สหรัฐฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กบฏโมโร 110 ปีก่อน



ศพกบฏโมโรช่วงสงคราม Bud Dajo
ใน Philippines 7 มีนาคม 1906
ที่มา http://bit.ly/2c8S7WC



7 มีนาคม 1906 กองทัพสหรัฐอเมริกา
ตามคำสั่งนายพล Leonard Wood
ได้สังหารหมู่พวกกบฏ Moros
ชนเผ่ามุสลิมมากกว่า 1,000 ศพ
ขณะที่ตั้งมั่นสู้ตายที่ภูเขาไฟที่ดับแล้วชื่อ
Bud Dajo ที่เกาะ Jolo ทางตอนใต้ Philippines

สงครามครั้งแรกที่ Bud Dajo หรือที่รู้จักกันว่า
สงครามสังหารหมู่ Bud Dajo Massacre
คือ การปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างทหารสหรัฐ
กับพวกกบฏโมโร ในเดือนมีนาคม 1906
เหตุการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของสงคราม
ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างฟิลิปปินส์กับสหรัฐ
หลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้ยุติสนธิสัญญา
Bates Treaty ในเดือนมีนาคม 1904

พวกชนเผ่า Moros กลุ่มนี้ก็เริ่มต่อต้าน
ทัาทายอำนาจรัฐสหรัฐอเมริกา
ด้วยการสร้างความรุนแรงและไม่ยอมเสียภาษี
แม้ว่า นายพล Leonard Wood ผู้ว่าการรัฐ Moro
จะได้พยายามสร้างความปรองดอง
และสมานฉันท์ในเกาะ Jolo
แต่ชนเผ่ากลุ่มนี้กลับก่อการร้ายบ่อยครั้งขึ้นอีก
และได้รับแรงยุ(ปลุกระดม)จากหัวหน้าเผ่าว่า
" พวกอเมริกันอ่อนแอเกินไป
ไม่สามารถหยุดพวกเราได้
เพราะพระเจ้าอยู่ข้างเรา "

เพื่อเตรียมรับมือกับทหารสหรัฐ
ที่มีข่าวลือว่าจะมากำจัดพวกตน
ชนเผ่ากลุ่มนี้หลายร้อยคนทั้งผู้หญิงและเด็ก
ต่างอพยพไปอยู่ที่ Bud Dajo
สถานที่เดิมเป็นที่ตั้งจิตวิญญาณ
ที่เคารพสักการะดั้งเดิมของชนเผ่า
ก่อนที่จะเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม

Bud Dajo เป็นภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว
อยู่ห่างจากเมือง Jolo 6 ไมล์
มีสภาพเป็นป่าดงดิบมีความสูงชันถึง 2,100 ฟุต
มีทางเข้าออกแคบ ๆ เพียง 3 เส้นทาง
จึงง่ายต่อการป้องกันกับตั้งรับศัตรู

ผลการเจรจาต่อรองทั้งสองฝ่ายที่ล้มเหลว
ในการยุติการก่อการร้ายจาก
พวกชนชั้นนำ (Datus) โมโรที่เสี้ยมชนเผ่าให้สู้

นายพล Wood จึงตัดสินใจ
ทำการรบในวันที่ 6 มีนาคม 1906
เพื่อทำลายล้างฐานที่มั่นใน Bud Dajo
และยุติการก่อการร้ายทั้งปวง
ด้วยกองทัพสหรัฐกับกองกำลังผสมฟิลิปปินส์
ภายใต้การนำของพันเอก Joseph W. Duncan
มีการยิงปืนใหญ่กรุยทางยิงกดหัวไว้
ทำให้ฝ่ายตรงข้ามโงหัวขึ้นมาสู้ไม่ได้

ตอนเย็นวันที่ 6 มีนาคม
ฝ่ายทหารสหรัฐก็หยุดพักรบกลางทางก่อนตกค่ำ
ท่ามกลางความมืดค่ำ พวกกบฎโมโร
ต่างตีฆ้องร้องตะโกนปลุกเร้าใจกันอย่างบ้าคลั่ง
ขณะที่กองโจรโมโรพยายามลอบโจมตี
กองทัพสหรัฐที่พักรบเป็นครั้งคราว



