ผมเป็นผู้ชายบ้านนอกธรรมดาๆคนนึงที่ตัดสินใจลงมาหางานทำที่กรุงเทพฯโดยให้สัญญากับพ่อแม่ที่บ้านไว้ว่าจะทำงานเก็บเงินซื้อบ้านหลังใหญ่ ๆ ที่กรุงเทพฯให้พ่อกับแม่อยู่กันแบบสบายให้ได้ เพราะบ้านที่สุรินทร์ของผมเป็นแค่บ้านไม้ยกสูงธรรมดาๆไม่ใหญ่มากนักเพราะอยู่กัน 3 คน พ่อแม่ลูก แม่บอกว่าบ้านเล็กๆก็ทำความสะอาดง่ายดี ไม่ต้องซื้อบ้านใหญ่โตให้พ่อกับแม่หรอก ผมรู้ว่าแม่ไม่อยากให้ผมกดดันตัวเองมากเกินไป แต่ด้วยความที่ผมเห็นพ่อกับแม่ทำงานหนัก ๆ จนเหนื่อยมาตั้งแต่ผมจำความได้ พอผมสามารถทำงานได้แล้วผมเลยอยากให้พ่อแม่สบายขึ้นให้ได้ ลำพังถ้าหางานทำที่สุรินทร์คงอีกนานแน่ๆกว่าจะตั้งตัวได้เพราะบริษัทและตำแหน่งงานมีให้เลือกน้อย จึงต้องจากพ่อแม่ไปทำงานที่กรุงเทพฯ
พอมาถึงกรุงเทพฯก็เลยสมัครงานทุกอย่างที่วุฒิของผมพอจะทำได้ จนได้งานประจำที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งแถวพรานนก แรกๆก็ทำงานประจำอย่างเดียว ผมเก็บเงินด้วยการฝากธนาคารแยกไว้นิ่งๆเลยครับ ตอนแรกผมได้เงินเดือน 18,000 บาท หักประกันสังคมก็ตีซะเหลือ 17,000 บาท เดือนนึงผมเก็บเงินใส่อีกธนาคารนึงไว้ 5,000 บาท เหลือ 12,000 บาท หักค่าห้องรวมน้ำ-ไฟ ไม่เกิน 4,000 บาท ส่งให้พ่อแม่ที่สุรินทร์ 5,000 บาท เหลือไว้ใช้ส่วนตัว 3,000 บาท โชคดีที่ผมได้ห้องเช่าใกล้ที่ทำงานในระยะที่เดินไป-กลับได้เลยไม่ต้องเสียค่ารถครับ ผมใช้เงินทุกบาททุกสตางค์อย่างประหยัดที่สุด กินข้าววันละ 2 มื้อเน้นถูกและอิ่มเข้าไว้ เสื้อผ้าก็ซื้อแค่ไม่กี่ตัวใช้วนไปวนมา นาน ๆ จะซื้อใหม่ซักตัวแต่ก็แบบถูกที่สุดไม่เน้นสวยงามเอาแค่ใส่ไปทำงานได้ไม่น่าเกลียดเพราะงานผมไม่ต้องไปพบเจอลูกค้าหรือผู้คนเท่าไหร่ โทรศัพท์ก็ใช้แบบปุ่มกดธรรมดา ๆ
ผมอดทนใช้ชีวิตแบบนี้ไปได้ประมาณปีกว่า ๆ ก็มีเงินเก็บเกือบ 90,000 บาท เริ่มมีกำลังใจ และอยากเก็บเงินให้ได้เร็วกว่าเดิม เลยเริ่มหารายได้พิเศษ ผมทำงานหนักขึ้น เก็บเงินได้มากขึ้น แต่เริ่มสนใจตัวเองและสังคมรอบข้างน้อยลง เอาเวลาที่ควรพักผ่อนมาเร่งหาเงิน ไม่ออกไปเที่ยวไหน นานๆจะกลับบ้านไปหาพ่อแม่ซักที แต่ยังส่งเงินให้ตามปกติและโทรหาอย่างเดียว จนผ่านไปประมาณ 4 ปีกว่า ก็มีเงินเก็บเกือบ 500,000 บาท เลยตัดสินใจเอาไปดาวน์บ้านมือสองย่านจรัญสนิทวงศ์หลังนึง เป็นบ้านหลุดจำนองธนาคารครับ ไม่เน้นหรูหราใหญ่โตมากแค่พอให้พ่อแม่ได้อยู่สบายๆกว่าบ้านที่สุรินทร์ก็พอใจแล้ว พอได้บ้านมาแล้วก็ปรับปรุงตกแต่งอีกนิดหน่อยแล้วก็ไปรับพ่อกับแม่มาอยู่ด้วยกันทันทีครับ ส่วนบ้านที่สุรินทร์ก็ยังเก็บไว้โดยให้ญาติมาอยู่และช่วยดูแลบ้านให้เพราะแม่เค้าไม่อยากขายทิ้ง
