"ลืม" เรื่องสั้นสยองขวัญ

กระทู้ข่าว
"ลืม"


นี่คือเรื่องราวสมัยผมเรียนอยู่ชั้น ม.1 ผมและเพื่อนอีกสองคนที่เคยสนิทกัน  ไอ้จ้อน เด็กวัดใจนักเลง ตัวโตเกินเด็กวัยเดียวกัน ทุกคนในโรงเรียนมักกลัวมัน คงจะมียกเว้นเพียงแค่ผม และไอ้นนท์ คุณหนูบ้านรวยเท่านั้นที่ไม่กลัวมัน เพราะเราเป็นเพื่อนสนิทที่ไม่เคยคิดร้ายต่อกัน  ไม่เคยระแวงกัน จนกระทั่งเกิดเรื่องในคืนวันศุกร์

    เช้าวันหนึ่งเวลาประมาณแปดโมง ผมรีบปั่นจักรยานบึ่งมาที่วัด  เพื่อมาตามไอ้จ้อนไปโรงเรียนพร้อมกัน  มันกำลังจัดข้าวของที่ชาวบ้านมาตักบาตรเมื่อช่วงเช้าตรู่  ส่วนไอ้นนท์  รายนี้พ่อแม่ห่วงหวงถนอมดูแลราวกับไข่ในหิน  ไม่ให้ปั่นจักรยานมากับผมและไอ้จ้อนหรอก มีรถหรูรับส่งทุกเช้าเย็นสบายอยู่แล้ว  มันแทบไม่มีเวลาเที่ยวเล่นด้วยกันหลังเลิกเรียนเลย

ช่วงพักกลางวัน  ไอ้นนท์เอาของเล่นใหม่มาโชว์ผมกับไอ้จ้อนดู  มันคือกล้องถ่ายวีดีโอรุ่นใหม่สุดไฮเทคในยุคนั้น  แล้วไอ้จ้อนตัวดีก็ผุดความคิดพิเรนทร์ขึ้นมา  

“ไหนๆ เราก็มีกล้องแล้ว ข้าว่าเอาไปบันทึกภาพผีกันมั้ย  รับรองเด็ดยิ่งกว่าผีถ้วยแก้วที่เราเคยเล่นซะอีก”

“ผีอะไรวะ” ผมและไอ้นนท์แทบจะพูดเป็นเสียงเดียวกัน

“ข้าเพิ่งไปได้ยินวิธีเล่นผีกินเทียนมาโว้ย น่ากลัวฉิ๊บหาย คืนนี้เรามาลองเล่นกันมั้ย”

“แม่ข้าคงไม่ให้ออกมาหรอก แต่เดี๋ยวจะหาวิธีแอบไปแล้วกัน” ไอ้นนท์พูดพลางทำหน้ากังวล

“พวกเอ็งจำบ่อน้ำท้ายวัด ที่หลวงพี่เล่าให้ฟังว่า เคยมีเด็กตกลงไปตายได้มั้ยวะ ไปรอตรงนั้นนะ สองทุ่ม ที่ท้าพิสูจน์ของพวกเรา” ไอ้จ้อนนัดหมายพร้อมเผยรอยยิ้มแปลกๆ น่าขนลุก

“เดินเข้าไปลึกพอดูนะเนี่ย  จากหน้าวัด น่ากลัวว่ะ” ไอ้นนท์บ่นพึมพำ

“ไอ้นนท์ เอ็งอย่าลืมเอากล้องมาด้วยล่ะ” ผมย้ำเตือนอีกครั้ง หลังเห็นสีหน้าไอ้นนท์ไม่สู้ดี

คืนวันศุกร์อันเงียบสงัด  เมื่อถึงเวลาตามที่นัดหมาย ผมกับไอ้จ้อนก็พร้อมที่จะร่วมแชร์ประสบการณ์ความสยองแล้ว ขาดแค่ไอ้นนท์ที่มาสายเป็นเสมอ  เราสองคนนั่งรอท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ มองไปรอบตัวไม่พบอะไรนอกจากความมืดมิด ไร้เสียงสิ่งมีชีวิตใดๆ จะมีก็มีเพียงเสียงอิดออดของต้นไผ่ที่เสียดสีกัน ที่ช่วยเสริมให้บรรยากาศรายล้อมดูน่าขนพองสยองเกล้ายิ่งขึ้น  

