พีธีบูชายัญคนของชนเผ่า Aztec ประวัติศาสตร์จักรวรรดิ์ Aztec
มัมมี่ ที่ขุดค้นพบในหลุมศพบนยอดเขาที่หิมะละลาย
ได้บอกเล่าเรื่องราวพิธีกรรมการฆ่าคน/บูชายัญ
ที่นานแสนนานแล้วของมนุษยชาติ
ซากศพถูกมัด ถูกเชือด หรือทำร้ายแบบไม่มีชิ้นดี
มักจะมีการพบศพในสภาพที่ผิดปกติ
หลักฐานที่แปลกประหลาดเหล่านี้
บ่งบอกถึงความรุนแรง/โหดร้ายของคนในอดีต
ที่ทำให้เราต้องหวาดกลัวหรือต้องสนใจ
อยากจะรู้ว่าคนเราเคยทำสิ่งนี้เพื่ออะไร
แม้ว่าการกระทำป่าเถื่อนที่พบเห็นนี้
บางครั้งอาจจะไม่มีเหตุผลที่สอดคล้องต้องกัน
หรือเป็นเหตุเป็นผลมากนัก
นักมานุษยวิทยานิวซีแลนด์
ได้รวบรวมข้อมูลจากสถานที่ต่าง ๆ แล้วตั้งข้อสังเกตว่า
พิธีกรรมบูชายัญ/การฆ่าคน
คือ รูปแบบพลังขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่
ในการรักษาลำดับชั้นของสังคมคนเราจนถึงทุกวันนี้
ผลงานวิจัยชิ้นนี้มีการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร Nature
การบูชายัญ/การฆ่าคนได้เกิดขึ้นนานแล้ว
ตังแต่ยุคแรกเริ่มในวัฒนธรรมของชนเผ่า
Germanic Arab Turkic Inuit American
Austronesian African Chinese และ Japanese
ด้วยเรื่องราวพื้น ๆ เกือบทุกมุมโลกแห่งนี้
มีการฆ่าญาติพี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์ของตน
เพื่อเอาอกเอาใจสิ่งที่เหนือธรรมชาติเมื่อหลายพันปีก่อน
หรือแม้แต่ในยุคศตวรรษที่ 20 ก็ยังมีหลงเหลืออยู่
จำนวนคนที่ถูกฆ่า/บูชายัญ
และประสิทธิภาพ/ประสิทธิผลในการฆ่า
มีความแตกต่างกันอย่างใหญ่หลวง
ในด้านวิธีการฆ่าและเหตุผลเบื้องหลังการฆ่า
บางครั้งคนที่ถูกฆ่า/บูชายัญ
เพราะวัฒนธรรมของชนเผ่าที่ต้องทำ
หรือการทำผิดประเพณีวัฒนธรรมของชนเผ่า
หรือบางครั้งเนื่องจากวาระพิเศษที่สำคัญ
เช่น การตายของหัวหน้าเผ่า/ราชา
การสร้างสิ่งก่อสร้างใหม่ ๆ
หรือการเฉลิมฉลองเทศกาลศักดิ์สิทธิ์
คนที่ประกอบพิธีกรรมโหดร้ายเหล่านี้
มักจะเป็นพวกชนชั้นนำ เช่น
นักบวช หมอผี ผู้นำศาสนา ราชา หรือเชื้อสายพวกนี้
คนพวกนี้มักจะร่วมมือกันฆ่าคนได้อย่างอิสระเสรี
ไม่จำกัดรูปแบบ สร้างสรรค์วิธีการฆ่าได้อย่างเต็มที่
มีการข้ามวัฒนธรรมการฆ่าไปมาระหว่างกัน
หรือ ความดีต้องอดทนฝึกฝน แต่ความชั่วเรียนรู้กันได้ง่าย
การฆ่าคนมีตั้งแต่การ เผาทั้งเป็น การจับกดให้จมน้ำตาย
การรัดคอจนตาย การฝังทั้งเป็น การตัดคอ การแล่คนเป็นชิ้น ๆ
การโยนคนทั้งเป็นลงจากที่สูง การให้สัตว์ป่ากัดกิน ฯลฯ
ทหารกรีกบูชายัญศัตรู หลังชัยชนะสงครามเมืองทรอย Troy
เรื่องเล่าไร้สาระ
สงครามครั้งนี้เป็นศึกชิงนาง
และศึกศักดิ์ศรีของนครรัฐกรีก
มีการรบกันกว่า 10 ปีต่อเนื่องกันมา
จนสุดท้ายมีการใช้กลยุทธ์
แกล้งถอนทัพเรือออกจากชายฝั่ง
แล้วทิ้งม้าไม้ Trojan ไว้ตัวหนึ่งบนชายฝั่ง
พร้อมกับทหารหนีทัพชื่อ ซีนอน
อ้างว่ามอบให้เป็นบรรณาการที่สู้รบกันมานาน
แต่ข้างในม้าไม้มีทหารหลบซ่อนอยู่ถึง 5 คน
เมื่อชาวบ้านกรุงทรอยเฉลิมฉลองกันจนเมามาย
เพราะคิดว่ามีชัยต่อศัตรู และศัตรูล่าถอยไปแล้ว