จากที่เคยคิดว่ามีบ้านแล้วน่าจะสบายขึ้นกลายเป็นว่ามีภาระเพิ่มขึ้นเพราะต้องผ่อนบ้านต่อครับ แต่ยังดีที่ไม่มีภาระลูกเมีย มีแต่พ่อแม่ที่ต้องเลี้ยงดู พอมีภาระมากขึ้นก็เลยมีแรงฮึดที่จะต้องทำงานหนักมากขึ้น ประหยัดมากขึ้น เพื่อจะได้ดูแลพ่อแม่ได้เท่าเดิม โดยที่ภาระผ่อนบ้านและค่าน้ำค่าไฟไม่ต้องมาเบียดเบียนค่ากินอยู่ของพ่อแม่ แถมยังเหลือเป้าหมายอีกอย่างที่ฝันไว้คือ “ซื้อรถ” ครับ
อาจจะด้วยความที่ผมไม่เคยมีไม่เคยได้อะไรเหมือนคนอื่นมาตั้งแต่เด็ก ที่คอยผลักดันให้ผมต้องขยัน ทุ่มเท และหักโหมทำงานหนักมากขึ้นเพื่อจะได้สิ่งที่ต้องการ ผมตัดสินใจเปลี่ยนงานเพราะช่วงนั้นมีเพื่อนที่รู้จักกันชักชวนเข้าไปทำงานที่บริษัทในตำแหน่งที่สูงขึ้นและที่สำคัญคือเงินเดือนเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว ผมเลยไม่รอช้าครับ เปลี่ยนงานทันที ถึงเงินเดือนจะเยอะขึ้นแต่การใช้ชีวิตของผมยังอยู่ในลูปเดิม มีเปลี่ยนแปลงอย่างเดียวคือ เปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ ครับ นอกนั้นยังประหยัดเหมือนเดิม หลังจากที่เปลี่ยนงานก็มีเงินเก็บเพิ่มมากขึ้น หลังจากนั้น 1 ปีเศษๆผมก็เก็บเงินก้อนใหม่ได้อีกประมาณ 200,000 บาท ไม่รวมเงินเก่า ก็เลยไปดาวน์มิตซูบิชิมือสองมาคันนึงจนได้ครับ คราวนี้ความฝันของผมก็สำเร็จทุกอย่างที่ตั้งใจไว้แล้ว
นี่ไงครับความฝันของผมวันนี้มันกลายเป็นจริงแล้วด้วยน้ำพักน้ำแรงของผมเอง เป็นความภูมิใจของเด็กบ้านนอกอย่างผม ที่สามารถซื้อบ้านซื้อรถในกรุงเทพให้พ่อกับแม่อยู่ได้ เหมือนมันคือชีวิตใหม่ของผมเลย
แต่แล้วก็เหมือนเดิม คือ ต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อจะได้มีเงินหมุนเวียนมาเป็นค่างวดบ้านและรถที่ไปดาวน์มา ความฝันสำเร็จแล้วแต่มันกลับกลายเป็นภาระก้อนใหม่ ให้ผมต้องทำงานหนักขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว พ่อแม่ก็เห็นว่าทำงานหนักมาก นอนวันนึงไม่เคยเกิน 5 ชั่วโมง เค้าก็เคยเตือนหลายครั้งให้ดูแลตัวเองด้วยเพราะสุขภาพก็สำคัญ เค้าไม่ต้องการเงินมากมาย แค่อยากให้ผมอยู่กับเค้าไปนานๆ แต่ผมไม่ได้ใส่ใจมากเพราะคิดว่าทำเพื่อพ่อแม่ทั้งนั้น เพื่อนร่วมงานก็ชอบบ่น ว่าชวนไปผ่อนคลายไปเที่ยวไปไหนมาไหนไม่เคยไปด้วยเลย ทำงานขนาดนี้ระวังเป็นบ้านะ ผมก็ได้แต่ขำ จนช่วงหลังร่างกายผมเริ่มไม่สู้เหมือนใจ เกือบทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาแล้วลุกแทบไม่ไหว นอนแล้วก็เหมือนไม่ได้นอน เหมือนร่างกายมันเพลียตลอดเวลา เริ่มไม่กระฉับกระเฉงเหมือนเดิม ยิ่งถ้าช่วงไหนงานหนักๆเครียดๆ ผมจะตื้อตันไปหมดเหมือนสมองมันไม่พร้อมจะคิดไม่พร้อมจะทำงานเอาซะเลย จากที่คิดว่าความขยัน ความอดทน นอนน้อยๆ จะได้ไม่เสียเวลาทำงาน ตอนนี้กลายเป็นว่าสิ่งเหล่านี้กลายเป็นอุปสรรคในการทำงานของผมไปซะแล้ว คือ ผมเริ่มมีสมาธิลดลง คิดงานคิดอะไรไม่ค่อยออก ทำให้ทำงานได้ช้าลงกว่าเดิมเยอะมาก คุณภาพงานก็ลดลง จนเริ่มส่งผลกระทบกับงาน ทำให้ผมยิ่งหักโหมมากขึ้นไปอีก จนพักหลังเริ่มรู้สึกว่าช่วงขาแถวๆน่องเริ่มบวมๆ มือเท้าเริ่มชาบ่อยๆจนเริ่มรำคาญตัวเอง และหนำซ้ำยังอารมณ์หงุดหงิดชอบไปพาลกับคนรอบข้างอีก มันกระทบกันไปหมด