ปืนใหญ่ทหารสหรัฐที่รบกับพวกโมโร
ช่วงปี 1899–1913 ที่มา http://bit.ly/2cgz1hR



7 มีนาคม 1906 ในวันรุ่งขึ้น
การรบยังคืบหน้าต่อไป
ด้วยประสิทธิภาพของปืนใหญ่
มีการปะทะกันอย่างหนักเป็นครั้งคราว
มีพวกโมโรแกล้งตายหลายคน
แล้วลุกขึ้นมาสู้/ลอบทำร้ายทหารสหรัฐ
หลายต่อหลายครั้ง ตอนบุกเข้าใกล้ยอดเขา
ในที่สุดกองทัพสหรัฐได้ยึดฐานที่มั่น
และพื้นที่ของพวกกบฏโมโรได้ทั้งหมด
ในวันที่ 8 มีนาคม 1906
นายพล Wood รายงานสั้น ๆ ให้รัฐบาลสหรัฐว่า

“ พวกต่อต้านทั้งหมดถูกฆ่าตาย
ได้นับศพเท่าที่นับได้และเท่าที่อยู่ใกล้ ๆ ”

ในการรบฝ่ายสหรัฐตาย 18 คน บาดเจ็บ 52 คน
นายพล Wood ประมาณการว่าฝ่ายศัตรู
ทั้งเด็กและผู้หญิงตายมากกว่า 600 คน
แต่มีบางคนประมาณการว่ามากกว่า 900 คน
ศพต่างถูกฝังรวมลึก 5 ฟุต
บางศพมีรอยบาดแผลหลายแห่ง
มีเชลยที่ถูกจับเป็นได้เพียง 7 คน
เป็นผู้หญิง 3 คนและเด็ก 4 คน
ส่วนผู้ชายหนีรอดตายไปได้ 18 คน
แต่บางทีอาจจะมากกว่านี้ 2 เท่าก็ได้
ขณะเดียวกัน นายพล Wood ได้มีคำสั่ง
ให้ตรวจสอบโทรเลขทุกฉบับ
ที่รายงานเหตุการณ์ครั้งนี้ให้กับบุคคลภายนอก

แม้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐสหรัฐจะระบุว่า
สงคราม Bud Dajo คือ
ชัยชนะการรบครั้งสำคัญของนายพล Wood
แต่สำนักข่าวบางแห่งในสหรัฐ
กลับระบุว่า การรบครั้งนี้ ไม่ต่างจาก
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวกคนไม่มีทางสู้

แต่พฤติกรรมพวกนักรบโมโร
มักจะพาลูกเมียติดตามไปด้วยทุกครั้ง
บางสำนักข่าวระบุว่า นายพล Wood
ควรปิดล้อมจนกว่าพวกนี้ยอมจำนนมากกว่า
แต่ประธานาธิบดี Theodore Roosevelt กับ
รมต.กลาโหม William Howard Taft
ได้ส่งโทรเลขแสดงความยินดีกับนายพล Wood

นายพล Wood ได้ตอบข้อซักถามผู้สื่อข่าว
ถึงวิกฤตการณ์ Bud Dajo  ถึงสาเหตุ
ที่มีผู้หญิงและเด็กล้มตายเป็นจำนวนมาก
เพราะผู้หญิงจะแต่งกายเลียนแบบผู้ชาย
และจับอาวุธเข้าร่วมรบด้วย
ส่วนพวกเด็กจะทำหน้าที่เป็นโล่ห์มนุษย์
หรือแนวป้องกันถ่วงเวลาทหารสหรัฐ

ผู้ว่าการรัฐฟิลิปปินส์ Henry Clay Ide
ก็ให้การยืนยันคำธิบายทำนองเดียวกัน
ถึงเรื่องผู้หญิงกับเด็กต่างมีส่วนร่วมมือ
ในการก่อการร้ายและสู้รบกับทหารสหรัฐ
ทำให้ถูกฆ่าตายในระหว่างทำการสู้รบแต่ละครั้ง

