ดิฉันอยากแบ่งปันประสบการณ์ในชีวิต เนื่องจากคุณพ่อป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายและเสียชีวิตแล้ว เมื่อวันที่ 21 ส.ค.59 หลังจากทราบภาวะของโรคประมาณ 3 เดือน
คุณพ่อดิฉันอายุ 79 ปี เป็นคนแข็งแรง สุขภาพดี ไม่มีโรคประจำตัวใดๆเลย แต่เคยสูบบุหรี่จัดมากมาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ คือสูบแบบซองต่อซองเลยทีเดียว
ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว คุณพ่อและแม่เลี้ยงดิฉัน มาจากต่างจังหวัด เพื่อมาอยู่ช่วยดูแลหลาน (ลูกชายดิฉัน) ทั้งคนกลางและอยู่เรื่อยมาจนถึงช่วยเลี้ยงคนสุดท้อง บางครั้งก็กลับไปบ้านที่ต่างจังหวัดในช่วงที่เด็กๆเปิดเทอม แล้วกลับมาช่วยดูแลเด็กๆในช่วงปิดเทอม
ตลอดระยะเวลในช่วง 10 ปีมานี้ คุณพ่อเคยป่วยด้วยโรคปอดติดเชื้อจนต้องเข้าโรงพยาบาลเมือปี 53 โดยนอนรักษาตัวอยู่ 8 วันก็กลับบ้านได้ หลังจากนั้นมาก็ปกติดีไม่ค่อยป่วยอีก นอกจากเป็นหวัด มีน้ำมูกเล็กๆน้อยๆ เวลาที่อากาศเปลี่ยนแปลง
ปกติคุณพ่อเป็นคนทำอะไรเร็ว ไม่ว่าจะเดิน ลุกนั่ง หรือทำอะไรก็จะทำเร็ว คุณพ่อยังช่วยขับรถไปรับเด็กๆกลับจากโรงเรียนได้สบายๆ จนมาถึงช่วงปลายปี 58 คุณพ่อเริ่มมีอาการผิดปกติ คือเวลาเดินไกลๆ เดินนานๆ จะเหนื่อยมาก เริ่มมีอาการหอบเล็กน้อย และไอติดต่อกันเป็นเวลานานหลายเดือน
ช่วงปีใหม่ปี 59 ตอนนั้นคุณพ่อกลับไปบ้านที่ต่างจังหวัด เลยไปหาหมอที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ หมอตรวจดูอาการ (แบบไม่ละเอียดนัก) แป๊บเดียวก็สรุปว่า เป็นโรคคนแก่ทั่วไป ที่มักจะเป็นแบบนี้ คือเป็นหวัด มีไข้เล็กน้อย ไอ ปอดอักเสบ ก็ให้ยามาตามอาการ แต่กินยาไปแล้วระยะนึง ก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร แต่ก็ไม่ได้แย่อะไรมากนัก
จนมาถึงปลายเดือน ก.พ. คุณพ่อก็กลับมาที่บ้านดิฉันที่นนทบุรี เพื่อมาอยู่ช่วยดูแลหลานๆ ในช่วงปิดเทอมเหมือนเช่นเคย กลับมาคราวนี้พ่อขับรถมาเองไม่ไหวแล้ว เลยให้น้องเราขับมา (ปกติพ่อจะขับรถมาเอง ระยะทาง 800-900 โล แบบสบายๆ เหนื่อยก็แวะพัก) พอมาถึงได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ช่วงต้นเดือน มี.ค. ก็เลยพาคุณพ่อไปหาหมอตรวจร่างกายโดยละเอียด ที่ รพ.รัฐใกล้บ้านตามสิทธิ์ คุณหมอซักประวัติโดยละเอียด ตรวจร่างกาย ตรวจเลือด ตรวจเสมหะเพาะเชื้อ และสั่ง X-ray ปอด เนื่องจากคุณพ่อมีปัญหาในเรื่องเหนื่อย หอบ หายใจลำบาก
