[หนังโรงเรื่องที่ 153] Sully - ปากคำของฮีโร่ ; (Clint Eastwood, 2016)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A+++++ (จากสเกล D-A)
**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ : เป็นการเล่าเรื่องโดยปากคำของหลายๆบุคคลโดยสร้างจากเหตุการณ์จริงในปี 2009, กับเหตุการณ์ที่เครื่อง A320 ของ US Airways Flight 1549** เกิดเหตุขัดข้องที่เครื่องยนต์ทั้งสองเครื่องหลังจากเทคออฟไปในเวลาไม่กี่นาที จนกัปตัน 'ซัลเลนเบอเกอร์' (Tom Hanks) จำเป็นต้องนำเครื่องลงจอดกลางแม่น้ำฮัดสัน และเป็นที่น่าอัศจรรย์ที่การลงจอดบนน้ำที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดกลับไม่เกิดการสูญเสียใดๆกับทั้ง 155 ชีวิตบนเครื่องแม้แต่คนเดียว
ต้องขอออกตัวก่อนว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในน้อยเรื่องที่ผู้เขียนไม่ได้อ่านเรื่องย่อหรือดูตัวอย่างมาก่อน (แต่พอจะรู้ว่าเกี่ยวกับอะไร) ดังนั้นความประทับใจที่ได้รับจากตัวหนังจริงๆอาจจะมากหรือน้อยไม่เท่ากับคนอื่นก็ได้ แต่พึงระลึกไว้อย่างนี่เป็นรีวิวอวย อวยแบบไม่ลืมหูลืมตา เพราะมันหาอะไรมาติไม่ได้
แวบแรกที่แปลกใจ+งงมากๆคือวิธีดำเนินเรื่อง คือตอนแรกเราเข้าใจว่าหนังที่มันสร้างจากเรื่องจริงที่ฟีลกู้ดขนาดนี้น่าจะออกแนวเอามารีรันใหม่ ใส่สีตีไข่ให้มันดราม่าบีบน้ำตาเยอะๆ แสดงให้เห็นถึงภาวะสิ้นหวังของผู้โดยสารที่เครื่องกำลังจะตกบ้างอะไรแบบนี้ .... ซึ่งที่เดามานั้น ผิดหมด!
หนังกลับโฟกัสไปที่เหตุการณ์ทีเกิดขึ้นหลังจากที่ 'กัปตันซัลลี่' ได้นำเครื่องลงจอดที่กลางแม่น้ำฮัดสันอย่างปลอดภัยเรียบร้อยแล้ว และต้องเผชิญหน้ากับการ 'สืบสวน' ของ NTSB/หน่วยงานสอบสวนอุบัติเหตุทางเครื่องบิน ที่ตั้งคำถามถึงการตัดสินใจของกัปตัน ว่าทำไม? จึงขัดคำสั่งของศูนย์บังคับการบินในการนำเครื่องลงจอดน้ำ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการสูญเสียมากที่สุด (ในหนังอ้างว่าให้คาดการณ์ว่าเสียชีวิตทั้งลำ) ในขณะที่ตัวเลือกที่เป็นรันเวย์สนามบินอื่นๆก็ยังมีอยู่ .. ซึ่งตัวซัลลี่เองก็ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากสังคมที่เชิดชูเขาเป็น 'วีรบุรุษ' หรือ 'ว่าที่ฆาตกร' จากการตัดสินใจครั้งนี้ไปพร้อมๆกัน
ซึ่งหนังก็จะสลับสับเปลี่ยนระหว่างเหตุการณ์ปัจจุบันกับช่วงเวลาที้เกิดขึ้นจริงบนเครื่อง ซึ่งในส่วนนี้ต้องขอชื่นชมว่าหนังทำออกมาได้ดีมากๆ จากส่วนผสมที่เป็น 'เนื้อ' ล้วนๆไม่มีน้ำมาปน ทำให้มันออกมาเป็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม การที่ผกก.อย่างปู่คลิ้นท์เลือกที่จะนำ 'ภาพเหตุการณ์จริง' ที่น่าจะเกิดขึ้นบนเครื่องมาเล่าในปริมาณ 'เท่าที่จำเป็น' โดยไม่มีการโฟกัสไปที่ส่วนของผู้โดยสารที่ฟูมฟาย, ดราม่าพ่อแม่ลูก หรืออารัมร่ำลาอะไรให้มันดูเกินจริง ซึ่งในส่วนนี้ทำให้หนังมันหนักแน่นสมจริงเอามากๆ ซึ่งมันจะส่งผลให้อารมณ์ของเราเชื่อมโยงกับหนังได้ง่ายขึ้นด้วย
ทอม แฮงค์ กลับมารับบทบาทที่คู่ควรกับออสการ์อีกครั้ง ซึ่งโดยส่วนตัวผู้เขียนประทับใจกับการนำเสนอตัวละครอย่างกัปตันซัลลี่ออกมาได้สุขุม, สงบ และเยือกเย็นเอามากๆ อันเป็นภาพลักษณ์ที่ควรจะเป็นของนักบินที่ผู้โดยสารนับร้อยชีวิตไว้ใจฝากชีวิตไว้ให้ ซึ่งแฮงค์ในเรื่องนี้ก็เรียกได้ว่าอยู่ในบทที่คุ้นเคยนั่นแหละ เรียกได้ว่าไม่ต้องปล่อยของเยอะก็เอาหนังอยู่แล้ว ไม่มีอะไรให้ติจริงๆกับระดับนักแสดงขึ้นหิ้งคนนี้