เมื่อทุกอย่างก็สงบลง
ผู้นำศาสนาและสุลต่าน Sulu ของเขตปกครองนี้
เชื่อว่าปฏิบัติการที่ Bud Dajo จะทำให้พื้นที่แห่งนี้
จะมีความสงบ/เสถียรภาพในระยะยาว
แต่โชคร้ายยังมีการสู้รบตามมาอีกหลายครั้ง
จากพวกชนเผ่าโมโรที่ยังหลงเหลืออยู่
เลียนแบบทำสงครามที่ Bud Dajo ในปี 1911
และที่ Bud Bagsak ในมิถุนายน ปี 1913






หมายเหตุ


Moro คือ ชื่อเรียกชนเผ่ารวม
หลายกลุ่มที่อยู่ในฟิลิปปินส์
แต่ชนเผ่ากลุ่มนี้ที่รบอย่างดุเดือด
กับกองทัพสหรัฐจนเป็นตำนาน
รวมทั้งสุลต่านที่ดูแลเขตพื้นที่นี้
ลึก ๆ ก็ไม่ชอบชนเผ่ากลุ่มนี้อย่างแรง

แม้กระทั่งในปัจจุบันนี้
ชื่อชนเผ่านี้ก็ยังกวนเมืองในฟิลิปปินส์อยู่
มีชื่อว่า กองกำลังติดอาวุธมุสลิมโมโร
ที่แถวหมู่เกาะมินดาเนา ฟิลิปปินส์
อยู่ระหว่างการเจรจาสงบศึกแต่ไม่เคยสงบศึก

เมื่อเร็ว ๆ นี้พวกกบฏโมโร
ก็เพิ่งวางระเบิดในเมือง Santos
ทำให้ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ Rodrigo Duterte
ประกาศคำสั่ง รัฐไร้กฎหมาย
นั่นคือ การปราบปรามยิงทิ้ง
พวกก่อการร้าย/แนวร่วมได้ทันที
ไม่ต้องดำเนินคดี/ชัณสูตรพลิกศพตามกฎหมาย
แบบว่าฆ่าให้ตายแล้วตายเลย
ตายฟรีไม่มีคดีติดตัวคนยิงเลย
เหมือนการปราบปราบยาเสพติดที่นี่
มีคนตายไปแล้วมากกว่า 2,000 ศพ
ผู้ที่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดยอมมอบตัว
ยอมติดคุกมากกว่า 100,000 คน
เพราะติดคุกมีโอกาสรอดตายมากกว่าตายฟรี

ชนเผ่า Moro ส่วนมากยังอยู่ใน
Mindanao Sulu และ Palawan
คาดว่ามีมากกว่า 5 ล้านคนในฟิลิปปินส์
มีการโยกย้ายถิ่นฐานตั้งแต่
ศตวรรษที่ 16 จนถึงทุกวันนี้
ในฟิลิปปินส์จะพบชนเผ่านี้ในเมืองใหญ่ ๆ
เช่น Manila Cebu และ Davao

ผลความขัดแย้งช่วงศตวรรษที่ 20
ทำให้พวกโมโรมีการอพยพลี้ภัย
ไปอยู่ที่ Malaysia Indonesia และ Brunei
จะพบชนเผ่านี้ได้ใน Kota Kinabalu Sandakan
Semporna และ Sabah ใน Malaysia
North Kalimantan ใน Indonesia
และใน Bandar Seri Begawan ที่ Brunei

อนึ่ง คนมุสลิมมีเมียได้ 4 คน
ห้ามคุมกำเนิดถือว่าบาป
เหมือนกับศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิค
ทำให้ประชากรมุสลิมที่นี้
เกิดมากกว่าหลายชาติพันธุ์หลายประเทศ

สุลต่าน/กาหลิบที่นับถือศาสนาอิสลาม
มีเมียได้ไม่เกิน 4 คน
แต่มีนางบำเรอได้ไม่จำกัดจำนวน
จนต้องมียูนุค(ขันที)ไว้ดูแลฮาเร็ม

เรียบเรียง/ที่มา

http://bit.ly/2c8S7WC
http://bit.ly/2bPz2oT
http://bit.ly/2cgz1hR



เรื่องเล่าไร้สาระ

ผู้ชนะเขียนประวัติศาสตร์
ผู้ชนะมักจะมีสิทธิพิเศษเสมอ
ประวัติศาสตร์ผู้แพ้มักจะเป็นแค่ตำนาน