จนวันนึงรู้สึกเหนื่อยถึงขั้นหอบจนต้องเข้าโรงพยาบาลยังดีที่มีประกันสังคมเลยไม่ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลเอง หมอบอกว่าไอ้อาการที่ผมเป็นเนี่ยเค้าเรียกว่า โรคขาดวิตามินบี จากที่หมอถามผมถึงการใช้ชีวิตและอาหารการกินของผม ที่ว่านอนน้อย ทำงานหนัก แถมยังไม่ค่อยได้กินอาหารที่มีประโยชน์เท่าไหร่ ผมเพิ่งรู้ว่าไอ้การที่เราขาดวิตามินบีแค่ตัวเดียวก็ทำให้ร่างกายย่ำแย่ได้ขนาดนี้ หมอยังบอกว่าที่ผมเป็นเนี่ยมันยังเป็นแค่อาการเริ่มต้น ถ้าผมยังไม่ดูแลตัวเองแบบนี้ไปเรื่อยๆก็อาจจะร้ายแรงถึงขั้นที่ไม่มีโอกาสกลับไปทำงานต่อได้เลย และก็เคยเป็นข่าวกันมาเยอะแล้วที่ว่าทำงานหนักจนเสียชีวิตเพราะร่างกายขาดวิตามินบีขั้นรุนแรง คราวนี้ผมก็เริ่มกลัวล่ะสิ หมอบอกว่าร่างกายเราใช้วิตามินบี ในการย่อยแป้งให้เป็นพลังงาน หมายถึงว่า ถ้าเรากินพวกข้าวขาว แป้ง ขนมปัง เข้าไปเยอะเท่าไหร่เราก็จะยิ่งเสียวิตามินบี ในการย่อยมากขึ้นเท่านั้น และถ้าเราไม่กินวิตามินบี เพิ่มเข้าไปให้ร่างกายเลย ก็จะทำให้เรากลายเป็นโรคขาดวิตามินบี ได้ พอฟังแบบนี้แล้วอึ้งมาก ไม่คิดว่าแค่วิตามินบีตัวเดียวจะสำคัญขนาดนี้
คราวนี้เลยเริ่มคิดถึงที่แม่เตือนบ่อยๆ ว่าการที่เราทำงานหนักขนาดนี้เพื่ออยากหาเงินให้ได้เยอะ ๆ มันก็เป็นเรื่องดี แต่การที่ทำงานหนักจนลืมคิดถึงร่างกายตัวเอง ทำจนเกินกำลังมันก็ไม่ถูกต้อง เพราะถ้าเราต้องทำงานหนักทั้งชีวิตเพื่อมาจ่ายค่ารักษาตัวเองตอนป่วยมันก็ไม่คุ้ม เพราะเราอาจจะต้องเอาเงินที่หามาได้ทั้งหมดมาจ่ายเป็นค่ารักษาสุขภาพที่เสียไปและอาจจะกลับมาหาเงินไม่ได้อีกเลย กว่าผมจะรู้ซึ้งก็วันที่เกือบจะไม่ได้กลับไปหาแม่แล้วนี่แหละ ผมเลยเริ่มกลัวว่าจากที่เคยทำงานหนักให้พ่อแม่ได้มีกินมีใช้สบายๆอาจจะกลายเป็นภาระของพ่อแม่ไปซะเองก็ได้
หลังจากออกจากโรงพยาบาลจึงเริ่มหันมาใช้ชีวิตแบบทางสายกลาง คือผมยังทำงานหนักเหมือนเดิมแต่ก็ดูแลสุขภาพอย่างหนักด้วยเช่นกัน ผมหาเวลาว่างไปออกกำลังกายให้มากที่สุด มีเวลานอนก็นอนพักผ่อนให้เพียงพอ อาหารและยาอะไรที่มีประโยชน์ก็เริ่มหามากินมากขึ้น แต่ช่วงแรกผมกินแค่วิตามินบีรวม
( VIT B Complex ) ที่หมอสั่งมาให้ มันก็โอเคอยู่นะ
แต่พอหมดสักพักก็เริ่มรู้สึกเพลียนิดๆ ส่วนความเครียดก็ยังมีอยู่บ้าง เพราะผมเลิกคิดเลิกทำงานหนักไม่ได้สงสัยจะเป็นพวก workaholic ไปแล้วมั้ง
เคยลองหายาคลายกล้ามเนื้อมากินเห็นเพื่อนบอกว่าช่วยคลายความเครียดได้ แต่ผมกินแล้วง่วงซึมมาก ทำอะไรไม่ไหว ผมไม่โอเคก็เลยเลิกกินไป