ซีนอนแอบไปเปิดประตูลับให้ทหารที่หลบซ่อน
ออกมาเปิดประตูเมืองและพร้อมกับทหารในทัพเรือ
ที่หวนกลับมาบุกยึดกรุงทรอยได้
มีการฆ่าผู้ชายทั้งหมด ส่วนผู้หญิงและเด็กถูกจับไปเป็นทาส
Trojan คือ ชื่อเรียกไวรัสหรือสปายแวร์ตัวหนึ่งในระบบคอมพิวเตอร์
เรื่องนี้เป็นนิยามว่า การศึกไม่หน่ายกลยุทธ์
เหมาเจ๋อตุง หัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์พูดว่า
ยุทธวิธีคือ สิบรบหนึ่ง เหมือนจับคนบ้าต้องใช้คนจำนวนมาก
ยุทธศาสตร์หรือกลยุทธ์ คือ หนึ่งรบสิบ ทำให้ศัตรูปั่นป่วน/ท้อแท้
เอ็งมาข้าหยุด เอ็งหยุดข้าแหย่ เอ็งแย่ข้าตี เอ็งหนีข้าตาม เอ็งตามข้าหนี
ข้อมูลเพิ่มเติม
http://goo.gl/7WIMCn
https://goo.gl/ymEmd1
James Watts นักจิตวิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกับ
วิวัฒนาการของวัฒนธรรม
ที่ University of Auckland ใน New Zealand
ได้มองย้อนหลังประวัติศาสตร์การบูชายัญ/การฆ่าคน
ของชนเผ่าดั้งเดิม 93 เผ่า Austronesian แถบมหาสมุทรแปซิฟิค
ในเอกสารรายงาน Watts และเพื่อนร่วมงาน
ได้อธิบายว่า สังคมชนเผ่าเหล่านี้ทำหน้าที่เสมือน
ห้องทดลองธรรมชาติในการสำรวจข้ามวัฒนธรรม
เพราะมีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันอย่างมาก
และลักษณะวัฒนธรรมที่ชนเผ่าเหล่านี้พัฒนาขึ้นมาเอง
ภายใต้สภาพแวดล้อมที่แตกกต่างกันอย่างมาก
ตั้งแต่แนวหินปะการังเพียงไม่กี่ตารางกิโลเมตร
ป่าชื้น ป่าดงดิบ ที่ทำมาหากินบนที่ราบ กับบนเทือกเขา
จนถึงพื้นที่ขนาดใหญ่เทียบเท่าทวีปออสเตรเลีย
มีการศึกษาถึงสังคมของชนเผ่าที่มีขนาดเล็ก
หรือชุมชนชนเผ่าที่เสมอภาค/เท่าเทียมกัน
จนถึงสลับซับซ้อนกันอย่างมาก
หรือเป็นสังคมชนชั้นแบบชนเผ่าฮาวาย
Watts กับทีมงานได้บันทึกเรื่องราว
ที่มีการทำและไม่มีการทำเกี่ยวกับ
การบูชายัญ/การฆ่าคนของวัฒนธรรมชนเผ่าเหล่านี้ในอดีต
ที่เกี่ยวเนื่องกับลำดับชั้นทางสังคมจนถึงทุกวันนี้
ด้วยการประมวลผลข้อมูลกับรูปแบบต่าง ๆ
เพื่อทดสอบว่าพิธีกรรมการฆ่าคน/บูชายัญ
จะมีวิวัฒนการร่วมกับลำดับชั้นทางสังคมหรือไม่
แน่นอนผลลัพธ์ที่ออกมามีสหสัมพันธ์กันอย่างยิ่ง
ในชนเผ่าที่มีความเสมอภาคกันที่ใช้ในการศึกษา
มีเพียง 5 ใน 20 ชนเผ่าเท่านั้น
ที่มีการบูชายัญ/การฆ่าคน
แต่ในทางกลับกันมีการบุชายัญ/การฆ่าคน
ถึง 18 ใน 27 ของชนเผ่าที่มีการแบ่งชนชั้นระดับสูง
และ Watts ยังพบว่าการบูชายัญ/การฆ่าคน
มีส่วนช่วยในการรักษาเสถียรภาพ และรักษาระบบชนชั้น
ที่พวกชนเผ่าชั้นนำสั่งสมสร้างขึ้นมานานแล้ว
ชั้นวางหัวกระโหลกของคนถูกบูชายัญของจักรวรรดิ์ Aztec
Watts ยังตั้งข้อสังเกตว่า
การบูชายัญ/การฆ่าคน
มีความเกี่ยวพันกับอำนาจเหนือธรรมชาติและลำดับชนชั้นสูง
เพื่อยืนยันอภิสิทธิ์ของพวกชนชั้นสูง
การแสดงถึงอำนาจดังกล่าวนี้
คือการกดขี่ทำให้ชนชั้นต่ำพวกระดับล่าง
ต้องยอมจำนนและเชื่อฟังพวกชนชั้นสูง
ด้วยมาตรการความหวาดกลัวว่า
อะไรจะเกิดขึ้นตามมาบ้าง
