หลังทำพาคนดูไปทำความรู้จักกับสไนเปอร์มือหนึ่งของอเมริกาไปแล้วเมื่อสองปีก่อน มาปีนี้ผู้กำกับรุ่นเดอะฝีมือดีอย่าง คลินต์ อีสต์วูด ก็ยังคงทำหนังที่เล่าเรื่องบุคคลจริงเช่นเคย และคราวนี้เขาพาเราไปรู้จักกับ เชสลีย์ ซัลเลนเบอร์เกอร์ หรือ ซัลลี กัปตันเครื่องบินยูเอส แอร์ไลน์ ไฟล์ท 1549 ที่เกิดเหตุการณ์ฝูงนกบินชน (Bird Strike) ทำให้ตัวเครื่องบินเสียหาย เมื่อตัวเครื่องทั้งสองข้างไม่สามารถทำงานต่อได้ ภายในเวลาเพียง 208 วินาทีนั้น กัปตันซัลลีได้ตัดสินใจนำเครื่องบินลงจอดที่แม่น้ำฮัดสัน และเกิดปาฏิหาริย์เมื่อเขาสามารถนำเครื่องลงจอดได้โดยไม่มีใครเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้แม้แต่คนเดียว เหตุการณ์ดังกล่าวถูกขนานนามว่าเป็น เหตุการณ์ปาฏิหาริย์ที่แม่น้ำฮัดสัน
เหตุการณ์ทั้งหมดระบุชัดเจนว่า ซัลลี นั้นคือฮีโร่อย่างแท้จริง เพราะเขานั้นช่วย 155 ชีวิตได้อย่างปลอดภัย แต่ปัญหาก็ตรงที่ว่า คณะกรรมการสืบสวนกลับได้ผลตรวจสอบว่า หากซัลลีทำตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ที่ว่าให้ลงจอดในรันเวย์ที่สนามบินลากัวเดีย หรือสนามบินใกล้เคียง ตามหลักวิศวกรรมแล้วนั้นสามารถทำได้ และปลอดภัยกว่าการนำเครื่องลงจอดที่แม่น้ำฮัดสันอย่างแน่นอน ทำให้เกิดความคิดขัดแย้งในตัวซัลลีเองว่า หรือว่าเขานั้นคิดผิดที่นำเครื่องจอดที่แม่น้ำ และวีรกรรมของเขานั้นแท้จริงเป็นฮีโร่ที่ช่วยชีวิต หรือเป็นวายร้ายที่กำลังพา 155 ชีวิตไปตาย
ความเก๋าของปู่คลินต์
ผู้กำกับลายครามเล่าเรื่องหนังแบบเรียบ นิ่ง ตามสไตล์ปู่คลินต์ ไม่มีเหตุการณ์ หรือซีนใดที่โดดเด่นหรือเป็นภาพจำที่มากกว่าซีนอื่น แต่เราสังเกตได้เลยว่า การเล่าเรื่องนั้นเปี่ยมไปด้วยชั้นเชิง ที่สะสมประสบการณ์มาอย่างยาวนาน เรียกง่าย ๆว่า ผู้กำกับมีความ “เก๋า” มากพอที่จะทำให้ทุกฉาก ทุกซีนที่ดูเหมือนจะเรื่อย ๆไม่มีอะไรโดนเด่น ให้ดูมีพลังและน่าติดตามไปเรื่อย ๆโดยไม่น่าเบื่อแม้แต่น้อย จะมีข้อติอยู่บ้างก็ตรงที่หนังใช้เสียงประกอบแบบพร่ำเพื่อมากไปหน่อย จนรู้สึกเหมือนเสียงนั้นไม่จำเป็นในบางฉาก
เพราะหากย้อนไปดูผลงานก่อนหน้าของเขา จะเห็นว่าก็ไม่มีฉากใดที่เหมือนเป็นไคล์แม็กซ์ หรือคนดูเฝ้ารอที่จะเจอฉากนี้ เขาจะเริ่มและจบหนังด้วยโทนและอารมณ์แบบเนื้อเดียวกันเสมอ ไม่ว่าจะเป็นหนังสงครามอย่าง Letters from Iwo Jima หนังคาวบอยอย่าง Unforgiven หรือหนังดราม่านักมวยหญิงสู้ชีวิตอย่าง Million Dollar Baby แต่ในความนิ่งนั้นก็แสดงให้ถึงความหมาย และพลังในการเล่าฉากนั้น ๆ ที่มีมากพอให้เรารู้สึกได้ไม่ยาก ในบางครั้งกลับรู้สึกมากกว่าหนังที่บิวด์คนดูอย่างหนักหน่วงด้วยซ้ำไป
Imax 99 เปอร์เซ็นต์