ผมเริ่มสนใจเรื่องอาหารการกินมากขึ้น เปลี่ยนจากข้าวขาวเป็นข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอร์รี่แทน กินผักกินพวกธัญพืชมากขึ้น บางวันมีโอกาสก็กินปลาทูน่า ปลาแซลมอลบ้างแต่ผมยังติดโรคประหยัดอยู่เลยไม่ได้กินบ่อยๆ ที่กินประจำก็เป็นพวก ตับ ไข่ เนื้อหมู ถั่วนี่กินทุกวันเลยครับ อัลมอนด์บ้าง เมล็ดทานตะวันบ้างแล้วแต่ว่าเซเว่นไหนมีอะไรให้กิน ก็จะกินสลับกันไปแต่จะเน้นประมาณนี้แหละครับ ผมไม่มีรูปถ่ายเมนูของวันอื่นเก็บไว้นะ ปกติไม่ค่อยได้ถ่ายรูปอัพเดทชีวิตให้ใครดูเท่าไหร่ เอามาให้ดูแค่เมนูของวันนี้แล้วกันครับ ปกติก็จะไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก
ตอนแรกคิดว่ากินแค่นี้ก็น่าจะพอแล้วมั้ง
แต่ด้วยความที่เคยเกือบตายเพราะขาดวิตามินบีมาแล้วเลยหลอนครับ
ไปนั่งหาดูว่าวันๆนึงควรได้วิตามินบีเท่าไหร่ เลยไปเจอโพสนี้
http://goo.gl/rDTSmK
เลยคิดว่าไอ้ที่เรากินทุกวันนี้ไม่น่าจะพอรึป่าวถ้าเทียบกับการที่เราใช้ร่างกายและสมองทำงานหนักขนาดนี้ เลยเริ่มมองหาวิตามินบีมาเสริมให้ร่างกายอีกทางนึง วันต่อมาก็ไปร้านขายยาเลย ไปถามเภสัชกรเพราะเราก็ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่ ไปถึงก็บอกเค้าเลยว่า อยากซื้อวิตามินบีครับ เอายี่ห้อที่ให้วิตามินบีหลายๆตัวสูงๆแล้วก็ราคาไม่แพง เลยได้ NAT B มากระปุกนึงเค้าบอกว่าอันนี้แหละวิตามินบีเยอะที่สุดแล้ว ได้เยอะกว่าตัวที่แพงๆอีก เค้าเอามาให้ผมอ่านส่วนผสมเทียบกันดูก็เออ เยอะกว่าจริงๆ
หลังจากเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างหนักทั้งอาหารหลักและอาหารเสริมที่เข้ามาช่วยได้เยอะ ร่างกายผมก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายดูสดชื่นขึ้น พอสุขภาพดีหน้าตามันก็ดูสดใสขึ้น ถึงจะทำงานหนักเท่าเดิม ใช้สมองเยอะเหมือนเดิม แต่ร่างกายก็ไม่งอแงสมองทำงานเป็นปกติ ไม่มีฟีลแบบตื่นเช้าแล้วนอนจมที่นอนลุกไม่ขึ้นเหมือนก่อนหน้านี้ รู้สึกว่ากินนอนได้ปกติขึ้นหรืออาจจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำเพราะก่อนหน้าที่จะป่วยจนเข้าโรงพยาบาลนั้นผมรู้สึกเบื่ออาหารลงนิดๆ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีแล้ว ออกจะเจริญอาหารซะอีก แต่ดีที่น้ำหนักไม่ขึ้นตาม ไม่งั้นต้องมาเครียดกับโรคอ้วนที่ตามมาแน่ๆ
ที่เคยพูดกันว่าไม่มีใครขยันทำงานจนเหนื่อยตายนั้น ผมเถียงขาดใจเลย เพราะผมเกือบตายมาแล้ว และผมรู้สึกว่าทุกอย่างมันเชื่อมโยงส่งผลถึงกันแบบ Butterfly Effect คือถ้าเราดูแลร่างกายให้แข็งแรงก็จะทำงานได้ดีกว่า มีแรงมีพลังที่จะสู้จะอยู่กับงานได้มากกว่า ทั้งงานประจำและงานพิเศษ ผมรู้สึกว่าการที่เราจัดสรรเวลาชีวิตดีขึ้น มันทำให้อะไรๆดีขึ้นตามไปหมด แล้วก็จะทำให้ได้อยู่หาเงินผ่อนบ้านผ่อนรถและดูแลพ่อแม่ไปได้อีกนาน ๆ อย่างที่ฝันที่ตั้งใจไว้ ทุกวันนี้ผมรู้แล้วว่าควรจะใช้ชีวิตยังไงให้พอดีและสมดุลกัน เพื่อที่และสามารถทำตามความฝันได้โดยที่ไม่ต้องทำร้ายชีวิตจริง