ผล X-ray ปอดทั้ง 2 ข้าง ปรากฏว่า...มีฝ้าสีขาวขึ้นเต็มไปหมด แทบไม่เห็นส่วนที่เป็นสีดำเลย (ปอดคนปกติจะเห็นทะลุเป็นสีดำ) และผลเพาะเชื้อเสมหะทั้ง 2 ครั้ง แต่ไม่พบเชื้อวัณโรค แต่คุณหมอลงความเห็นว่า น่าจะเป็นวัณโรคปอดมากกว่ามะเร็งปอด... คือคุณหมอทั้ง 2 ท่าน ที่รพ.นี้ ก็ลงความเห็นตรงกันว่า น่าจะเป็นวัณโรคปอด ตอนนั้นดิฉันเริ่มรู้สึกใจไม่ดี แต่คุณหมอก็บอกว่า ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเป็นวัณโรคปอดก็แค่กินยา 6 เดือนหรือมากกว่านั้นจนกว่าจะหายดี ก็โอเคแล้วแค่ระมัดระวังเรื่องการติดต่อในช่วงระยะแรกๆ (คือถ้ากินยา 2 สัปดาห์ ไปแล้วก็จะไม่แพร่เชื้อแล้ว) และดูแลร่างกายคุณพ่อ ด้วยการออกกำลังกายตามสมควร กินอาหารที่ดีมีประโยชน์ ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร
แต่....ถ้ากินยาไปแล้วไม่ดีขึ้น ก็ต้องมาวิเคราะห์กันต่อว่าเป็นมะเร็งปอดมั้ย ตอนนั้นดิฉันก็เชื่อตามที่คุณหมอทั้ง 2 ท่านวินิจฉัยว่าคุณพ่อเป็นแค่วัณโรคปอด (เสียดายที่ทำไมตอนนั้น เราถึงไม่ไปหาหมอที่ รพ.อื่นหรือรพ.เอกชน เพื่อขอความเห็นเพิ่มให้ชัดเจนกว่านี้) หลังจากนั้นในช่วงตั้งแต่ต้นเดือน มี.ค. จนถึง เม.ย. พ่อก็กินยาวัณโรคมาตลอด อาการเหนื่อยหอบ เพลีย เริ่มดีขึ้นๆ จนปกติแล้ว หมอก็นัดตรวจ 2 สัปดาห์-เดือนนึง จนมาถึงช่วงปลายเดือน พ.ค.
หมอก็นัตรวจและสั่ง X-ray ปอดอีกครั้งเพื่อดูความเปลี่ยนแปลง ว่าฝ้าขาวๆนั่น จางลงมากแค่ไหนแล้ว
ปรากฏว่าผ่านมาประมาณ 2 เดือนกว่าๆ ฝ้าขาวๆนั่นจางลงเพียงนิดเดียว ที่จริงต้องจางลงอย่างเห็นได้ชัดเจน ตามที่หมอบอก ครั้งนั้นหมอจึงได้สั่งให้ทำ
CT SCAN CHEST เพื่อดูว่ามีก้อนเนื้อ (มะเร็ง)ในปอดมั๊ย ซึ่งพอผล CT ออกมา ก็มีก้อนเนื้อขนาด 7 ซม. ที่ปอดซ้าย กลีบบน (ปอดขวามี 3 กลีบ ปอดซ้ายมี 2 กลีบ กลีบบนและกลีบล่าง) วันที่ 2 มิ.ย. คุณหมอจึงทำใบส่งตัวไปยัง รพ.เฉพาะทางให้ เพื่อไปทำการส่องกล้อง ตรวจหาชิ้นเนื้อหรือเซลล์มะเร็งต่อไป