สิ่งที่ไม่พูดไม่ได้เลย คือเรื่องที่หนังเรื่องนี้ถ่ายทำด้วยกล้อง Imax เกือบทั้งเรื่องด้วยระบบใหม่ล่าสุด ที่มีความคมชัดถึง 6K มองในภาพรวมนั้น หนังเรื่องนี้ดูจากภายนอกอาจจะไม่ได้เหมาะมากนักกับการใช้กล้องตัวนี้ ที่มักจะไว้ถ่ายหนังแอ็คชั่นฟอร์มใหญ่ที่มีฉากอลังการทั้งหลายมากกว่าที่ใช้ถ่ายหนังเล่าเรื่องดราม่าแบบนี้ (ซึ่งในตอนนี้ปู่คลินต์คงเป็นผู้กำกับไม่กี่คนในโลกที่มีบารมีมากพอที่จะทำแบบนี้ได้) แต่อย่างน้อยเรื่องนี้ก็ใช้ประโยชน์ของคุณสมบัติของกล้องได้อย่างมีประสิทธิภาพมากพอ เมื่อภาพที่เราเห็น (หากได้รับชมในโรง Imax) นั้นสามารถชักจูงสมาธิของคนดูได้ทันทีที่หนังเริ่มต้น ด้วยขนาดภาพ หรือความคมชัด บวกกับการเล่าเรื่องของปู่คลินต์แล้ว ทำให้ความชอบธรรมในการนำกล้องตัวนี้มาใช้กับหนังก็เป็นเรื่องที่ปล่อยผ่านได้ทันที
บุคคลในสถานการณ์
หนังเรื่องนี้ทำให้คนดูหรือแม้แต่ตัวละคร ตั้งคำถามกับตัวเองเหมือนกันว่า หรือสิ่งที่เราตัดสินใจไปนั้นจะผิดจริง ๆ เพราะคนดูก็ถูกนำให้คิดในมุมมองของตัวละคร ซัลลี แต่สิ่งเดียวที่ซัลลีมั่นใจอย่างมาก นั้นคือความรู้สึกของเขาในสถานการณ์นั้น มันไม่ได้โกหกเขา ประกอบกับประสบการณ์ที่สั่งสมมาและเวลาให้ตัดสินใจเพียงร่วม 3 นาทีทำให้เขาเลือกที่จะมองว่าแม่น้ำฮัดสันนั้นเป็นจุดปลอดภัยที่สุด นั้นเป็นความรู้สึกและความคิดของบุคคลที่อยู่ ณ สถานการณ์ตรงนั้น และเป็นผู้เดียวที่จะต้องตัดสินใจ และเป็นการตัดสินใจที่ชี้เป็นชี้ตาย 155 ชีวิต ส่วนบุคคลในคณะกรรมการสืบสวนคือบุคคลภายนอก ที่เลือกจะใช้หลักการคำนวณหรือทฤษฏีต่าง ๆมาหักล้างการกระทำของซัลลี
แต่เราก็ไม่สามารถมองว่าบุคคลกลุ่มนี้เป็นตัวร้าย เพราะนั้นคืออาชีพและหน้าที่ของเขา แต่สิ่งที่พวกเขารวมถึงคนส่วนใหญ่เลือกที่จะมองข้ามไป ไม่ว่าจะด้วยสถานการณ์ใด คือหากว่าเราไม่ได้เป็นคนในเหตุการณ์ เราไม่มีทางจะรู้ได้เลยว่า ความจริงแล้วเราควรจะตัดสินใจหรือปฏิบัติอย่างไร เพราะเราไม่ได้อยู่ตรงนั้น และในบางสถานการณ์นั้นก็ตัดสินยากเกินกว่าที่จะใช้อะไรมาวิเคราะห์และตัดสินใจแทนคนนั้น ๆได้ นั้นคือส่วนหนึ่งที่หนังต้องการจะบอกเรา
หากนับในเรื่องเฉพาะภาพยนตร์ หนังเรื่องนี้ถือว่าสอบผ่านตามมาตรฐานของหนัง คลินต์ อีสต์วูด ที่อยู่ในเกณฑ์ที่น่าจดจำพอ ๆกับ Letter from Iwo Jima หรือ Gran Torino อาจจะไม่ได้ท็อปฟอร์มเป็นหนังขึ้นหิ้งอย่าง Million Dollar Baby, Unforgiven แต่ก็เป็นอีกเรื่องของปีที่ก็มีอะไรดี เกินกว่าที่จะมองข้ามไปได้
ขอบคุณรูปจาก Warner Bros. Pictures
หากอ่านแล้วชอบ ติดตามรีวิวและบทความเกี่ยวกับหนังต่อได้ที่เพจ
https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft นะครับ