แค่รู้จัก
work life balance ทั้งงาน ครอบครัว โดยไม่ละเลยสุขภาพร่างกายและสมอง เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนที่สำคัญมากๆในการเดินตามความฝันของพวกเราทุกคนจริงมั้ยครับ
ขาดวิตามินบีก็มีโอกาสตายได้ .. แชร์ประสบการณ์จริงของผู้ชายที่วิ่งไล่ตามฝัน
พอมาถึงกรุงเทพฯก็เลยสมัครงานทุกอย่างที่วุฒิของผมพอจะทำได้ จนได้งานประจำที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งแถวพรานนก แรกๆก็ทำงานประจำอย่างเดียว ผมเก็บเงินด้วยการฝากธนาคารแยกไว้นิ่งๆเลยครับ ตอนแรกผมได้เงินเดือน 18,000 บาท หักประกันสังคมก็ตีซะเหลือ 17,000 บาท เดือนนึงผมเก็บเงินใส่อีกธนาคารนึงไว้ 5,000 บาท เหลือ 12,000 บาท หักค่าห้องรวมน้ำ-ไฟ ไม่เกิน 4,000 บาท ส่งให้พ่อแม่ที่สุรินทร์ 5,000 บาท เหลือไว้ใช้ส่วนตัว 3,000 บาท โชคดีที่ผมได้ห้องเช่าใกล้ที่ทำงานในระยะที่เดินไป-กลับได้เลยไม่ต้องเสียค่ารถครับ ผมใช้เงินทุกบาททุกสตางค์อย่างประหยัดที่สุด กินข้าววันละ 2 มื้อเน้นถูกและอิ่มเข้าไว้ เสื้อผ้าก็ซื้อแค่ไม่กี่ตัวใช้วนไปวนมา นาน ๆ จะซื้อใหม่ซักตัวแต่ก็แบบถูกที่สุดไม่เน้นสวยงามเอาแค่ใส่ไปทำงานได้ไม่น่าเกลียดเพราะงานผมไม่ต้องไปพบเจอลูกค้าหรือผู้คนเท่าไหร่ โทรศัพท์ก็ใช้แบบปุ่มกดธรรมดา ๆ
ผมอดทนใช้ชีวิตแบบนี้ไปได้ประมาณปีกว่า ๆ ก็มีเงินเก็บเกือบ 90,000 บาท เริ่มมีกำลังใจ และอยากเก็บเงินให้ได้เร็วกว่าเดิม เลยเริ่มหารายได้พิเศษ ผมทำงานหนักขึ้น เก็บเงินได้มากขึ้น แต่เริ่มสนใจตัวเองและสังคมรอบข้างน้อยลง เอาเวลาที่ควรพักผ่อนมาเร่งหาเงิน ไม่ออกไปเที่ยวไหน นานๆจะกลับบ้านไปหาพ่อแม่ซักที แต่ยังส่งเงินให้ตามปกติและโทรหาอย่างเดียว จนผ่านไปประมาณ 4 ปีกว่า ก็มีเงินเก็บเกือบ 500,000 บาท เลยตัดสินใจเอาไปดาวน์บ้านมือสองย่านจรัญสนิทวงศ์หลังนึง เป็นบ้านหลุดจำนองธนาคารครับ ไม่เน้นหรูหราใหญ่โตมากแค่พอให้พ่อแม่ได้อยู่สบายๆกว่าบ้านที่สุรินทร์ก็พอใจแล้ว พอได้บ้านมาแล้วก็ปรับปรุงตกแต่งอีกนิดหน่อยแล้วก็ไปรับพ่อกับแม่มาอยู่ด้วยกันทันทีครับ ส่วนบ้านที่สุรินทร์ก็ยังเก็บไว้โดยให้ญาติมาอยู่และช่วยดูแลบ้านให้เพราะแม่เค้าไม่อยากขายทิ้ง
จากที่เคยคิดว่ามีบ้านแล้วน่าจะสบายขึ้นกลายเป็นว่ามีภาระเพิ่มขึ้นเพราะต้องผ่อนบ้านต่อครับ แต่ยังดีที่ไม่มีภาระลูกเมีย มีแต่พ่อแม่ที่ต้องเลี้ยงดู พอมีภาระมากขึ้นก็เลยมีแรงฮึดที่จะต้องทำงานหนักมากขึ้น ประหยัดมากขึ้น เพื่อจะได้ดูแลพ่อแม่ได้เท่าเดิม โดยที่ภาระผ่อนบ้านและค่าน้ำค่าไฟไม่ต้องมาเบียดเบียนค่ากินอยู่ของพ่อแม่ แถมยังเหลือเป้าหมายอีกอย่างที่ฝันไว้คือ “ซื้อรถ” ครับ