ในการท้าทายอำนาจของพวกชนชั้นสูง
Watts กับเพื่อนร่วมงานได้อธิบายว่า
“ เหยื่อและผู้ต้องเสียสละในการบูชายัญ/ถูกฆ่า
ส่วนใหญ่จะเป็นชนชั้นระดับล่าง เช่น พวกทาส
ส่วนผู้บงการจะเป็นพวกชนชั้นระดับสูง
เช่น นักบวช หรือ หัวหน้าเผ่า "
” ยังมีอะไรที่มากกว่านั้นอีกหรือไม่ "
Watts สรุปผลว่า การบูชายัญ/การฆ่าคน
จะเป็นการลดทอนการต่อต้านชนชั้นสูง
เพราะนำเอาความเชื่อทางศาสนามาผสมผสาน
และเป็นการปัดความรับผิดชอบทางศีลธรรมว่า
ฆ่าเพื่อสังเวยอำนาจเหนือธรรมชาติ/เพื่อสังคม
ในวัฒนธรรมชุมชนแบบดั้งเดิมนั้น
มีความทับซ้อนกันอย่างมาก
ระหว่างศาสนากับการเมือง
พิธีกรรมบูชายัญ/การฆ่าคนที่ชนชั้นสูงนำมาใช้
คือความชอบธรรมในการควบคุมสังคม
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ
คนรวยและชนชั้นนำที่มีอำนาจ
ใช้ความหวาดกลัวและศาสนา
ในการทำให้มวลชนที่ยากจน
อยู่ใต้เบื้องตีนของพวกตน "
การบูชายัญ/ฆ่าคนอาจจะสูญสิ้นไปได้
ขึ้นกับการลงมติ/ยอมรับของชาวบ้าน
แต่การประหารชีวิตคนในที่สาธารณะ
ก็ยังมีการบังคับใช้อยู่ในหลายชาติเช่นกัน
เรื่องที่โชคร้ายก็คือ การควบคุมชาวบ้าน
ด้วยความหวาดกลัว ศาสนา และ อภิสิทธิ์ชน
ยังคงมีอยู่ในหลายชาติเช่นกัน เช่น
ซาอุดีอารเบียยังมีการตัดคอคนในที่สาธารณะ
อินเดียยังมีชนชั้นจัณฑาล 160 ล้านคน
โดยกำหนดสิทธิ์และหน้าที่ไว้แล้ว
ตามมาตรฐานทางศาสนาพราหมณ์
นั่นคือการตัดสินให้ชีวิตที่เกิดมาแล้ว
ต้องตกอยู่กับความยากจนตลอดไป
ให้อยู่แบบชนชั้นต่ำสุดทีเดียว
แม้แต่ในสหรัฐอเมริกา
พลเมืองหลายคนต่างคิดว่า
มีชนชั้นที่ร่ำรวยจำนวนน้อย
คอยบงการการตัดสินใจของรัฐบาล
ด้วยการใช้อิทธิพลในการกำหนดนโยบายรัฐ
ที่มีผลกระทบกับพลเมืองทุกคน
บางครั้งการศึกษามานุษยวิทยา
ทำให้พวกเรารู้สึกอึดอัดขัดข้องหมองใจเช่นกัน
เมื่อมองเห็นมุมมืดจากประวัติศาสตร์
และเชื่อได้เลยว่า ทุกวันนี้พวกเราก็ไม่แตกต่างไปจาก
เรื่องที่พวกเราชอบคิดว่า มันเป็นเช่นนั้นหรือไม่
เรียบเรียง/ที่มา
http://goo.gl/KRCAf4
วาทะกรรม มิเชล ฟูโกร์ " คุก ทหาร ศาล ตำรวจ คือเครื่องมือกดขี่ของรัฐ "
เรื่องเล่าไร้สาระ
การที่มีชนชั้นจัณฑาลในอินเดีย
เป็นสาเหตุหนึ่งที่คนในชนชั้นนี้
หันไปนับถือศาสนาอิสลามมากขึ้น
และเริ่มหันมานับถือศาสนาพุทธมากขึ้น
เพราะไร้วรรณะทางชนชั้น
ในโรมันยุคอดีต
เมื่อผู้ก่อการกบฏล้มเหลว
สำหรับชนชั้นสูงจะให้เลือกฆ่าตัวตาย
ด้วยยาพิษหรือใช้มีดเชือดข้อมือตนเอง
จนเลือดในร่างกายไหลออกมาจนหมด
โดยผู้ชนะจะให้สัญญาว่า
จะไม่ทำอันตรายครอบครัวผู้ตาย
ตลอดจนการยึดทรัพย์สินมาเป็นของรัฐ
ส่วนพวกทาส/ชนชั้นต่ำจะถูกฆ่าล้างโคตร
จีนมักจะมีการฆ่าแบบ 7 ชั่วโคตร
คือนับจากคนทำผิดฐานกบฏ
ขึ้นไป 3 ชั่วคน ทวด ปู่ย่า พ่อแม่
นับลงมาอีก 3 ชั่วคน ลูก หลาน เหลน
บางครั้งขยายไปแนวข้าง พี่น้อง ภริยา สะใภ้ เขย อีก 7 ชั่วโคตร
เพื่อไม่ให้เหลือเป็นเสี้ยนหนามแผ่นดินต่อไป
แบบฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก ตัดไม้อย่าไว้หน่อ ตัดบัวอย่าเหลือราก
