วิกฤตก่อน สามสิบ

ผมอายุ 29 ปี ตอนนี้ทำงานเป็นลูกจ้างประจำและทำงานพิเศษไปด้วยได้เงินเดือนประมาณ 2-3 แสนแล้วแต่ยอดและความขยันในการทำงาน ก่อนหน้านี้ผมวางเป้าหมายคร่าวๆว่าจะเรียนต่อ ปริญญาโท ตอนนี้เรียนจบแล้ว เคยคิดว่าจะต่อปริญญาเอก แต่ก็ยังไม่ได้มีเป้าที่ชัดเจนว่าจะเรียนอะไรดีเลยพักไว้ก่อน เลยตั้งเป้าหมายทางสายอาชีพที่ทำอยู่ไว้แทน ซึ่งก็มองไว้ว่าเป็นการเป็นเจ้าของกิจการ ตอนนี้ผมกำลังจะเปิดกิจการของตัวเองแล้ว ทุกช่วงของชีวิตที่มันมีการขยับเป้าหมายไปข้างหน้าผมจะเกิดความสับสนและไม่รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ซึ่งก่อนหน้านี้ผมไม่เข้าใจว่ามันเกิดกับทุกคน เพราะเรามักจะมีเป้าหมายในชีวิตเสมอ

ผมขอกลับไปอธิบายเรื่องการวางแผนการลงทุนกับการใช้ชีวิตสักหน่อย ผมลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โดยประมาณ 50% ของรายได้ เพื่อหวังให้เป็น Passive income ในอนาคต มีการพักผ่อนไปเที่ยวเมืองนอกบ้างปีนึงก็หลายครั้งเหมือนกัน เฉลี่ยสามปีที่ผ่านมา ผมจะมีทริปใหญ่ๆแบบ สองอาทิตย์ ปีละครั้ง และทริปเมืองนอกไม่นานอีกปีละ 3 ครั้ง ฟังดูดีใช่ไหมครับ

ผมมาเริ่มด้านที่ไม่ดีกันบ้าง ผมทำงาน 7 วันต่อสัปดาห์ โดยเฉลี่ยหยุดเดือนละ 2-4 วัน เท่านั้น ผมเป็นหนี้จากการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์รวมๆกันอยู่ที่เกือบๆ 10 ล้าน ถึงแม้ว่าจะเป็นหนี้สินที่ก่อให้เกิดรายได้แต่ทุกวันนี้ผมนอนไม่หลับบ่อยมาก

ปัญหาหลังๆมานี้ของผม คือผมรู้สึกว่าผมแก้ปัญหาง่ายๆไม่ได้ อย่างเช่นการเจรจากับคนอื่น การควบคุมอารมณ์ง่ายๆ และมันเริ่มลุกลามไปถึงการมีความสุข

ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาผมรู้สึกว่าผมควบคุมอารมณ์ได้น้อยลง ผมอารมณ์ขึ้นกับเหตุการณ์ต่างๆได้ง่ายมาก และอารมณ์ค้างกับความรู้สึกเหล่านั้นอยู่นานจนรบกวนการทำงานและการใช้ชีวิต การนอน ผมรู้สึกว่าชีวิตเลื่อนลอยไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน บางครั้งรู้สึกสับสนว่ากำลังทำอะไรอยู่ ทำเพื่ออะไร ทั้งที่จริงๆก็มีคำตอบอยู่แล้ว

ผมรู้สึกว่าผมคิดมากขึ้น การกล้าแสดงออกน้อยลง เมื่อก่อนเรารู้สึกว่าเราเป็นคนสู้คน ต้องสู้เพื่อความถูกต้อง แต่หลังๆมานี้ เราเลือกที่จะหนีปัญหา หลบเลี่ยงการเผชิญหน้า และแก้ปัญหาด้วยหนทางอื่น

ผมรู้สึกเลยว่าการโตขึ้นทำให้เราเป็นคนวิตกกังวล กลัวไปทุกสิ่ง ตอนเด็กๆเรากลัวแค่ว่าทำผิดกฏโรงเรียนโดนทำโทษ พอโตขึ้นเรากลัวทำผิดกฏหมาย แล้วต้องมากลัวอีกว่าจะผิดศีลไหม แล้วมันจะดูมีศีลธรรมหรือเปล่า พอจะตัดสินใจแต่ละอย่างคิดแทบจะทุกๆความเป็นไปได้ของปัญหาแล้วค่อยตัดสินใจเลือก ผมรู้สึกว่าเหตุการณ์ต่างๆแบบนี้ กระตุ้นให้ผมควบคุมตัวเองไม่ได้มากขึ้น

วันนี้ผมรู้จักมันบ้างแล้ว มันเป็นความวิตกกังวลที่มากเกินไป แต่ผมก็ยังไม่สามารถจัดการกับมันได้ซะทีเดียว ล่าสุดผมต้องเผชิญหน้ากับปัญหาและความกดดัน ผมคิดถึงแต่ผลที่จะเกิดขึ้นซึ่งมักเป็นแต่ผลในด้านที่ไม่ดีพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทางร่างกาย จนล่าสุดผมสั่นจนควบคุมตัวเองไม่ได้อยู่หลายนาที

