da Nang ที่ได้มีการรวบรวมข้อมูลข่าวกรองที่สำคัญๆ ในเวลานั้นกองทัพเรือก็ได้พึ่งพาการสนับสนุนจากกลุ่มนาวิกโยธิน (NSGA) ไม่ว่าจะเป็นที่ San Miguel ประเทศฟิลิปปินส์ จาก SIGINT จากการขนส่งทางทะเลภายใต้หน่วย DSUs
SIGINT ก็ให้การสนับสนุนแผนการ OPLAN-34 โดยเรียกเรือลาดตระเวนว่า Desoto ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่เหตุการณ์อ่าวตังเกี๋ย ในปี 1964 กองทัพเรือพยายามที่จะแทรกซึมพื้นที่ทางทะเลของฝ่ายเวียดนามเหนือแล้วมุ่งสู่ตอนใต้ และก็ระบุได้ถึงจำนวนเรือรบของฝ่ายเวียดนามเหนือ ซึ่งกองทัพ MACV เวียดนามก็ให้การสนับสนุนเวียดนามใต้ในการต่อต้านฝ่ายเวียดนามเหนืออยู่
ภารกิจรองในการลาดตระเวนที่อ่าวตังเกี๋ยก็คือ จะต้องแน่ใจว่าชาวอเมริกันเดินเรือตามเส้นทางสากล เรือรบของอเมริกันก็คาดได้ว่าอยู่ห่างจากเรือของเวียดนามเหนือ 5 ไมล์ทะเล ระยะทางตอนแรกประเมินเอาไว้ที่ 20 ไมล์ทะเล แต่ผู้บังคับการอเมริกาก็สั่งอยู่ในระดับที่ 12 ไมล์ทะเล เช่นกันทางด้านผู้บังคับการก็ได้ออกคำสั่งรวบรวมข้อมูลข่าวกรองทั้งเรือรบกับเครื่องบินตามที่เห็น รวมไปถึงสภาพอากาศและรวบรวมข้อมูลพื้นที่ผืนน้ำ