จักรพรรดิ์จีนให้ชนชั้นสูงเลือกได้
เช่น ให้ยาพิษ ให้ผ้าแพรไปแขวนคอตายเอง
หรือให้ขันทีไปรัดคอจนตาย
ให้ตอนเป็นขันที ให้บวชเป็นพระภิกษุ
พระภิกษุจีนไม่มีการสึกต้องบวชตลอดชีวิต
ถ้ามีโทษทัณฑ์ก็จะละเว้นโทษให้
การเป็นขันที คือ การทำลายศักดิ์ศรีมนุษย์
ต้องไร้ทายาทสืบสกุลแซ่
ขันทีโด่งดังมี ไซ่หลุน คิดวิธีทำกระดาษ
ซือหม่าเซียน ถูกตอนเป็นขันทีเพราะล่วงละเมิดอำนาจกษัตริย์
แต่ยอมทนรับโทษเพื่อชำระพงศาวดารจีนจนเสร็จสิ้น
ข้อมูลเพิ่มเติม
http://goo.gl/rckJs4
https://goo.gl/QD1cQa
เจิ้งเหอ เพราะเผ่าท่านรบแพ้จีน
จึงถูกจับตอนเป็นขันทีตั้งแต่เด็ก
แล้วส่งมารับใช้ในวังหลวง
ท่านคือ ตำนานซำเปากง ของไทย
เจิ้งเหอ เดิมแซ่หม่า หรือแซ่เบ๊
สันนิษฐานว่าแซ่หม่า ตั้งตามสัญญลักษณ์ชนเผ่า
หรือตั้งตามแซ่หม่า ขุนศึกจีนในอดีตที่ชนะศึก/ปกครองแถวนั้น
หรือมะหะหมัดที่เป็นนามเรียกขานตัวแทนพระอัลเลาะห์
ปู่ และ พ่อ ของท่านนับถือศาสนาอิสลาม
เคยไปทำพิธีฮัจย์ที่เมกกะมาแล้วทั้งคู่
มีหลุมศพของปู่ และ พ่อของท่าน ที่จีน
เมื่อหย่งเล่อ(เยี่ยนอ๋อง)แย่งชิงบัลลังค์จากเจี้ยนเหวินได้แล้ว
ด้วยการช่วยเหลือและสนับสนุนจากเจิ้งเหอ
ขันทีที่ปราดเปรื่องและเป็นคนรับใช้หยงเล่อตั้งแต่เด็ก
แต่โหรหลวงทำนายว่า คนแซ่หม่าจะเป็นอันตรายต่อราชวงศ์
กษัตริย์เลยเปลี่ยนแซ่หม่า เป็นแซ่เจิ้ง เพื่อแก้เคล็ด
แล้วให้ขบวนเรือออกสำรวจและแสดงแสนยานุภาพของจีน
แต่ตามตำนานระบุว่าเพื่อสืบหาเจี้ยนเหวินที่หนีหายไปได้
เพราะมีข่าวลือว่าหลบหนีมาแถวดินแดนสุวรรณภูมิ
หม่าฮวน คือ อารักษ์ที่คอยจดบันทึกประวัติศาสตร์การเดินเรือครั้งนั้น
ตามตำนานเป็นสตรีปลอมตัวเป็นชาย เพื่อคอยติดตามรับใช้ท่าน
หม่าฮวนเคยถูกราชภัยต้องหนีตายโทษฐานกบฏเพราะเป็นพวกเจี้ยนเหวิน
แต่เจิ้งเหอขอชีวิตไว้ให้มาทำหน้าที่ในฐานะล่ามภาษา
เพราะเป็นคนที่มีความละเอียดรอบคอบและรู้หนังสือดี
ได้จดบันทึกถึงเรื่องราวในสุวรรณภูมิ(สยาม)และเขมรไว้จำนวนหนึ่ง
ส่วนเจี้ยนเหวินที่หนีหายไปถูกตามจับตัวได้ในภายหลัง
แต่ได้บวชเป็นพระภิกษุและชราภาพมากแล้ว
จึงได้รับการยกเว้นโทษประหารชีวิต
ข้อมูลเพิ่มเติม
http://goo.gl/mM5vPU
https://goo.gl/dwCHLN
โชกุนญี่ปุ่นจะให้เกียรติคนต้องโทษตายด้วย เซบปุกุ
เซบปุกุ คือ การเอาซามูไรด้ามสั้นคว้านท้องตนเอง
จากบนลงล่าง แนวเฉียง/ขวาง/ขนาน
ยิ่งตายช้าเท่าไรยิ่งแสดงถึงความอดทน
ส่วนคนที่ทนเจ็บไม่ได้ จะมีซามูไรรอตัดหัวให้
มีเรื่อง 47 โรนินที่แก้แค้นแทนนายเก่า
แล้วได้เซบปุกุเป็นเกียรติยศก่อนตาย
ข้อมูลเพิ่มเติม
http://goo.gl/Iwipjs
https://goo.gl/scHh2y
ส่วนพวกมาเฟียในชิชิลี อิตาลี
จะยกเว้นไม่ฆ่าสตรีและเด็ก
แต่จะไม่ยกเว้นลูกชายศัตรู
ดังจะเห็นได้จากเรื่อง The Godfather
เขียนจากความทรงจำเก่า ๆ
เรื่องอ้างอิงหายไปกับสายน้ำแล้ว
มีต่อในความเห็นที่ 2
การบูชายัญ/การฆ่าคนมีส่วนช่วยสร้างสังคมที่สลับซับซ้อน