อย่างที่กล่าวไว้ด้านบนว่าด้วยความที่หนังมันพยายามคัดเน้นมาแต่ facts ล้วนๆโดยไม่เกิดอาการน้ำท่วมทุ่ง ทำให้ความรู้สึกของคนดูอย่างเราสามารถเชื่อมโยงกับเหตุการณ์บนจอได้ไม่ยากเท่าไหร่นัก ในบางโมเม้นที่กินใจ เราก็สามารถน้ำตาคลอได้โดยไม่ต้องใช้ซาวน์ประกอบมาพยายามบิ้วท์ มันเป็นความงดงามทางอารมณ์ที่เราได้รู้สึก 'เป็นหนึ่งเดียว' กับเหล่าผู้รอดชีวิตทั้ง 155 คนตลอดชั่วโมงครึ่งของเวลาหนัง
ในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ผู้เขียนชอบเป็นการส่วนตัวก็คือการที่ลูกเรือบนเครื่องพูดให้สัญญานให้ผู้โดยสารบนเครื่องเตรียมตัวรับแรงปะทะได้อย่างหนักแน่นมีพลังมากๆ อาจเป็นเพราะผู้เขียนเองทำงานเกี่ยวข้องกับเครื่องบินโดยตรงอยู่แล้ว เลยทำให้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใกล้ตัวก็เป็นได้
....... ไม่รู้จะติกับส่วนไหนจริงๆ เอาเป็น 'Sully' สอบผ่านทุกด้านในแง่ของหนังอัตชีวประวัติ/ดราม่า และสามารถดึงเราให้ลุ้นและมีอารมณ์ร่วมกับหนังได้ดีเยี่ยม บวกกับการแสดงของทีมดาราที่เหมาะสม อาจจะเรียกได้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งใน the best ของปีนี้เลยทีเดียว อยากให้ไปดูที่โรงกันครับ
หากชื่นชอบรีวิวสามารถติดตามเพจได้ที่
https://www.facebook.com/expensivemovie หรือค้นหาคำว่า "ตั๋วหนังมันแพง" ได้ที่หน้า Facebook ครับ ..
[Movie Review] Sully - ปากคำของฮีโร่ by ตั๋วหนังมันแพง
[หนังโรงเรื่องที่ 153] Sully - ปากคำของฮีโร่ ; (Clint Eastwood, 2016)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A+++++ (จากสเกล D-A)
**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ : เป็นการเล่าเรื่องโดยปากคำของหลายๆบุคคลโดยสร้างจากเหตุการณ์จริงในปี 2009, กับเหตุการณ์ที่เครื่อง A320 ของ US Airways Flight 1549** เกิดเหตุขัดข้องที่เครื่องยนต์ทั้งสองเครื่องหลังจากเทคออฟไปในเวลาไม่กี่นาที จนกัปตัน 'ซัลเลนเบอเกอร์' (Tom Hanks) จำเป็นต้องนำเครื่องลงจอดกลางแม่น้ำฮัดสัน และเป็นที่น่าอัศจรรย์ที่การลงจอดบนน้ำที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดกลับไม่เกิดการสูญเสียใดๆกับทั้ง 155 ชีวิตบนเครื่องแม้แต่คนเดียว
ต้องขอออกตัวก่อนว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในน้อยเรื่องที่ผู้เขียนไม่ได้อ่านเรื่องย่อหรือดูตัวอย่างมาก่อน (แต่พอจะรู้ว่าเกี่ยวกับอะไร) ดังนั้นความประทับใจที่ได้รับจากตัวหนังจริงๆอาจจะมากหรือน้อยไม่เท่ากับคนอื่นก็ได้ แต่พึงระลึกไว้อย่างนี่เป็นรีวิวอวย อวยแบบไม่ลืมหูลืมตา เพราะมันหาอะไรมาติไม่ได้
แวบแรกที่แปลกใจ+งงมากๆคือวิธีดำเนินเรื่อง คือตอนแรกเราเข้าใจว่าหนังที่มันสร้างจากเรื่องจริงที่ฟีลกู้ดขนาดนี้น่าจะออกแนวเอามารีรันใหม่ ใส่สีตีไข่ให้มันดราม่าบีบน้ำตาเยอะๆ แสดงให้เห็นถึงภาวะสิ้นหวังของผู้โดยสารที่เครื่องกำลังจะตกบ้างอะไรแบบนี้ .... ซึ่งที่เดามานั้น ผิดหมด!