รีวิว Sully : บุคคลในสถานการณ์
หลังทำพาคนดูไปทำความรู้จักกับสไนเปอร์มือหนึ่งของอเมริกาไปแล้วเมื่อสองปีก่อน มาปีนี้ผู้กำกับรุ่นเดอะฝีมือดีอย่าง คลินต์ อีสต์วูด ก็ยังคงทำหนังที่เล่าเรื่องบุคคลจริงเช่นเคย และคราวนี้เขาพาเราไปรู้จักกับ เชสลีย์ ซัลเลนเบอร์เกอร์ หรือ ซัลลี กัปตันเครื่องบินยูเอส แอร์ไลน์ ไฟล์ท 1549 ที่เกิดเหตุการณ์ฝูงนกบินชน (Bird Strike) ทำให้ตัวเครื่องบินเสียหาย เมื่อตัวเครื่องทั้งสองข้างไม่สามารถทำงานต่อได้ ภายในเวลาเพียง 208 วินาทีนั้น กัปตันซัลลีได้ตัดสินใจนำเครื่องบินลงจอดที่แม่น้ำฮัดสัน และเกิดปาฏิหาริย์เมื่อเขาสามารถนำเครื่องลงจอดได้โดยไม่มีใครเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้แม้แต่คนเดียว เหตุการณ์ดังกล่าวถูกขนานนามว่าเป็น เหตุการณ์ปาฏิหาริย์ที่แม่น้ำฮัดสัน
เหตุการณ์ทั้งหมดระบุชัดเจนว่า ซัลลี นั้นคือฮีโร่อย่างแท้จริง เพราะเขานั้นช่วย 155 ชีวิตได้อย่างปลอดภัย แต่ปัญหาก็ตรงที่ว่า คณะกรรมการสืบสวนกลับได้ผลตรวจสอบว่า หากซัลลีทำตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ที่ว่าให้ลงจอดในรันเวย์ที่สนามบินลากัวเดีย หรือสนามบินใกล้เคียง ตามหลักวิศวกรรมแล้วนั้นสามารถทำได้ และปลอดภัยกว่าการนำเครื่องลงจอดที่แม่น้ำฮัดสันอย่างแน่นอน ทำให้เกิดความคิดขัดแย้งในตัวซัลลีเองว่า หรือว่าเขานั้นคิดผิดที่นำเครื่องจอดที่แม่น้ำ และวีรกรรมของเขานั้นแท้จริงเป็นฮีโร่ที่ช่วยชีวิต หรือเป็นวายร้ายที่กำลังพา 155 ชีวิตไปตาย
ความเก๋าของปู่คลินต์
ผู้กำกับลายครามเล่าเรื่องหนังแบบเรียบ นิ่ง ตามสไตล์ปู่คลินต์ ไม่มีเหตุการณ์ หรือซีนใดที่โดดเด่นหรือเป็นภาพจำที่มากกว่าซีนอื่น แต่เราสังเกตได้เลยว่า การเล่าเรื่องนั้นเปี่ยมไปด้วยชั้นเชิง ที่สะสมประสบการณ์มาอย่างยาวนาน เรียกง่าย ๆว่า ผู้กำกับมีความ “เก๋า” มากพอที่จะทำให้ทุกฉาก ทุกซีนที่ดูเหมือนจะเรื่อย ๆไม่มีอะไรโดนเด่น ให้ดูมีพลังและน่าติดตามไปเรื่อย ๆโดยไม่น่าเบื่อแม้แต่น้อย จะมีข้อติอยู่บ้างก็ตรงที่หนังใช้เสียงประกอบแบบพร่ำเพื่อมากไปหน่อย จนรู้สึกเหมือนเสียงนั้นไม่จำเป็นในบางฉาก
เพราะหากย้อนไปดูผลงานก่อนหน้าของเขา จะเห็นว่าก็ไม่มีฉากใดที่เหมือนเป็นไคล์แม็กซ์ หรือคนดูเฝ้ารอที่จะเจอฉากนี้ เขาจะเริ่มและจบหนังด้วยโทนและอารมณ์แบบเนื้อเดียวกันเสมอ ไม่ว่าจะเป็นหนังสงครามอย่าง Letters from Iwo Jima หนังคาวบอยอย่าง Unforgiven หรือหนังดราม่านักมวยหญิงสู้ชีวิตอย่าง Million Dollar Baby แต่ในความนิ่งนั้นก็แสดงให้ถึงความหมาย และพลังในการเล่าฉากนั้น ๆ ที่มีมากพอให้เรารู้สึกได้ไม่ยาก ในบางครั้งกลับรู้สึกมากกว่าหนังที่บิวด์คนดูอย่างหนักหน่วงด้วยซ้ำไป
Imax 99 เปอร์เซ็นต์