อาจจะด้วยความที่ผมไม่เคยมีไม่เคยได้อะไรเหมือนคนอื่นมาตั้งแต่เด็ก ที่คอยผลักดันให้ผมต้องขยัน ทุ่มเท และหักโหมทำงานหนักมากขึ้นเพื่อจะได้สิ่งที่ต้องการ ผมตัดสินใจเปลี่ยนงานเพราะช่วงนั้นมีเพื่อนที่รู้จักกันชักชวนเข้าไปทำงานที่บริษัทในตำแหน่งที่สูงขึ้นและที่สำคัญคือเงินเดือนเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว ผมเลยไม่รอช้าครับ เปลี่ยนงานทันที ถึงเงินเดือนจะเยอะขึ้นแต่การใช้ชีวิตของผมยังอยู่ในลูปเดิม มีเปลี่ยนแปลงอย่างเดียวคือ เปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ ครับ นอกนั้นยังประหยัดเหมือนเดิม หลังจากที่เปลี่ยนงานก็มีเงินเก็บเพิ่มมากขึ้น หลังจากนั้น 1 ปีเศษๆผมก็เก็บเงินก้อนใหม่ได้อีกประมาณ 200,000 บาท ไม่รวมเงินเก่า ก็เลยไปดาวน์มิตซูบิชิมือสองมาคันนึงจนได้ครับ คราวนี้ความฝันของผมก็สำเร็จทุกอย่างที่ตั้งใจไว้แล้ว
นี่ไงครับความฝันของผมวันนี้มันกลายเป็นจริงแล้วด้วยน้ำพักน้ำแรงของผมเอง เป็นความภูมิใจของเด็กบ้านนอกอย่างผม ที่สามารถซื้อบ้านซื้อรถในกรุงเทพให้พ่อกับแม่อยู่ได้ เหมือนมันคือชีวิตใหม่ของผมเลย
แต่แล้วก็เหมือนเดิม คือ ต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อจะได้มีเงินหมุนเวียนมาเป็นค่างวดบ้านและรถที่ไปดาวน์มา ความฝันสำเร็จแล้วแต่มันกลับกลายเป็นภาระก้อนใหม่ ให้ผมต้องทำงานหนักขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว พ่อแม่ก็เห็นว่าทำงานหนักมาก นอนวันนึงไม่เคยเกิน 5 ชั่วโมง เค้าก็เคยเตือนหลายครั้งให้ดูแลตัวเองด้วยเพราะสุขภาพก็สำคัญ เค้าไม่ต้องการเงินมากมาย แค่อยากให้ผมอยู่กับเค้าไปนานๆ แต่ผมไม่ได้ใส่ใจมากเพราะคิดว่าทำเพื่อพ่อแม่ทั้งนั้น เพื่อนร่วมงานก็ชอบบ่น ว่าชวนไปผ่อนคลายไปเที่ยวไปไหนมาไหนไม่เคยไปด้วยเลย ทำงานขนาดนี้ระวังเป็นบ้านะ ผมก็ได้แต่ขำ จนช่วงหลังร่างกายผมเริ่มไม่สู้เหมือนใจ เกือบทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาแล้วลุกแทบไม่ไหว นอนแล้วก็เหมือนไม่ได้นอน เหมือนร่างกายมันเพลียตลอดเวลา เริ่มไม่กระฉับกระเฉงเหมือนเดิม ยิ่งถ้าช่วงไหนงานหนักๆเครียดๆ ผมจะตื้อตันไปหมดเหมือนสมองมันไม่พร้อมจะคิดไม่พร้อมจะทำงานเอาซะเลย จากที่คิดว่าความขยัน ความอดทน นอนน้อยๆ จะได้ไม่เสียเวลาทำงาน ตอนนี้กลายเป็นว่าสิ่งเหล่านี้กลายเป็นอุปสรรคในการทำงานของผมไปซะแล้ว คือ ผมเริ่มมีสมาธิลดลง คิดงานคิดอะไรไม่ค่อยออก ทำให้ทำงานได้ช้าลงกว่าเดิมเยอะมาก คุณภาพงานก็ลดลง จนเริ่มส่งผลกระทบกับงาน ทำให้ผมยิ่งหักโหมมากขึ้นไปอีก จนพักหลังเริ่มรู้สึกว่าช่วงขาแถวๆน่องเริ่มบวมๆ มือเท้าเริ่มชาบ่อยๆจนเริ่มรำคาญตัวเอง และหนำซ้ำยังอารมณ์หงุดหงิดชอบไปพาลกับคนรอบข้างอีก มันกระทบกันไปหมด