วันที่ 3 มิ.ย. ดิฉันก็รีบพาพ่อมายัง รพ.เฉพาะทางทันที เพราะต้องรีบแล้ว ถ้าหากพ่อเป็นมะเร็งปอดจริง ทุกอย่างต้องรีบ รอช้าไม่ได้ ยิ่งตรวจพบเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสเริ่มการรักษาได้เร็วเท่านั้น 14 มิ.ย. คุณหมอนัดส่องกล้องเพื่อตัดชิ้นเนื้อไปตรวจหาเซลล์มะเร็ง รอผล 1 สัปดาห์ ผลออกมาไม่เจอเซลล์มะเร็ง คุณหมอจึงนัดตรวจซ้ำครั้งที่ 2 เนื่องจากคุณหมอมั่นใจว่า ต้องใช่มะเร็งปอดแน่ๆ
วันที่ 28 มิ.ย. คุณหมอนัดไปส่องกล้องครั้งที่ 2 เพื่อตัดชิ้นเนื้อไปตรวจเหมือนครั้งแรก แต่คราวนี้ คุณหมอจะส่องเข้าไปลึกกว่าครั้งแรก เพื่อเก็บชิ้นเนื้อให้มากขึ้น ผ่านไปอีก 1 สัปดาห์ ผลก็ออกมาเหมือนครั้งแรก คือไม่เจอเซลล์มะเร็ง... (ในช่วงเดือน มิ.ย.นี้ พ่อเริ่มกลับมาเหนื่อยแล้ว แต่ไม่มากนัก ยังคงใช้ชีวิตได้ค่อนข้างปกติ กินได้เยอะ นอนหลับ ไม่ได้หอบ ไม่เพลียเท่าไหร่ ขับรถได้ใกล้ๆ รดน้ำต้นไม้ เก็บกวาดใบไม้ อาบน้ำเอง ได้ปกติ)
คราวนี้คุณหมอเลยจะนัดเจาะปอดจากทางหน้าอก เพื่อเอาชิ้นเนื้อมาตรวจ ซึ่งอาจจะได้ผลมากกว่าการส่องกล้องทั้ง 2 ครั้ง ที่ผ่านมา แต่ก็อาจมีความเสี่ยงเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะคุณพ่อก็อายุมากแล้ว แต่มันจำเป็นจริงๆ และคุณพ่อก็ยอมที่จะทำ แต่นัดเจาะปอดคราวนี้ นานมาก 24 ส.ค.เลย พยายามขอเลื่อนให้เร็วขึ้น แต่ก็ไม่มีคิวแทรกได้เลย ดิฉันเลยตัดสินใจพาพ่อไปสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เพื่อจะให้คุณหมอได้เจาะปอดเลย โดยเอาใบนัดเจาะปอดจากที่นี่ และผล CT SCAN ไปด้วย โดยจ่ายเงินเองทุกอย่าง เพื่ออยากให้รู้ผลเร็วขึ้น แค่เดือนเดียวก็มีผลมากมายแล้ว
คุณหมอนัดเจาะปอด วันที่ 21 ก.ค. ก็ถือว่าค่อนข้างเร็ว และต้องรอผลประมาณ 10 วัน ในช่วงนี้อาการของพ่อก็ยังเหนื่อยอยู่ หากต้องเดินไกลๆ หรือเดินนานๆ ปลายเดือน ก.ค.พ่อเริ่มมีอาการเหนื่อย หอบ มากขึ้น หายใจลำบาก ไอตลอด มีไข้ต่ำๆ นอนราบไม่ได้ (ที่จริงนอนราบไม่ได้มาสักพักนึงแล้ว)
ดิฉันเลยพาคุณพ่อไปหาหมอที่ รพ.เฉพาะทางที่ถูกส่งตัวมาตรวจหาชิ้นเนื้อนั้น วันแรกมาตอนเย็นโดยไปแบบฉุกเฉิน (คุณพ่อดิฉันถ้าไม่เป็นอะไรมาก ก็จะไม่ยอมไปหาหมอ แต่นี่ยอมไปดีๆ แสดงว่า เค้าไม่ไหวจริงๆ) แพทย์เวรก็ตรวจร่างกาย วัดความดัน ตรวจออกซิเจนในเลือด ผลก็ปกติทุกอย่าง และบอกว่าที่พ่อเหนื่อยมาก มันเป็นผลจากก้อนเนื้อขนาด 7 ซ.ม.ที่ปอดซ้ายพ่อนั่นแหละ ทำอะไรไม่ได้มาก ต้องรอไปรักษามะเร็งต่อไป