หนังกลับโฟกัสไปที่เหตุการณ์ทีเกิดขึ้นหลังจากที่ 'กัปตันซัลลี่' ได้นำเครื่องลงจอดที่กลางแม่น้ำฮัดสันอย่างปลอดภัยเรียบร้อยแล้ว และต้องเผชิญหน้ากับการ 'สืบสวน' ของ NTSB/หน่วยงานสอบสวนอุบัติเหตุทางเครื่องบิน ที่ตั้งคำถามถึงการตัดสินใจของกัปตัน ว่าทำไม? จึงขัดคำสั่งของศูนย์บังคับการบินในการนำเครื่องลงจอดน้ำ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการสูญเสียมากที่สุด (ในหนังอ้างว่าให้คาดการณ์ว่าเสียชีวิตทั้งลำ) ในขณะที่ตัวเลือกที่เป็นรันเวย์สนามบินอื่นๆก็ยังมีอยู่ .. ซึ่งตัวซัลลี่เองก็ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากสังคมที่เชิดชูเขาเป็น 'วีรบุรุษ' หรือ 'ว่าที่ฆาตกร' จากการตัดสินใจครั้งนี้ไปพร้อมๆกัน
ซึ่งหนังก็จะสลับสับเปลี่ยนระหว่างเหตุการณ์ปัจจุบันกับช่วงเวลาที้เกิดขึ้นจริงบนเครื่อง ซึ่งในส่วนนี้ต้องขอชื่นชมว่าหนังทำออกมาได้ดีมากๆ จากส่วนผสมที่เป็น 'เนื้อ' ล้วนๆไม่มีน้ำมาปน ทำให้มันออกมาเป็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม การที่ผกก.อย่างปู่คลิ้นท์เลือกที่จะนำ 'ภาพเหตุการณ์จริง' ที่น่าจะเกิดขึ้นบนเครื่องมาเล่าในปริมาณ 'เท่าที่จำเป็น' โดยไม่มีการโฟกัสไปที่ส่วนของผู้โดยสารที่ฟูมฟาย, ดราม่าพ่อแม่ลูก หรืออารัมร่ำลาอะไรให้มันดูเกินจริง ซึ่งในส่วนนี้ทำให้หนังมันหนักแน่นสมจริงเอามากๆ ซึ่งมันจะส่งผลให้อารมณ์ของเราเชื่อมโยงกับหนังได้ง่ายขึ้นด้วย
ทอม แฮงค์ กลับมารับบทบาทที่คู่ควรกับออสการ์อีกครั้ง ซึ่งโดยส่วนตัวผู้เขียนประทับใจกับการนำเสนอตัวละครอย่างกัปตันซัลลี่ออกมาได้สุขุม, สงบ และเยือกเย็นเอามากๆ อันเป็นภาพลักษณ์ที่ควรจะเป็นของนักบินที่ผู้โดยสารนับร้อยชีวิตไว้ใจฝากชีวิตไว้ให้ ซึ่งแฮงค์ในเรื่องนี้ก็เรียกได้ว่าอยู่ในบทที่คุ้นเคยนั่นแหละ เรียกได้ว่าไม่ต้องปล่อยของเยอะก็เอาหนังอยู่แล้ว ไม่มีอะไรให้ติจริงๆกับระดับนักแสดงขึ้นหิ้งคนนี้
อย่างที่กล่าวไว้ด้านบนว่าด้วยความที่หนังมันพยายามคัดเน้นมาแต่ facts ล้วนๆโดยไม่เกิดอาการน้ำท่วมทุ่ง ทำให้ความรู้สึกของคนดูอย่างเราสามารถเชื่อมโยงกับเหตุการณ์บนจอได้ไม่ยากเท่าไหร่นัก ในบางโมเม้นที่กินใจ เราก็สามารถน้ำตาคลอได้โดยไม่ต้องใช้ซาวน์ประกอบมาพยายามบิ้วท์ มันเป็นความงดงามทางอารมณ์ที่เราได้รู้สึก 'เป็นหนึ่งเดียว' กับเหล่าผู้รอดชีวิตทั้ง 155 คนตลอดชั่วโมงครึ่งของเวลาหนัง
ในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ผู้เขียนชอบเป็นการส่วนตัวก็คือการที่ลูกเรือบนเครื่องพูดให้สัญญานให้ผู้โดยสารบนเครื่องเตรียมตัวรับแรงปะทะได้อย่างหนักแน่นมีพลังมากๆ อาจเป็นเพราะผู้เขียนเองทำงานเกี่ยวข้องกับเครื่องบินโดยตรงอยู่แล้ว เลยทำให้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใกล้ตัวก็เป็นได้
....... ไม่รู้จะติกับส่วนไหนจริงๆ เอาเป็น 'Sully' สอบผ่านทุกด้านในแง่ของหนังอัตชีวประวัติ/ดราม่า และสามารถดึงเราให้ลุ้นและมีอารมณ์ร่วมกับหนังได้ดีเยี่ยม บวกกับการแสดงของทีมดาราที่เหมาะสม อาจจะเรียกได้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งใน the best ของปีนี้เลยทีเดียว อยากให้ไปดูที่โรงกันครับ
หากชื่นชอบรีวิวสามารถติดตามเพจได้ที่ https://www.facebook.com/expensivemovie หรือค้นหาคำว่า "ตั๋วหนังมันแพง" ได้ที่หน้า Facebook ครับ ..