ฟิลิปปินส์เคยเป็นเมืองขึ้น
พวกโพธิเกศ(โปรตุเกส)
ก่อนตกเป็นเมืองขึ้นสเปญ
แล้วตามด้วยสหรัฐอเมริกา

มักจะเล่ากันว่าปืน 11 มม.
ที่คนไทยเรียกกัน ผลิตขึ้นเพราะรบกับญี่ปุ่น
ที่พวกมันถูกยิงแล้วมักจะวิ่งเข้าใส่
แล้วฟันด้วยมีดหรือลุกขึ้นมาต่อสู้อีก
จึงสร้างปืนนัดเดียวจอด One Shot Dead

แต่ปืนรุ่นนี้ผลิตขึ้นในปี 1911
หลังการรบกับพวกกบฏโมโรในปี 1906
มีการใช้งานในสนามรบจริงครั้งแรก
ในฟิลิปปินส์ด้วยการยิงกบฏโมโร
เพราะทหารต้องการปืนที่ยิงนัดเดียวจอด



สงครามในอีรัค ซีเรีย อัฟกานิสถาน
ทหารสหรัฐมักจะอ้างและยืนยันว่า
มีการใช้เด็ก/ผู้หญิงพกพาส่งอาวุธ/ทำการรบ
และทำตัวเป็นแนวป้องกันที่มีชีวิตหรือโล่ห์มนุษย์
บางครั้งก็พกระเบิดพลีชีพเข้าร่วมในการรบ

ยิว จีน ญี่ปุ่น และรัสเซีย
ชาติเหล่านี้จะโหดสัตว์มากกว่าหลายประเทศ
มักจะประกาศล่วงหน้าไว้เลยว่า
ถ้าคุณถูกจับเป็นตัวประกัน
ให้ถือว่าเตรียมตัวตายได้เลย
ถ้ารอดตายได้ถือว่าคุณโชคดี

ใครก็ตามที่ให้การช่วยเหลือ
ให้แหล่งพักพิงพวกก่อการร้าย
ให้ถือว่าเป็นพวกก่อการร้ายทั้งสิ้น
ปฏิบัติการทหารของชาติเหล่านี้
จะไม่มีการแยกแยะเด็ก/สตรี/ตัวประกัน
ทำให้การสนับสนุน/ให้ความร่วมมือกับ
พวกก่อการร้ายลดลง/หายขาดทันที
รวมทั้งพวกโจรก่อการร้ายมักจะตาย
ในที่เกิดเหตุทุกครั้ง/ตายหลังส่งโรงพยาบาล
เพราะปล่อยให้ตายไม่ให้รักษาเปลืองเงิน
ทำให้ข่าวการจับตัวประกันต่อรองแทบไม่มีเลย

ญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
มีการจับตัวคนไปเรียกค่าไถ่กันมาก
รัฐบาลญี่ปุ่นเลยมีคำสั่งว่า
ให้ญาติพี่น้องทำพิธีศพเหยื่อค่าไถ่รอได้เลย
ถ้าญาติพี่น้องคนใดเจรจาต่อรองค่าไถ่กับโจร
ให้ลงโทษเท่ากับโจรเรียกค่าไถ่
ข้อหาให้ความร่วมมือกับโจรเรียกค่าไถ่
เหตุการณ์ร้ายจึงค่อยสงบลง
เพราะโจรกลัวตายมากกว่ากลัวไม่ได้เงิน
และกฎหมายยังมีผลบังคับใช้อยู่จนทุกวันนี้

ส่วนจีนความที่มีพลเมืองมากกว่าหลายชาติ
เวลาคนจีนตายมาก ๆ จะระบุ 1% หรือไม่ถึง 1%
ในช่วงสงครามสั่งสอนเวียตนามหลายปีก่อน
กับยุคปฏิวัติวัฒนธรรมจีนของเหมาเจ๋อตุง
มีคนจีนตายหลักล้านคนขึ้นไป
จากประชากรร่วม 800-1,000 ล้านคน