อยากแชร์ประสบการณ์คุณพ่อเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย
คุณพ่อดิฉันอายุ 79 ปี เป็นคนแข็งแรง สุขภาพดี ไม่มีโรคประจำตัวใดๆเลย แต่เคยสูบบุหรี่จัดมากมาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ คือสูบแบบซองต่อซองเลยทีเดียว
ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว คุณพ่อและแม่เลี้ยงดิฉัน มาจากต่างจังหวัด เพื่อมาอยู่ช่วยดูแลหลาน (ลูกชายดิฉัน) ทั้งคนกลางและอยู่เรื่อยมาจนถึงช่วยเลี้ยงคนสุดท้อง บางครั้งก็กลับไปบ้านที่ต่างจังหวัดในช่วงที่เด็กๆเปิดเทอม แล้วกลับมาช่วยดูแลเด็กๆในช่วงปิดเทอม
ตลอดระยะเวลในช่วง 10 ปีมานี้ คุณพ่อเคยป่วยด้วยโรคปอดติดเชื้อจนต้องเข้าโรงพยาบาลเมือปี 53 โดยนอนรักษาตัวอยู่ 8 วันก็กลับบ้านได้ หลังจากนั้นมาก็ปกติดีไม่ค่อยป่วยอีก นอกจากเป็นหวัด มีน้ำมูกเล็กๆน้อยๆ เวลาที่อากาศเปลี่ยนแปลง
ปกติคุณพ่อเป็นคนทำอะไรเร็ว ไม่ว่าจะเดิน ลุกนั่ง หรือทำอะไรก็จะทำเร็ว คุณพ่อยังช่วยขับรถไปรับเด็กๆกลับจากโรงเรียนได้สบายๆ จนมาถึงช่วงปลายปี 58 คุณพ่อเริ่มมีอาการผิดปกติ คือเวลาเดินไกลๆ เดินนานๆ จะเหนื่อยมาก เริ่มมีอาการหอบเล็กน้อย และไอติดต่อกันเป็นเวลานานหลายเดือน
ช่วงปีใหม่ปี 59 ตอนนั้นคุณพ่อกลับไปบ้านที่ต่างจังหวัด เลยไปหาหมอที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ หมอตรวจดูอาการ (แบบไม่ละเอียดนัก) แป๊บเดียวก็สรุปว่า เป็นโรคคนแก่ทั่วไป ที่มักจะเป็นแบบนี้ คือเป็นหวัด มีไข้เล็กน้อย ไอ ปอดอักเสบ ก็ให้ยามาตามอาการ แต่กินยาไปแล้วระยะนึง ก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร แต่ก็ไม่ได้แย่อะไรมากนัก
จนมาถึงปลายเดือน ก.พ. คุณพ่อก็กลับมาที่บ้านดิฉันที่นนทบุรี เพื่อมาอยู่ช่วยดูแลหลานๆ ในช่วงปิดเทอมเหมือนเช่นเคย กลับมาคราวนี้พ่อขับรถมาเองไม่ไหวแล้ว เลยให้น้องเราขับมา (ปกติพ่อจะขับรถมาเอง ระยะทาง 800-900 โล แบบสบายๆ เหนื่อยก็แวะพัก) พอมาถึงได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ช่วงต้นเดือน มี.ค. ก็เลยพาคุณพ่อไปหาหมอตรวจร่างกายโดยละเอียด ที่ รพ.รัฐใกล้บ้านตามสิทธิ์ คุณหมอซักประวัติโดยละเอียด ตรวจร่างกาย ตรวจเลือด ตรวจเสมหะเพาะเชื้อ และสั่ง X-ray ปอด เนื่องจากคุณพ่อมีปัญหาในเรื่องเหนื่อย หอบ หายใจลำบาก