พีธีบูชายัญคนของชนเผ่า Aztec ประวัติศาสตร์จักรวรรดิ์ Aztec
มัมมี่ ที่ขุดค้นพบในหลุมศพบนยอดเขาที่หิมะละลาย
ได้บอกเล่าเรื่องราวพิธีกรรมการฆ่าคน/บูชายัญ
ที่นานแสนนานแล้วของมนุษยชาติ
ซากศพถูกมัด ถูกเชือด หรือทำร้ายแบบไม่มีชิ้นดี
มักจะมีการพบศพในสภาพที่ผิดปกติ
หลักฐานที่แปลกประหลาดเหล่านี้
บ่งบอกถึงความรุนแรง/โหดร้ายของคนในอดีต
ที่ทำให้เราต้องหวาดกลัวหรือต้องสนใจ
อยากจะรู้ว่าคนเราเคยทำสิ่งนี้เพื่ออะไร
แม้ว่าการกระทำป่าเถื่อนที่พบเห็นนี้
บางครั้งอาจจะไม่มีเหตุผลที่สอดคล้องต้องกัน
หรือเป็นเหตุเป็นผลมากนัก
http://ppantip.com/topic/30811031 เหล้าและใบโคคาใช้มอมเมาเด็กก่อนบูชายัญ
นักมานุษยวิทยานิวซีแลนด์
ได้รวบรวมข้อมูลจากสถานที่ต่าง ๆ แล้วตั้งข้อสังเกตว่า
พิธีกรรมบูชายัญ/การฆ่าคน
คือ รูปแบบพลังขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่
ในการรักษาลำดับชั้นของสังคมคนเราจนถึงทุกวันนี้
ผลงานวิจัยชิ้นนี้มีการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร Nature
การบูชายัญ/การฆ่าคนได้เกิดขึ้นนานแล้ว
ตังแต่ยุคแรกเริ่มในวัฒนธรรมของชนเผ่า
Germanic Arab Turkic Inuit American
Austronesian African Chinese และ Japanese
ด้วยเรื่องราวพื้น ๆ เกือบทุกมุมโลกแห่งนี้
มีการฆ่าญาติพี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์ของตน
เพื่อเอาอกเอาใจสิ่งที่เหนือธรรมชาติเมื่อหลายพันปีก่อน
หรือแม้แต่ในยุคศตวรรษที่ 20 ก็ยังมีหลงเหลืออยู่
จำนวนคนที่ถูกฆ่า/บูชายัญ
และประสิทธิภาพ/ประสิทธิผลในการฆ่า
มีความแตกต่างกันอย่างใหญ่หลวง
ในด้านวิธีการฆ่าและเหตุผลเบื้องหลังการฆ่า
บางครั้งคนที่ถูกฆ่า/บูชายัญ
เพราะวัฒนธรรมของชนเผ่าที่ต้องทำ
หรือการทำผิดประเพณีวัฒนธรรมของชนเผ่า
หรือบางครั้งเนื่องจากวาระพิเศษที่สำคัญ
เช่น การตายของหัวหน้าเผ่า/ราชา
การสร้างสิ่งก่อสร้างใหม่ ๆ
หรือการเฉลิมฉลองเทศกาลศักดิ์สิทธิ์
คนที่ประกอบพิธีกรรมโหดร้ายเหล่านี้
มักจะเป็นพวกชนชั้นนำ เช่น
นักบวช หมอผี ผู้นำศาสนา ราชา หรือเชื้อสายพวกนี้
คนพวกนี้มักจะร่วมมือกันฆ่าคนได้อย่างอิสระเสรี
ไม่จำกัดรูปแบบ สร้างสรรค์วิธีการฆ่าได้อย่างเต็มที่
มีการข้ามวัฒนธรรมการฆ่าไปมาระหว่างกัน
หรือ ความดีต้องอดทนฝึกฝน แต่ความชั่วเรียนรู้กันได้ง่าย
การฆ่าคนมีตั้งแต่การ เผาทั้งเป็น การจับกดให้จมน้ำตาย
การรัดคอจนตาย การฝังทั้งเป็น การตัดคอ การแล่คนเป็นชิ้น ๆ
การโยนคนทั้งเป็นลงจากที่สูง การให้สัตว์ป่ากัดกิน ฯลฯ
ทหารกรีกบูชายัญศัตรู หลังชัยชนะสงครามเมืองทรอย Troy
เรื่องเล่าไร้สาระ
สงครามครั้งนี้เป็นศึกชิงนาง
และศึกศักดิ์ศรีของนครรัฐกรีก
มีการรบกันกว่า 10 ปีต่อเนื่องกันมา
จนสุดท้ายมีการใช้กลยุทธ์
แกล้งถอนทัพเรือออกจากชายฝั่ง
แล้วทิ้งม้าไม้ Trojan ไว้ตัวหนึ่งบนชายฝั่ง
พร้อมกับทหารหนีทัพชื่อ ซีนอน
อ้างว่ามอบให้เป็นบรรณาการที่สู้รบกันมานาน
แต่ข้างในม้าไม้มีทหารหลบซ่อนอยู่ถึง 5 คน
