รีวิว Sully : ปาฎิหาริย์แม่น้ำฮัดสัน [by ที่นั่งธรรมดา]

Sully : ปาฎิหาริย์แห่งแม่น้ำฮัดสัน

Genre (แนว) : Biography , Drama

กำกับโดย : Clint Eastwood

     เกริ่นก่อนว่าในหมู่มวลหนังที่ปู่คลินท์กำกับ เคยดูมาไม่กี่เรื่องแค่ Million Dollar Baby , Mystic River , Invictus และก็เรื่องล่าสุดของแกคือ American Sniper พอมาถึงเรื่องนี้ตอนดูตัวอย่างแรกก็คิดเลยว่ามันจะเหมือนเรื่อง Flight ของ เซเมคิส หรือเปล่าหว่า? เพราะพล็อตเรื่องมันไปทางเดียวกัน แต่ด้วยความที่หนังมันมีชื่อของ Clint Eastwood กับ Tom Hanks กำกับอยู่เลยทำให้ตัดสินใจไปดูเรื่องนี้

     Sully เป็นเรื่องราวที่สร้างจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับสายการบิน U.S. Airways ที่เครื่องยนต์เกิดขัดข้อง แต่กัปตัน (Sully) นำเครื่องบินลงจอดได้สำเร็จ โดยใช้แม่น้ำฮัดสันเป็นที่ลงจอด และลูกเรือและผู้โดยสารทุกคนรอดชีวิต พอได้อ่านพล็อตเรื่องแล้ว ความสนใจของเรามันไม่ใช่ว่าหนังมันจะจบอย่างไร แต่เราสนใจว่าหนังมันจะมีวิธีเล่าอย่างไร

(อาจมีสปอยล์)


    
     เนื้อหาของหนังเรื่องนี้ไม่ใช่มาเล่าลำดับเหตุการณ์ว่าเครื่องขัดข้องยังไง? อะไรคือสาเหตุ? แล้วจะลงจอดได้ยังไง? มีใครตายไหม? หนังมันไม่ได้เล่าเรียงลำดับหนึ่งสองแล้วไปสาม หนังมันมีการตัดไปตัดมาเป็นช่วงๆ อย่างหนังช่วงแรกคือเหตุการณ์ลังจาก Sully นำเครื่องบินลงจอดได้สำเร็จ คือทำให้เรายากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ ถึงค่อยๆเล่าย้อนไปทีละฉาก
     
     ตัวละคร Sully เองหลังจากช่วยชีวิตคน 155 ชีวิต ด้วยวิธีแลนดิ้งลงบนแม่น้ำฮัดสันแบบไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน ก็ได้กลายเป็นบุคคลที่ใครๆก็สรรเสริญว่าเป็นวีรบุรุษ แต่พอหนังมันมาถึงจุดที่มีการสอบสวน เราที่เป็นคนดูก็ตั้งคำถามในตัว Sully ถึงการตัดสินใจของตัวเค้า หรือแม่แต่ตัวเค้าเองที่รู้สึกไม่มั่นใจว่าการตัดสินใจของตัวเองมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า มีหลายฉากที่ Sully มองเห็นเหตุการณ์เครื่องบินตก เหมือนคิดว่าถ้าตัดสินใจผิดคงตายไปแล้ว มันเป็นเหมือนช่วงเวลาที่เราได้ตัดสินใจทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ไปแล้วด้วยความบังเอิญหรือเพราะโชคช่วยมันดันสำเร็จ แต่พอเราลองคิดกลับดู หากมันไม่สำเร็จขึ้นมา มันจะเกิดอะไรขึ้น แล้วเราก็จะลองจินตนาการดูว่ามันจะน่ากลัวแค่ไหน หากเราตัดสินใจผิดพลาด
    
     ในการสอบสวน  Sully ได้กล่าวว่า “เครื่องบินไม่ได้ตกลงในแม่น้ำฮัดสัน แต่ลงจอดในแม่น้ำฮัดสัน” เป็นการพูดแก้ต่างที่ฟังดูเท่สุด เนื่องจากในการสอบสวน มีการพุ่งเป้ามาว่าที่เครื่องบินขัดข้องและต้องลงจอดในแม่น้ำคุณอาจจะเป็นฮีโร่ช่วยชีวิตคนไว้ได้หลายร้อยชีวิต แต่พวกบริษัทประกัน เค้าไม่ได้เห็นคุณเป็นฮีโร่ด้วยนะ เพราะมันเกิดความเสียหายขึ้นมากมายในการลงจอดในแม่น้ำ จุดนี้มันทำให้เราได้คิดว่าความจริงแล้วฮีโร่จริงๆมันคืออะไร? ช่วยชีวิตคนไว้ได้นี่ยังไม่เป็นฮีโร่อีกเหรอ? แต่จริงๆมันเป็นการมองโลกแบบอุดมคติ ฮีโร่มันก็มีเบื้องหลังเหมือนกัน ฮีโร่ก็เป็นคนนั่นแหละเอาง่ายๆ  มีทำผิดพลาดได้ การตัดสินใจของ Sully อาจจะผิดก็ได้ที่เลือกลงจอดผิดที่ ทั้งที่จริงแล้วไปจอดบนรันเวย์ก็สามารถทำได้
    
     พอหนังมันได้ดำเนินเรื่องราวไป ตัดฉากย้อนไปในเหตุการณ์เครื่องบินตก(ซึ่งย้อนเหตุการณ์เดิมซ้ำๆหลายครั้ง แต่ซ้ำแบบเปลี่ยนมุมมอง) มันก็เหมือนเฉลยคำถามในการสืบสวน และเฉลยคำถามในใจของคนดูไปด้วย ถือว่าหนังทำได้ดีในการเล่าเรื่อง ไม่มีอะไรค้างคาใจกลับบ้าน
    
     ภาพสวยดี มีโทนหนังหม่นๆ ตามสไตล์ปู่คลิ้นท์ (โทนหม่นๆอารมณ์ประมาณ American Sniper เลย) และดนตรีประกอบก็มีไม่มากนะแม้แต่ฉากเครื่องบินตกนี่แทบจะมีแค่เสียงเครื่องบินล้วนๆ ความตื่นเต้นมันมาจากสถานการณ์ ไม่ได้มาจากดนตรีประกอบซักเท่าไหร่
    
     ส่วน Tom Hanks แสดงดีมากๆ เรียกว่าเข้าถึงอารมณ์ผู้นำสุดๆ เราชอบฉากที่กัปตัน Sully เช็คจำนวนผู้โดยสารว่าอยู่รอดกันครบ 155 มั้ย หลังจากเครื่องตก คือดูแล้วรู้สึกเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อผู้โดยสารจริงๆ พอตอนที่มีคนมาแจ้งว่ารอดครบ 155 คน แกทำเหมือนจะร้องไห้ รู้สึกมันมีพลังมากๆ อารมณ์ของหนังมันจึงไปในทางบวกมากกว่าทางลบ ออกแนวหนังสร้างแรงบันดาลใจ ตัวละครมีเล่นมุกบ้างเป็นช่วงๆ ตอนจบก็ลงจอดแบบสวยๆเหมือนเครื่องบินลงจอดในแม่น้ำฮัดสัน



หากใครที่ชอบสามารถไปติดตามเราได้ที่เพจนะครับ
https://www.facebook.com/ordinaryseats/?fref=ts
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่