ผล X-ray ปอดทั้ง 2 ข้าง ปรากฏว่า...มีฝ้าสีขาวขึ้นเต็มไปหมด แทบไม่เห็นส่วนที่เป็นสีดำเลย (ปอดคนปกติจะเห็นทะลุเป็นสีดำ) และผลเพาะเชื้อเสมหะทั้ง 2 ครั้ง แต่ไม่พบเชื้อวัณโรค แต่คุณหมอลงความเห็นว่า น่าจะเป็นวัณโรคปอดมากกว่ามะเร็งปอด... คือคุณหมอทั้ง 2 ท่าน ที่รพ.นี้ ก็ลงความเห็นตรงกันว่า น่าจะเป็นวัณโรคปอด ตอนนั้นดิฉันเริ่มรู้สึกใจไม่ดี แต่คุณหมอก็บอกว่า ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเป็นวัณโรคปอดก็แค่กินยา 6 เดือนหรือมากกว่านั้นจนกว่าจะหายดี ก็โอเคแล้วแค่ระมัดระวังเรื่องการติดต่อในช่วงระยะแรกๆ (คือถ้ากินยา 2 สัปดาห์ ไปแล้วก็จะไม่แพร่เชื้อแล้ว) และดูแลร่างกายคุณพ่อ ด้วยการออกกำลังกายตามสมควร กินอาหารที่ดีมีประโยชน์ ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร
แต่....ถ้ากินยาไปแล้วไม่ดีขึ้น ก็ต้องมาวิเคราะห์กันต่อว่าเป็นมะเร็งปอดมั้ย ตอนนั้นดิฉันก็เชื่อตามที่คุณหมอทั้ง 2 ท่านวินิจฉัยว่าคุณพ่อเป็นแค่วัณโรคปอด (เสียดายที่ทำไมตอนนั้น เราถึงไม่ไปหาหมอที่ รพ.อื่นหรือรพ.เอกชน เพื่อขอความเห็นเพิ่มให้ชัดเจนกว่านี้) หลังจากนั้นในช่วงตั้งแต่ต้นเดือน มี.ค. จนถึง เม.ย. พ่อก็กินยาวัณโรคมาตลอด อาการเหนื่อยหอบ เพลีย เริ่มดีขึ้นๆ จนปกติแล้ว หมอก็นัดตรวจ 2 สัปดาห์-เดือนนึง จนมาถึงช่วงปลายเดือน พ.ค.
หมอก็นัตรวจและสั่ง X-ray ปอดอีกครั้งเพื่อดูความเปลี่ยนแปลง ว่าฝ้าขาวๆนั่น จางลงมากแค่ไหนแล้ว
ปรากฏว่าผ่านมาประมาณ 2 เดือนกว่าๆ ฝ้าขาวๆนั่นจางลงเพียงนิดเดียว ที่จริงต้องจางลงอย่างเห็นได้ชัดเจน ตามที่หมอบอก ครั้งนั้นหมอจึงได้สั่งให้ทำ
CT SCAN CHEST เพื่อดูว่ามีก้อนเนื้อ (มะเร็ง)ในปอดมั๊ย ซึ่งพอผล CT ออกมา ก็มีก้อนเนื้อขนาด 7 ซม. ที่ปอดซ้าย กลีบบน (ปอดขวามี 3 กลีบ ปอดซ้ายมี 2 กลีบ กลีบบนและกลีบล่าง) วันที่ 2 มิ.ย. คุณหมอจึงทำใบส่งตัวไปยัง รพ.เฉพาะทางให้ เพื่อไปทำการส่องกล้อง ตรวจหาชิ้นเนื้อหรือเซลล์มะเร็งต่อไป