เมื่อชาวบ้านกรุงทรอยเฉลิมฉลองกันจนเมามาย
เพราะคิดว่ามีชัยต่อศัตรู และศัตรูล่าถอยไปแล้ว
ซีนอนแอบไปเปิดประตูลับให้ทหารที่หลบซ่อน
ออกมาเปิดประตูเมืองและพร้อมกับทหารในทัพเรือ
ที่หวนกลับมาบุกยึดกรุงทรอยได้
มีการฆ่าผู้ชายทั้งหมด ส่วนผู้หญิงและเด็กถูกจับไปเป็นทาส
Trojan คือ ชื่อเรียกไวรัสหรือสปายแวร์ตัวหนึ่งในระบบคอมพิวเตอร์
เรื่องนี้เป็นนิยามว่า การศึกไม่หน่ายกลยุทธ์
เหมาเจ๋อตุง หัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์พูดว่า
ยุทธวิธีคือ สิบรบหนึ่ง เหมือนจับคนบ้าต้องใช้คนจำนวนมาก
ยุทธศาสตร์หรือกลยุทธ์ คือ หนึ่งรบสิบ ทำให้ศัตรูปั่นป่วน/ท้อแท้
เอ็งมาข้าหยุด เอ็งหยุดข้าแหย่ เอ็งแย่ข้าตี เอ็งหนีข้าตาม เอ็งตามข้าหนี
ข้อมูลเพิ่มเติม
http://goo.gl/7WIMCn
https://goo.gl/ymEmd1
James Watts นักจิตวิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกับ
วิวัฒนาการของวัฒนธรรม
ที่ University of Auckland ใน New Zealand
ได้มองย้อนหลังประวัติศาสตร์การบูชายัญ/การฆ่าคน
ของชนเผ่าดั้งเดิม 93 เผ่า Austronesian แถบมหาสมุทรแปซิฟิค
ในเอกสารรายงาน Watts และเพื่อนร่วมงาน
ได้อธิบายว่า สังคมชนเผ่าเหล่านี้ทำหน้าที่เสมือน
ห้องทดลองธรรมชาติในการสำรวจข้ามวัฒนธรรม
เพราะมีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันอย่างมาก
และลักษณะวัฒนธรรมที่ชนเผ่าเหล่านี้พัฒนาขึ้นมาเอง
ภายใต้สภาพแวดล้อมที่แตกกต่างกันอย่างมาก
ตั้งแต่แนวหินปะการังเพียงไม่กี่ตารางกิโลเมตร
ป่าชื้น ป่าดงดิบ ที่ทำมาหากินบนที่ราบ กับบนเทือกเขา
จนถึงพื้นที่ขนาดใหญ่เทียบเท่าทวีปออสเตรเลีย
มีการศึกษาถึงสังคมของชนเผ่าที่มีขนาดเล็ก
หรือชุมชนชนเผ่าที่เสมอภาค/เท่าเทียมกัน
จนถึงสลับซับซ้อนกันอย่างมาก
หรือเป็นสังคมชนชั้นแบบชนเผ่าฮาวาย
Watts กับทีมงานได้บันทึกเรื่องราว
ที่มีการทำและไม่มีการทำเกี่ยวกับ
การบูชายัญ/การฆ่าคนของวัฒนธรรมชนเผ่าเหล่านี้ในอดีต
ที่เกี่ยวเนื่องกับลำดับชั้นทางสังคมจนถึงทุกวันนี้
ด้วยการประมวลผลข้อมูลกับรูปแบบต่าง ๆ
เพื่อทดสอบว่าพิธีกรรมการฆ่าคน/บูชายัญ
จะมีวิวัฒนการร่วมกับลำดับชั้นทางสังคมหรือไม่
แน่นอนผลลัพธ์ที่ออกมามีสหสัมพันธ์กันอย่างยิ่ง
ในชนเผ่าที่มีความเสมอภาคกันที่ใช้ในการศึกษา
มีเพียง 5 ใน 20 ชนเผ่าเท่านั้น
ที่มีการบูชายัญ/การฆ่าคน
แต่ในทางกลับกันมีการบุชายัญ/การฆ่าคน
ถึง 18 ใน 27 ของชนเผ่าที่มีการแบ่งชนชั้นระดับสูง
และ Watts ยังพบว่าการบูชายัญ/การฆ่าคน
มีส่วนช่วยในการรักษาเสถียรภาพ และรักษาระบบชนชั้น
ที่พวกชนเผ่าชั้นนำสั่งสมสร้างขึ้นมานานแล้ว
ชั้นวางหัวกระโหลกของคนถูกบูชายัญของจักรวรรดิ์ Aztec
Watts ยังตั้งข้อสังเกตว่า
การบูชายัญ/การฆ่าคน
มีความเกี่ยวพันกับอำนาจเหนือธรรมชาติและลำดับชนชั้นสูง
เพื่อยืนยันอภิสิทธิ์ของพวกชนชั้นสูง
การแสดงถึงอำนาจดังกล่าวนี้
คือการกดขี่ทำให้ชนชั้นต่ำพวกระดับล่าง
ต้องยอมจำนนและเชื่อฟังพวกชนชั้นสูง