คนตายหนึ่งคนเป็นโศกนาฎกรรม
คนตายล้านคนเริ่มเป็นสถิติ
ความตายแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง
ไร้คน ไร้ปัญหา   สตาลิน




คนไทยพลัดถิ่น

ประมาณการกันว่า ชนเผ่าสยาม
อยู่กระจัดกระจายพอ ๆ กับชนเผ่าโมโร
ที่ลี้ภัยไปประเทศมุสลิมด้วยกัน

คนสยาม/โอรังเซียม
มีราว 2.0 ล้านกว่าคนในสยามรัฐเดิม
ไทรบุรี(เกดาห์) กลันตัน ตรังกานู ปะลิศ ปีนัง
มาเลย์มักจะไม่ระบุว่ามีวัดไทย
กับคนไทยอยู่ด้านอุตตระ(เหนือ)
มักจะระบุว่า ภูมิปุตรา (ภูมิ=พื้นที่ ปุตรา=คน/ลูก)

ช่วงมหาเธร์จะประกาศใช้กฎหมายภูมิปุตรา
ให้สิทธิ์คนพื้นเมืองมากกว่าคนชาติอื่น ๆ
คนสยามเลยมารายงานตัวว่าเป็นคนไทยพลัดถิ่น
ที่อำเภอชายแดนไทยที่ติดกับมาเลย์
วันละหลายหมื่นคนทีเดียวเมื่อหลายสิบปีก่อน
เรื่องนี้อดีตนายอำเภอที่ชายแดนเล่าให้ฟัง

คนสยามมักอ้างว่าตกค้างสมัยรัชกาลที่ 5
ตอนยกดินแดนให้อังกฤษแล้วไม่มารายงานตัว
กับตอนสงครามเอเซียบูรพาที่ได้ดินแดนคืน
ระบุว่าเอกสารหลักฐานความเป็นคนไทยไม่มีแล้ว
แต่ขอพิสูจน์ว่าเป็นคนไทย
จากภาษา/ญาติพี่น้องฝั่งไทย
บางคนก็ทำเนียนเผื่อได้ 2 สัญชาติ
บางคนที่กลมกลืนเป็นคนมาเลย์ไปแล้วก็เฉย ๆ

สุดท้ายมาเลย์ต้องยินยอม
ให้คนสยามเป็นคนภูมิปุตรา
เพราะกลัวมีปัญหากระทบกระทั่งชายแดนกับไทย
ไทยอาจจะเรียกร้องเรื่องดินแดนสยามรัฐเดิม
ไทยยังให้ท้าย/สนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์
มาลายาที่รบกับรัฐบาลมาเลย์ในช่วงนั้น
และแล้วมาเลย์ก็ค่อย ๆ กลืนเชื้อชาติ
คนสยามไปในที่สุดแบบรัฐไทยกลืนเชื้อชาติอื่น

ส่วนทางพม่าแถวด่านสิงขร
แถวมะริด ทวาย ตะนาวศรี ฝั่งตะวันตกของไทย
มักจะอ้างว่าตกค้างสมัยรัชกาลที่ 5
ส่วนภาคเหนือแถวเชียงแสน เชียงรุ้ง เชียงตุง
มักจะอ้างว่าตกค้าง 2 สมัยเหมือนกัน
ที่ชายแดนไทยเขมร เกาะกง
เสียมราษฏร์ พระตะบอง ศรีโสภณ
ดินแดนสยามก่อนตกเป็นของฝรั่งเศส
และเขมรได้รับเอกราช
ช่วงเขมรแตก ช่วงเฮง สัมริน
และเวียตนามชนะศึกเขมรแดง
มักจะแห่กันเข้ามารายงานตัว
ส่วนคนลาวมักจะเนียนกว่าแทบไม่มารายงานตัว
เพราะมีญาติพี่น้องฝั่งไทยมาก
กับไปมาหาสู่กันเป็นประจำ

การรายงานตัวว่าเป็นคนไทยพลัดถิ่น
ถ้าผ่านการพิจารณาจากราชการไทย
ก็ได้รับสิทธิประโยชน์เหมือนคนไทย
30 บาทรักษาโรค การเรียน การทำงาน สิทธิ์ต่าง ๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่