วันที่ 3 มิ.ย. ดิฉันก็รีบพาพ่อมายัง รพ.เฉพาะทางทันที เพราะต้องรีบแล้ว ถ้าหากพ่อเป็นมะเร็งปอดจริง ทุกอย่างต้องรีบ รอช้าไม่ได้ ยิ่งตรวจพบเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสเริ่มการรักษาได้เร็วเท่านั้น 14 มิ.ย. คุณหมอนัดส่องกล้องเพื่อตัดชิ้นเนื้อไปตรวจหาเซลล์มะเร็ง รอผล 1 สัปดาห์ ผลออกมาไม่เจอเซลล์มะเร็ง คุณหมอจึงนัดตรวจซ้ำครั้งที่ 2 เนื่องจากคุณหมอมั่นใจว่า ต้องใช่มะเร็งปอดแน่ๆ
วันที่ 28 มิ.ย. คุณหมอนัดไปส่องกล้องครั้งที่ 2 เพื่อตัดชิ้นเนื้อไปตรวจเหมือนครั้งแรก แต่คราวนี้ คุณหมอจะส่องเข้าไปลึกกว่าครั้งแรก เพื่อเก็บชิ้นเนื้อให้มากขึ้น ผ่านไปอีก 1 สัปดาห์ ผลก็ออกมาเหมือนครั้งแรก คือไม่เจอเซลล์มะเร็ง... (ในช่วงเดือน มิ.ย.นี้ พ่อเริ่มกลับมาเหนื่อยแล้ว แต่ไม่มากนัก ยังคงใช้ชีวิตได้ค่อนข้างปกติ กินได้เยอะ นอนหลับ ไม่ได้หอบ ไม่เพลียเท่าไหร่ ขับรถได้ใกล้ๆ รดน้ำต้นไม้ เก็บกวาดใบไม้ อาบน้ำเอง ได้ปกติ)
คราวนี้คุณหมอเลยจะนัดเจาะปอดจากทางหน้าอก เพื่อเอาชิ้นเนื้อมาตรวจ ซึ่งอาจจะได้ผลมากกว่าการส่องกล้องทั้ง 2 ครั้ง ที่ผ่านมา แต่ก็อาจมีความเสี่ยงเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะคุณพ่อก็อายุมากแล้ว แต่มันจำเป็นจริงๆ และคุณพ่อก็ยอมที่จะทำ แต่นัดเจาะปอดคราวนี้ นานมาก 24 ส.ค.เลย พยายามขอเลื่อนให้เร็วขึ้น แต่ก็ไม่มีคิวแทรกได้เลย ดิฉันเลยตัดสินใจพาพ่อไปสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เพื่อจะให้คุณหมอได้เจาะปอดเลย โดยเอาใบนัดเจาะปอดจากที่นี่ และผล CT SCAN ไปด้วย โดยจ่ายเงินเองทุกอย่าง เพื่ออยากให้รู้ผลเร็วขึ้น แค่เดือนเดียวก็มีผลมากมายแล้ว
คุณหมอนัดเจาะปอด วันที่ 21 ก.ค. ก็ถือว่าค่อนข้างเร็ว และต้องรอผลประมาณ 10 วัน ในช่วงนี้อาการของพ่อก็ยังเหนื่อยอยู่ หากต้องเดินไกลๆ หรือเดินนานๆ ปลายเดือน ก.ค.พ่อเริ่มมีอาการเหนื่อย หอบ มากขึ้น หายใจลำบาก ไอตลอด มีไข้ต่ำๆ นอนราบไม่ได้ (ที่จริงนอนราบไม่ได้มาสักพักนึงแล้ว)
ดิฉันเลยพาคุณพ่อไปหาหมอที่ รพ.เฉพาะทางที่ถูกส่งตัวมาตรวจหาชิ้นเนื้อนั้น วันแรกมาตอนเย็นโดยไปแบบฉุกเฉิน (คุณพ่อดิฉันถ้าไม่เป็นอะไรมาก ก็จะไม่ยอมไปหาหมอ แต่นี่ยอมไปดีๆ แสดงว่า เค้าไม่ไหวจริงๆ) แพทย์เวรก็ตรวจร่างกาย วัดความดัน ตรวจออกซิเจนในเลือด ผลก็ปกติทุกอย่าง และบอกว่าที่พ่อเหนื่อยมาก มันเป็นผลจากก้อนเนื้อขนาด 7 ซ.ม.ที่ปอดซ้ายพ่อนั่นแหละ ทำอะไรไม่ได้มาก ต้องรอไปรักษามะเร็งต่อไป