สิ่งที่ไม่พูดไม่ได้เลย คือเรื่องที่หนังเรื่องนี้ถ่ายทำด้วยกล้อง Imax เกือบทั้งเรื่องด้วยระบบใหม่ล่าสุด ที่มีความคมชัดถึง 6K มองในภาพรวมนั้น หนังเรื่องนี้ดูจากภายนอกอาจจะไม่ได้เหมาะมากนักกับการใช้กล้องตัวนี้ ที่มักจะไว้ถ่ายหนังแอ็คชั่นฟอร์มใหญ่ที่มีฉากอลังการทั้งหลายมากกว่าที่ใช้ถ่ายหนังเล่าเรื่องดราม่าแบบนี้ (ซึ่งในตอนนี้ปู่คลินต์คงเป็นผู้กำกับไม่กี่คนในโลกที่มีบารมีมากพอที่จะทำแบบนี้ได้) แต่อย่างน้อยเรื่องนี้ก็ใช้ประโยชน์ของคุณสมบัติของกล้องได้อย่างมีประสิทธิภาพมากพอ เมื่อภาพที่เราเห็น (หากได้รับชมในโรง Imax) นั้นสามารถชักจูงสมาธิของคนดูได้ทันทีที่หนังเริ่มต้น ด้วยขนาดภาพ หรือความคมชัด บวกกับการเล่าเรื่องของปู่คลินต์แล้ว ทำให้ความชอบธรรมในการนำกล้องตัวนี้มาใช้กับหนังก็เป็นเรื่องที่ปล่อยผ่านได้ทันที
บุคคลในสถานการณ์
หนังเรื่องนี้ทำให้คนดูหรือแม้แต่ตัวละคร ตั้งคำถามกับตัวเองเหมือนกันว่า หรือสิ่งที่เราตัดสินใจไปนั้นจะผิดจริง ๆ เพราะคนดูก็ถูกนำให้คิดในมุมมองของตัวละคร ซัลลี แต่สิ่งเดียวที่ซัลลีมั่นใจอย่างมาก นั้นคือความรู้สึกของเขาในสถานการณ์นั้น มันไม่ได้โกหกเขา ประกอบกับประสบการณ์ที่สั่งสมมาและเวลาให้ตัดสินใจเพียงร่วม 3 นาทีทำให้เขาเลือกที่จะมองว่าแม่น้ำฮัดสันนั้นเป็นจุดปลอดภัยที่สุด นั้นเป็นความรู้สึกและความคิดของบุคคลที่อยู่ ณ สถานการณ์ตรงนั้น และเป็นผู้เดียวที่จะต้องตัดสินใจ และเป็นการตัดสินใจที่ชี้เป็นชี้ตาย 155 ชีวิต ส่วนบุคคลในคณะกรรมการสืบสวนคือบุคคลภายนอก ที่เลือกจะใช้หลักการคำนวณหรือทฤษฏีต่าง ๆมาหักล้างการกระทำของซัลลี
แต่เราก็ไม่สามารถมองว่าบุคคลกลุ่มนี้เป็นตัวร้าย เพราะนั้นคืออาชีพและหน้าที่ของเขา แต่สิ่งที่พวกเขารวมถึงคนส่วนใหญ่เลือกที่จะมองข้ามไป ไม่ว่าจะด้วยสถานการณ์ใด คือหากว่าเราไม่ได้เป็นคนในเหตุการณ์ เราไม่มีทางจะรู้ได้เลยว่า ความจริงแล้วเราควรจะตัดสินใจหรือปฏิบัติอย่างไร เพราะเราไม่ได้อยู่ตรงนั้น และในบางสถานการณ์นั้นก็ตัดสินยากเกินกว่าที่จะใช้อะไรมาวิเคราะห์และตัดสินใจแทนคนนั้น ๆได้ นั้นคือส่วนหนึ่งที่หนังต้องการจะบอกเรา
หากนับในเรื่องเฉพาะภาพยนตร์ หนังเรื่องนี้ถือว่าสอบผ่านตามมาตรฐานของหนัง คลินต์ อีสต์วูด ที่อยู่ในเกณฑ์ที่น่าจดจำพอ ๆกับ Letter from Iwo Jima หรือ Gran Torino อาจจะไม่ได้ท็อปฟอร์มเป็นหนังขึ้นหิ้งอย่าง Million Dollar Baby, Unforgiven แต่ก็เป็นอีกเรื่องของปีที่ก็มีอะไรดี เกินกว่าที่จะมองข้ามไปได้
ขอบคุณรูปจาก Warner Bros. Pictures
หากอ่านแล้วชอบ ติดตามรีวิวและบทความเกี่ยวกับหนังต่อได้ที่เพจ https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft นะครับ