ผมรู้สึกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับผม หนักหนาและรุนแรงกว่าสมัยที่เราไม่มีเงิน ไม่มีความรู้ เสียอีก เมื่อก่อนชีวิตผมลำบากกว่านี้มาก ผมเคยคิดจนถึงขั้นว่าน่าจะเกิดมาไม่เก่งไม่มีความสามารถ มีความสุขตามอัตภาพ ไม่ทะเยอทยาน อาจจะมีความสุขกว่านี้

นี่แหละวิกฤต ตอนอายุ 29 ของผม

ถึงตอนนี้ ผมอยากบอกถึงสิ่งที่ผมเรียนรู้และทางแก้ปัญหาสำหรับ วิกฤตก่อยสามสิบของผม เพื่อจะเป็นแนวทางให้กับคนที่กำลังประสบปัญหาแบบผม

สำหรับเรื่อง เคว้ง มีคนบอกผมว่า ความเคว้งและความสับสนเนี้ยแหละเป็นสิ่งที่ดี เพราะมันเป็นเป็นตัวช่วยยืนยัน ว่าเรากำลังถามตัวเองอยู่ว่าเรากำลังจะไปทางไหน เรามั่นคงในการเดินทางมากแค่ไหน ถ้าเราไม่มั่นคงเราก็จะเปลี่ยนทางทัน แต่ถ้าเราไม่เคว้งหรือไม่สับสนเลย เราก็จะมุ่งไปอย่างเดียวโดยไม่ได้ทบทวนว่ามาถูกทางไหม หรือถ้าเราทำไปทุกๆวันโดยไม่สับสนบางเลย แปลว่าชีวิตมันจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย ตอนที่เคว้งหรือสับสนมันอาจจะลำบาก อึดอัดใจ นอนไม่หลับ แต่เชื่อเถอะว่า มันเป็นสัญญาณว่าชีวิตเรากำลังก้าวไปข้างหน้า พัฒนาไปอีกขั้น

เรื่องความวิตกกังวล สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมมีคนอธิบายว่าในคือโรควิตกกังวล แต่ผมไม่ต้องตกใจเพราะโรคนี้เกิดในคนอายุ ประมาณนี้แหละ เกิดจากความคิดที่มีมากเกินไป กังวลเกินไป กลัวไปเสียทุกอย่าง ซึงจริงๆมันคือหนึ่งในสัญญาณบอกว่าคุณโตเป็นผู้ใหญ่จริงๆแล้ว คุณคิดมากกว่าพูด คุณคำนึงถึงผลของการกระทำก่อนที่จะทำอะไรลงไป แค่ในกรณีของผมมันอาจจะมากเกินไป แต่อย่างไรก็ตามผมแค่ฝึก ฝึกควบคุมอาการที่ผิดปกติให้ได้ก่อนถ้าเจอสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ ถ้าควบคุมอาการที่ผิดปกติไม่ได้ในช่วงแรก อาจจะหนีออกมาจากสถานการณ์นั้นก่อน เพื่อควบคุมอาการที่ผิดปกตินั้นๆ แล้วค่อยกลับไปแก้ปัญหา ยอมรับว่าเราไม่สามารถแก้ปัญหานั้นๆได้ขณะนั้น แล้วค่อยๆฝึก คิดหาผลของการกระทำ ความเป็นไปได้ของผลที่จะเกิดขึ้นแล้วค่อยลงมือทำ พอทำบ่อยๆ ผมก็จะสามารถตัดสินใจได้เร็วขึ้นเอง แล้วความวิตกกังวลก็จะลดลง

เรื่องการควบคุมอารมณ์ ผมได้คำตอบคร่าวๆมาว่า มันเกิดจากความกดดันที่เราไม่รู้ตัว ผมไม่รู้สึกว่าผมทำงานหนักไป ไม่รู้สึกเครียดกับงาน แต่จริงๆแล้วมันเกิดขึ้นและแสดงออกมาเป็น การที่อารมณ์ขึ้นได้ง่ายมากๆ สำหรับในกรณีนี้ทางออกที่ผมคิดง่ายๆคือลดงาน แต่ผมก็ยังมีความโลภและภาระหนี้สินที่ไม่สามารถปล่อยวางได้ ตอนนี้ผมได้คำแนะนำใหม่คือการลองทำสมาธิ ฝึกควบคุมสติ แล้วเราจะรู้เท่าทันอารมณ์ได้มากขึ้นและเริ่มควบคุมมันได้มากขึ้นเอง

ตอนนี้ผมคิดว่าผมพอจะรู้ทางออกของปัญหาของผมบ้างแล้ว แต่มันต้องการการฝึกฝน เท่านั้นเอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่