จนวันนึงรู้สึกเหนื่อยถึงขั้นหอบจนต้องเข้าโรงพยาบาลยังดีที่มีประกันสังคมเลยไม่ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลเอง หมอบอกว่าไอ้อาการที่ผมเป็นเนี่ยเค้าเรียกว่า โรคขาดวิตามินบี จากที่หมอถามผมถึงการใช้ชีวิตและอาหารการกินของผม ที่ว่านอนน้อย ทำงานหนัก แถมยังไม่ค่อยได้กินอาหารที่มีประโยชน์เท่าไหร่ ผมเพิ่งรู้ว่าไอ้การที่เราขาดวิตามินบีแค่ตัวเดียวก็ทำให้ร่างกายย่ำแย่ได้ขนาดนี้ หมอยังบอกว่าที่ผมเป็นเนี่ยมันยังเป็นแค่อาการเริ่มต้น ถ้าผมยังไม่ดูแลตัวเองแบบนี้ไปเรื่อยๆก็อาจจะร้ายแรงถึงขั้นที่ไม่มีโอกาสกลับไปทำงานต่อได้เลย และก็เคยเป็นข่าวกันมาเยอะแล้วที่ว่าทำงานหนักจนเสียชีวิตเพราะร่างกายขาดวิตามินบีขั้นรุนแรง คราวนี้ผมก็เริ่มกลัวล่ะสิ หมอบอกว่าร่างกายเราใช้วิตามินบี ในการย่อยแป้งให้เป็นพลังงาน หมายถึงว่า ถ้าเรากินพวกข้าวขาว แป้ง ขนมปัง เข้าไปเยอะเท่าไหร่เราก็จะยิ่งเสียวิตามินบี ในการย่อยมากขึ้นเท่านั้น และถ้าเราไม่กินวิตามินบี เพิ่มเข้าไปให้ร่างกายเลย ก็จะทำให้เรากลายเป็นโรคขาดวิตามินบี ได้ พอฟังแบบนี้แล้วอึ้งมาก ไม่คิดว่าแค่วิตามินบีตัวเดียวจะสำคัญขนาดนี้
คราวนี้เลยเริ่มคิดถึงที่แม่เตือนบ่อยๆ ว่าการที่เราทำงานหนักขนาดนี้เพื่ออยากหาเงินให้ได้เยอะ ๆ มันก็เป็นเรื่องดี แต่การที่ทำงานหนักจนลืมคิดถึงร่างกายตัวเอง ทำจนเกินกำลังมันก็ไม่ถูกต้อง เพราะถ้าเราต้องทำงานหนักทั้งชีวิตเพื่อมาจ่ายค่ารักษาตัวเองตอนป่วยมันก็ไม่คุ้ม เพราะเราอาจจะต้องเอาเงินที่หามาได้ทั้งหมดมาจ่ายเป็นค่ารักษาสุขภาพที่เสียไปและอาจจะกลับมาหาเงินไม่ได้อีกเลย กว่าผมจะรู้ซึ้งก็วันที่เกือบจะไม่ได้กลับไปหาแม่แล้วนี่แหละ ผมเลยเริ่มกลัวว่าจากที่เคยทำงานหนักให้พ่อแม่ได้มีกินมีใช้สบายๆอาจจะกลายเป็นภาระของพ่อแม่ไปซะเองก็ได้
หลังจากออกจากโรงพยาบาลจึงเริ่มหันมาใช้ชีวิตแบบทางสายกลาง คือผมยังทำงานหนักเหมือนเดิมแต่ก็ดูแลสุขภาพอย่างหนักด้วยเช่นกัน ผมหาเวลาว่างไปออกกำลังกายให้มากที่สุด มีเวลานอนก็นอนพักผ่อนให้เพียงพอ อาหารและยาอะไรที่มีประโยชน์ก็เริ่มหามากินมากขึ้น แต่ช่วงแรกผมกินแค่วิตามินบีรวม
( VIT B Complex ) ที่หมอสั่งมาให้ มันก็โอเคอยู่นะ
แต่พอหมดสักพักก็เริ่มรู้สึกเพลียนิดๆ ส่วนความเครียดก็ยังมีอยู่บ้าง เพราะผมเลิกคิดเลิกทำงานหนักไม่ได้สงสัยจะเป็นพวก workaholic ไปแล้วมั้ง
เคยลองหายาคลายกล้ามเนื้อมากินเห็นเพื่อนบอกว่าช่วยคลายความเครียดได้ แต่ผมกินแล้วง่วงซึมมาก ทำอะไรไม่ไหว ผมไม่โอเคก็เลยเลิกกินไป
ผมเริ่มสนใจเรื่องอาหารการกินมากขึ้น เปลี่ยนจากข้าวขาวเป็นข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอร์รี่แทน กินผักกินพวกธัญพืชมากขึ้น บางวันมีโอกาสก็กินปลาทูน่า ปลาแซลมอลบ้างแต่ผมยังติดโรคประหยัดอยู่เลยไม่ได้กินบ่อยๆ ที่กินประจำก็เป็นพวก ตับ ไข่ เนื้อหมู ถั่วนี่กินทุกวันเลยครับ อัลมอนด์บ้าง เมล็ดทานตะวันบ้างแล้วแต่ว่าเซเว่นไหนมีอะไรให้กิน ก็จะกินสลับกันไปแต่จะเน้นประมาณนี้แหละครับ ผมไม่มีรูปถ่ายเมนูของวันอื่นเก็บไว้นะ ปกติไม่ค่อยได้ถ่ายรูปอัพเดทชีวิตให้ใครดูเท่าไหร่ เอามาให้ดูแค่เมนูของวันนี้แล้วกันครับ ปกติก็จะไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก
ตอนแรกคิดว่ากินแค่นี้ก็น่าจะพอแล้วมั้ง
แต่ด้วยความที่เคยเกือบตายเพราะขาดวิตามินบีมาแล้วเลยหลอนครับ
ไปนั่งหาดูว่าวันๆนึงควรได้วิตามินบีเท่าไหร่ เลยไปเจอโพสนี้ http://goo.gl/rDTSmK
เลยคิดว่าไอ้ที่เรากินทุกวันนี้ไม่น่าจะพอรึป่าวถ้าเทียบกับการที่เราใช้ร่างกายและสมองทำงานหนักขนาดนี้ เลยเริ่มมองหาวิตามินบีมาเสริมให้ร่างกายอีกทางนึง วันต่อมาก็ไปร้านขายยาเลย ไปถามเภสัชกรเพราะเราก็ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่ ไปถึงก็บอกเค้าเลยว่า อยากซื้อวิตามินบีครับ เอายี่ห้อที่ให้วิตามินบีหลายๆตัวสูงๆแล้วก็ราคาไม่แพง เลยได้ NAT B มากระปุกนึงเค้าบอกว่าอันนี้แหละวิตามินบีเยอะที่สุดแล้ว ได้เยอะกว่าตัวที่แพงๆอีก เค้าเอามาให้ผมอ่านส่วนผสมเทียบกันดูก็เออ เยอะกว่าจริงๆ
หลังจากเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างหนักทั้งอาหารหลักและอาหารเสริมที่เข้ามาช่วยได้เยอะ ร่างกายผมก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายดูสดชื่นขึ้น พอสุขภาพดีหน้าตามันก็ดูสดใสขึ้น ถึงจะทำงานหนักเท่าเดิม ใช้สมองเยอะเหมือนเดิม แต่ร่างกายก็ไม่งอแงสมองทำงานเป็นปกติ ไม่มีฟีลแบบตื่นเช้าแล้วนอนจมที่นอนลุกไม่ขึ้นเหมือนก่อนหน้านี้ รู้สึกว่ากินนอนได้ปกติขึ้นหรืออาจจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำเพราะก่อนหน้าที่จะป่วยจนเข้าโรงพยาบาลนั้นผมรู้สึกเบื่ออาหารลงนิดๆ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีแล้ว ออกจะเจริญอาหารซะอีก แต่ดีที่น้ำหนักไม่ขึ้นตาม ไม่งั้นต้องมาเครียดกับโรคอ้วนที่ตามมาแน่ๆ
ที่เคยพูดกันว่าไม่มีใครขยันทำงานจนเหนื่อยตายนั้น ผมเถียงขาดใจเลย เพราะผมเกือบตายมาแล้ว และผมรู้สึกว่าทุกอย่างมันเชื่อมโยงส่งผลถึงกันแบบ Butterfly Effect คือถ้าเราดูแลร่างกายให้แข็งแรงก็จะทำงานได้ดีกว่า มีแรงมีพลังที่จะสู้จะอยู่กับงานได้มากกว่า ทั้งงานประจำและงานพิเศษ ผมรู้สึกว่าการที่เราจัดสรรเวลาชีวิตดีขึ้น มันทำให้อะไรๆดีขึ้นตามไปหมด แล้วก็จะทำให้ได้อยู่หาเงินผ่อนบ้านผ่อนรถและดูแลพ่อแม่ไปได้อีกนาน ๆ อย่างที่ฝันที่ตั้งใจไว้ ทุกวันนี้ผมรู้แล้วว่าควรจะใช้ชีวิตยังไงให้พอดีและสมดุลกัน เพื่อที่และสามารถทำตามความฝันได้โดยที่ไม่ต้องทำร้ายชีวิตจริง
แค่รู้จัก work life balance ทั้งงาน ครอบครัว โดยไม่ละเลยสุขภาพร่างกายและสมอง เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนที่สำคัญมากๆในการเดินตามความฝันของพวกเราทุกคนจริงมั้ยครับ