ด้วยมาตรการความหวาดกลัวว่า
อะไรจะเกิดขึ้นตามมาบ้าง
ในการท้าทายอำนาจของพวกชนชั้นสูง
Watts กับเพื่อนร่วมงานได้อธิบายว่า
“ เหยื่อและผู้ต้องเสียสละในการบูชายัญ/ถูกฆ่า
ส่วนใหญ่จะเป็นชนชั้นระดับล่าง เช่น พวกทาส
ส่วนผู้บงการจะเป็นพวกชนชั้นระดับสูง
เช่น นักบวช หรือ หัวหน้าเผ่า "
” ยังมีอะไรที่มากกว่านั้นอีกหรือไม่ "
Watts สรุปผลว่า การบูชายัญ/การฆ่าคน
จะเป็นการลดทอนการต่อต้านชนชั้นสูง
เพราะนำเอาความเชื่อทางศาสนามาผสมผสาน
และเป็นการปัดความรับผิดชอบทางศีลธรรมว่า
ฆ่าเพื่อสังเวยอำนาจเหนือธรรมชาติ/เพื่อสังคม
ในวัฒนธรรมชุมชนแบบดั้งเดิมนั้น
มีความทับซ้อนกันอย่างมาก
ระหว่างศาสนากับการเมือง
พิธีกรรมบูชายัญ/การฆ่าคนที่ชนชั้นสูงนำมาใช้
คือความชอบธรรมในการควบคุมสังคม
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ
คนรวยและชนชั้นนำที่มีอำนาจ
ใช้ความหวาดกลัวและศาสนา
ในการทำให้มวลชนที่ยากจน
อยู่ใต้เบื้องตีนของพวกตน "
การบูชายัญ/ฆ่าคนอาจจะสูญสิ้นไปได้
ขึ้นกับการลงมติ/ยอมรับของชาวบ้าน
แต่การประหารชีวิตคนในที่สาธารณะ
ก็ยังมีการบังคับใช้อยู่ในหลายชาติเช่นกัน
เรื่องที่โชคร้ายก็คือ การควบคุมชาวบ้าน
ด้วยความหวาดกลัว ศาสนา และ อภิสิทธิ์ชน
ยังคงมีอยู่ในหลายชาติเช่นกัน เช่น
ซาอุดีอารเบียยังมีการตัดคอคนในที่สาธารณะ
อินเดียยังมีชนชั้นจัณฑาล 160 ล้านคน
โดยกำหนดสิทธิ์และหน้าที่ไว้แล้ว
ตามมาตรฐานทางศาสนาพราหมณ์
นั่นคือการตัดสินให้ชีวิตที่เกิดมาแล้ว
ต้องตกอยู่กับความยากจนตลอดไป
ให้อยู่แบบชนชั้นต่ำสุดทีเดียว
แม้แต่ในสหรัฐอเมริกา
พลเมืองหลายคนต่างคิดว่า
มีชนชั้นที่ร่ำรวยจำนวนน้อย
คอยบงการการตัดสินใจของรัฐบาล
ด้วยการใช้อิทธิพลในการกำหนดนโยบายรัฐ
ที่มีผลกระทบกับพลเมืองทุกคน
บางครั้งการศึกษามานุษยวิทยา
ทำให้พวกเรารู้สึกอึดอัดขัดข้องหมองใจเช่นกัน
เมื่อมองเห็นมุมมืดจากประวัติศาสตร์
และเชื่อได้เลยว่า ทุกวันนี้พวกเราก็ไม่แตกต่างไปจาก
เรื่องที่พวกเราชอบคิดว่า มันเป็นเช่นนั้นหรือไม่
เรียบเรียง/ที่มา http://goo.gl/KRCAf4
วาทะกรรม มิเชล ฟูโกร์ " คุก ทหาร ศาล ตำรวจ คือเครื่องมือกดขี่ของรัฐ "
เรื่องเล่าไร้สาระ
การที่มีชนชั้นจัณฑาลในอินเดีย
เป็นสาเหตุหนึ่งที่คนในชนชั้นนี้
หันไปนับถือศาสนาอิสลามมากขึ้น
และเริ่มหันมานับถือศาสนาพุทธมากขึ้น
เพราะไร้วรรณะทางชนชั้น
ในโรมันยุคอดีต
เมื่อผู้ก่อการกบฏล้มเหลว
สำหรับชนชั้นสูงจะให้เลือกฆ่าตัวตาย
ด้วยยาพิษหรือใช้มีดเชือดข้อมือตนเอง
จนเลือดในร่างกายไหลออกมาจนหมด
โดยผู้ชนะจะให้สัญญาว่า
จะไม่ทำอันตรายครอบครัวผู้ตาย
ตลอดจนการยึดทรัพย์สินมาเป็นของรัฐ
ส่วนพวกทาส/ชนชั้นต่ำจะถูกฆ่าล้างโคตร
จีนมักจะมีการฆ่าแบบ 7 ชั่วโคตร
คือนับจากคนทำผิดฐานกบฏ
ขึ้นไป 3 ชั่วคน ทวด ปู่ย่า พ่อแม่
นับลงมาอีก 3 ชั่วคน ลูก หลาน เหลน
บางครั้งขยายไปแนวข้าง พี่น้อง ภริยา สะใภ้ เขย อีก 7 ชั่วโคตร
เพื่อไม่ให้เหลือเป็นเสี้ยนหนามแผ่นดินต่อไป
แบบฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก ตัดไม้อย่าไว้หน่อ ตัดบัวอย่าเหลือราก
จักรพรรดิ์จีนให้ชนชั้นสูงเลือกได้
เช่น ให้ยาพิษ ให้ผ้าแพรไปแขวนคอตายเอง
หรือให้ขันทีไปรัดคอจนตาย
ให้ตอนเป็นขันที ให้บวชเป็นพระภิกษุ
พระภิกษุจีนไม่มีการสึกต้องบวชตลอดชีวิต
ถ้ามีโทษทัณฑ์ก็จะละเว้นโทษให้
การเป็นขันที คือ การทำลายศักดิ์ศรีมนุษย์
ต้องไร้ทายาทสืบสกุลแซ่
ขันทีโด่งดังมี ไซ่หลุน คิดวิธีทำกระดาษ
ซือหม่าเซียน ถูกตอนเป็นขันทีเพราะล่วงละเมิดอำนาจกษัตริย์
แต่ยอมทนรับโทษเพื่อชำระพงศาวดารจีนจนเสร็จสิ้น
ข้อมูลเพิ่มเติม
http://goo.gl/rckJs4
https://goo.gl/QD1cQa
เจิ้งเหอ เพราะเผ่าท่านรบแพ้จีน
จึงถูกจับตอนเป็นขันทีตั้งแต่เด็ก
แล้วส่งมารับใช้ในวังหลวง
ท่านคือ ตำนานซำเปากง ของไทย
เจิ้งเหอ เดิมแซ่หม่า หรือแซ่เบ๊
สันนิษฐานว่าแซ่หม่า ตั้งตามสัญญลักษณ์ชนเผ่า
หรือตั้งตามแซ่หม่า ขุนศึกจีนในอดีตที่ชนะศึก/ปกครองแถวนั้น
หรือมะหะหมัดที่เป็นนามเรียกขานตัวแทนพระอัลเลาะห์
ปู่ และ พ่อ ของท่านนับถือศาสนาอิสลาม
เคยไปทำพิธีฮัจย์ที่เมกกะมาแล้วทั้งคู่
มีหลุมศพของปู่ และ พ่อของท่าน ที่จีน
เมื่อหย่งเล่อ(เยี่ยนอ๋อง)แย่งชิงบัลลังค์จากเจี้ยนเหวินได้แล้ว
ด้วยการช่วยเหลือและสนับสนุนจากเจิ้งเหอ
ขันทีที่ปราดเปรื่องและเป็นคนรับใช้หยงเล่อตั้งแต่เด็ก
แต่โหรหลวงทำนายว่า คนแซ่หม่าจะเป็นอันตรายต่อราชวงศ์
กษัตริย์เลยเปลี่ยนแซ่หม่า เป็นแซ่เจิ้ง เพื่อแก้เคล็ด
แล้วให้ขบวนเรือออกสำรวจและแสดงแสนยานุภาพของจีน
แต่ตามตำนานระบุว่าเพื่อสืบหาเจี้ยนเหวินที่หนีหายไปได้
เพราะมีข่าวลือว่าหลบหนีมาแถวดินแดนสุวรรณภูมิ
หม่าฮวน คือ อารักษ์ที่คอยจดบันทึกประวัติศาสตร์การเดินเรือครั้งนั้น
ตามตำนานเป็นสตรีปลอมตัวเป็นชาย เพื่อคอยติดตามรับใช้ท่าน
หม่าฮวนเคยถูกราชภัยต้องหนีตายโทษฐานกบฏเพราะเป็นพวกเจี้ยนเหวิน
แต่เจิ้งเหอขอชีวิตไว้ให้มาทำหน้าที่ในฐานะล่ามภาษา
เพราะเป็นคนที่มีความละเอียดรอบคอบและรู้หนังสือดี
ได้จดบันทึกถึงเรื่องราวในสุวรรณภูมิ(สยาม)และเขมรไว้จำนวนหนึ่ง
ส่วนเจี้ยนเหวินที่หนีหายไปถูกตามจับตัวได้ในภายหลัง
แต่ได้บวชเป็นพระภิกษุและชราภาพมากแล้ว
จึงได้รับการยกเว้นโทษประหารชีวิต
ข้อมูลเพิ่มเติม
http://goo.gl/mM5vPU
https://goo.gl/dwCHLN
โชกุนญี่ปุ่นจะให้เกียรติคนต้องโทษตายด้วย เซบปุกุ
เซบปุกุ คือ การเอาซามูไรด้ามสั้นคว้านท้องตนเอง
จากบนลงล่าง แนวเฉียง/ขวาง/ขนาน
ยิ่งตายช้าเท่าไรยิ่งแสดงถึงความอดทน
ส่วนคนที่ทนเจ็บไม่ได้ จะมีซามูไรรอตัดหัวให้
มีเรื่อง 47 โรนินที่แก้แค้นแทนนายเก่า
แล้วได้เซบปุกุเป็นเกียรติยศก่อนตาย
ข้อมูลเพิ่มเติม
http://goo.gl/Iwipjs
https://goo.gl/scHh2y
ส่วนพวกมาเฟียในชิชิลี อิตาลี
จะยกเว้นไม่ฆ่าสตรีและเด็ก
แต่จะไม่ยกเว้นลูกชายศัตรู
ดังจะเห็นได้จากเรื่อง The Godfather
เขียนจากความทรงจำเก่า ๆ
เรื่องอ้างอิงหายไปกับสายน้ำแล้ว
มีต่อในความเห็นที่ 2