สลิ่มนี่ เขามีตรรกะที่กลับหัวกลับหางพิลึกนะครับ คือสลิ่มมักคิดอะไร ๆ พิลึก ๆ สวนทางกับความคิดที่คนปกติเขาคิดกัน

กระทู้คำถาม
อย่างเรื่องเสียงข้างมาก
พอแพ้เลือกตั้ง  สลิ่มก็สร้างตรรกะเสียงข้างมากต้องฟังเสียงข้างน้อย    เสียงข้างน้อยมีคุณภาพกว่าเสียงข้างมาก

แต่พอชนะผลประชามติ   สลิ่มก็พลิกตรรกะกลับทันทีว่า   ต้องรับฟังเสียงข้างมากของประชาชน

หรืออย่างตอนเป็นรัฐบาล  ก็มีตรรกะเชื่อมั่นในระบบรัฐสภา   พอเป็นฝ่ายค้านก็กลายเป็นเผด็จการรัฐสภา

เหมือนตอนนี้   ที่พอติดคุก   ก็สร้างตรรกะเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมขึ้นมาทันที
ทั้งที่คนละเรื่อง  คนละทีป  

จะเชื่อหรือไม่เชื่อกระบวนการยุติธรรม  หากทำผิด  ก็ติดคุกทั้งนั้น  
ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับความเชื่อมั่น

หากจะบอกว่าเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม   มันควรเป็นเรื่องว่า
ไม่ได้ทำผิด  โดนฟ้อง  เข้าสู่กระบวนการด้วยความเชื่อมั่นว่าจะได้รับความเป็นธรรม ได้รับความยุติธรรม

ไม่ใช่ทำผิด  โดนจับได้คาหนังคาเขา  สู้ในข้อเท็จจริงไม่ได้  จนต้องรับสารภาพ
แล้วมาอ้าง   ยอมติดคุกเพราะเชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรม


ตรรกะพิลึกสิ้นดี



ตรรกะกลับหัวกลับหางจากสลิ่มห่าน





คนหนึ่ง  ถึงวันนี้  ยังไม่มีใครอธิบายได้ชัด ๆ ว่า  ผิดตรงไหน ยังไง
ยิ่งหากมองถึงเรื่องเจตนาทำผิด  ยิ่งมองไม่เห็น

ทำการประมูล  จ่ายเงิน  โอนกรรมสิทธิ์   เรียบร้อยตั้งแต่ปี 2546

พอรัฐประหาร 2549    ก็ขุดเรื่องขึ้นมาเล่นงาน  
เห็นช่องว่า เซ็นยินยอมให้เมียทำนิติกรรมซื้อขาย โอนที่ดิน  หลังจากที่เมียประมูลชนะอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
(ทั้งที่หากไม่เซ็นยินยอม  เมียก็สามารถทำการซื้อขาย โอนได้  ไม่มีปัญหา)

ก็ซัดทันทีว่า  ผิดกฎหมาย  จำคุก 2 ปี

ก่อนหน้านั้น  ทำไมไม่มีใครมองเห็นความผิด   ทั้งที่เป็นเรื่องเปิดเผย   รู้กันทั้งเมือง

อย่างนี้    จะมีใครยอมรับ  จะมีใครยอมติดคุก  หนีได้เป็นหนีทั้งนั้น
จะมาเป็นตรรกะไม่เคารพกระบวนการยุติธรรมได้อย่างไร  ในเมื่อเห็น ๆ อยู่ว่า  ไม่เป็นธรรม

จะเป็นเรื่องศักดิ์ศรี  จะเป็นเรื่องคนจริงคนกล้าได้อย่างไร   ในเมื่อไม่ได้ทำผิด  แต่โดนยัดผิด

โดนยัดคุกทั้งที่ไม่ได้ทำผิด  ก็ต้องยอมเข้าคุก  แล้วได้ชื่อว่าเป็นคนเคารพกระบวนการ  เป็นคนกล้าหาญอย่างนั้นหรือ ?



กับอีกคนหนึ่ง   ที่ทำผิดซ้ำซากในเวลาเป็นปี ๆ    หลายกรรม  
ตั้งแต่ 29 เมษายน 2539  จนถึง  18 พฤศจิกายน 2541

ปลอมเอกสารค้ำประกัน  ปกปิดแก้ไขบัญชีบริษัท   กู้เงินธนาคาร 6 ครั้ง  ได้เงินเข้ากระเป๋าไป 1,078 ล้านบาท

เป็นกรรมการบริษัทผู้ค้ำ  เป็นกรรมการบริษัทผู้กู้   ปลอมเอง  ค้ำเอง  กู้เอง  รับตังค์เอง  และติดคุกเอง

ผิดกฎหมายอาญาหลายมาตรา    ผิดกฎหมายตลาดหลักทรัพย์หลายมาตรา
เป็นความผิดรวมทั้งสิ้น 17 กระทง

วันอัยการนำตัวส่งฟ้องต่อศาล   ยังให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

พอถึงขั้นตอนพิจารณาคีดในชั้นศาล(ชั้นต้น) ก็ขอถอนคำให้การ  เปลี่ยนเป็นรับสารภาพ
เพราะไม่สามารถหาหลักฐานหรือพยานใด ๆ มาสนับสนุนคำปฏิเสธของตนเองได้

ศาลชั้นต้น  ศาลอุทธรณ์  ศาลฎีกา   พิพากษาแนวทางเดียวกันหมด  คือผิดทุกกระทง  จำคุก 85 ปี
สารภาพ  ลดครึ่ง  เหลือ 42 ปี  6 เดือน
แต่กฎหมายบอกว่า ในความผิดเดียวกัน หลายกระทง  เมื่อรวมกันแล้วจำคุกได้ไม่เกิน 20 ปี
ก็รับไปเต็ม ๆ   20 ปี

หนีไม่รอด  ไม่มีช่องทางสู้คดี   จำนนต่อหลักฐาน
แล้วจะกลายเป็นการเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมได้ยังไง

เชื่อมั่นแบบไหน ?    

แบบว่า  ฉันทำผิดนะ  ฉันเชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรมว่า ตัดสินให้ฉันติดคุกแน่ ๆ

ยังงั้นเหรอ ?

ปฏิเสธการกระทำผิด  แต่สุดท้าย  ดิ้นไม่ออก  ก็ยอมรับสารภาพ   กลายเป็นคนกล้าได้ยังไง ?



คนหนึ่งโดนยัดคดี  ยัดคุก   ไม่ยอมรับ  ไม่ยอมติดคุก  
เมื่อไม่ได้รับความเป็นธรรม  ก็ปฏิเสธกระบวนการ   กลายเป็นคนไม่เคารพกระบวนการ   ไม่กล้าหาญ

คนหนึ่งทำผิดหนัก   ไม่ใช่การยัดข้อหา  ไม่ใช่การยัดคุก
จำนวนต่อหลักฐาน  ปฏิเสธไม่ออก  ต้องยอมสารภาพ  โดนพิพากษาจำคุก   กลายเป็นคนเคารพกระบวนการ  เป็นคนกล้าหาญ



กลับหัวกลับหางพิลึกครับ
Facepalm
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่