และแล้วแสงจากไฟฉายของไอ้นนท์ก็สาดส่องเข้ามา  เมื่อครบองค์ประชุมแล้ว  ไอ้เด็กวัดหยิบกระจกบานเท่าฝ่ามือมาวางพิงบ่อน้ำ  แล้วเอาเศษแผ่นกระเบื้องมาเป็นฐานตั้งเทียนหน้ากระจก  ไอ้นนท์โยนภาระการบันทึกภาพมาให้ผม  ส่วนมันเลือกที่จะตั้งท่าเตรียมวิ่งตลอดเวลา หากมีอะไรโผล่เด้งออกมา

แล้วนาทีที่น่าตื่นเต้นก็มาถึง ไอ้จ้อนเริ่มทำพิธีกรรม มันพนมมือสวดคาถา สำเนียงไม่คุ้นหู ก่อนจะจุดเทียนหน้ากระจก  ทุกขั้นตอน ผมก็อัดวีดีโอไว้เรียบร้อย ไม่ขาดตกบกพร่อง

“พวกเอ็งถ้าเห็นผีโผล่ในกระจกตอนไหน ให้รีบเอาก้อนหินปากระจกให้แตกนะโว้ย ไม่งั้นซวยแน่ๆ” ไอ้จ้อนสั่งหนักแน่น

“ถ้าปาไม่โดน หรือไม่แตกล่ะ จะเกิดไรขึ้นวะ” ไอ้นนท์ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“ก็ผีมันจะตามเอ็งกลับบ้านสิวะ ถามได้” พูดเสร็จไอ้ตัวโตก็ชี้นิ้วไปที่เทียน “สังเกต ดูดีๆ นะ”

ทันใดนั้นก็เกิดลมพัดอย่างแรง มีฝนปรอยๆ เป็นละอองลงมาให้เสื้อผ้าชื้นเปียก  แต่น่าแปลกที่เปลวไฟบนปลายเทียนไขกลับไม่มีทีท่าว่าจะดับเลย ซ้ำยังละลายหดสั้นลงอย่างรวดเร็วราวกับมันเป็นชนวนระเบิดที่ติดไฟพร้อมทำงาน  และแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เมื่อเทียนสั้นจนเกือบจะหมดลง ก็ปรากฎภาพบนกระจก  เป็นเด็กชายผมสั้น หน้าตาซีดเซียว นัยน์ตามืดดำ ลึกโบ๋ลงไปดุจบ่อน้ำตรงหน้า เราทุกคนได้แต่ยืนช็อกตัวแข็ง  ตาเบิกโพลงด้วยความกลัว

ไอ้นนท์ปาก้อนหินในมือด้วยอาการลนลานไปเฉียดกระจกที่พาดข้างบ่อจนล้มคว่ำหน้าลง ไอ้เด็กวัดก็พอกันกึ่งวิ่งกึ่งขว้างหินไปด้วย  ซึ่งคนละทิศทางกับกระจกบนพื้น ส่วนผมก็วิ่งตามหลังไอ้จ้อนชนิดหายใจลดต้นคอกันเลยเชียว  

    เราสามคนวิ่งมาหยุดที่กุฏิเจ้าอาวาส  แยกไม่ออกว่าเนื้อตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อหรือละอองฝน  ผมยื่นกล้องคืนให้ไอ้นนท์ แต่ไอ้จ้อนคว้าตัดหน้าไป  

    “เอากล้องไว้ที่ข้า  แล้วพรุ่งนี้เรามาเจอกันที่เดิม เวลาเดิม มาถ่ายบรรยากาศเพิ่มเติม แล้วก็เปิดดูภาพที่ถ่ายวันนี้พร้อมกัน  ส่วนเอ็งไอ้นนท์ เมื่อกี้วิ่งลืมเพื่อนเลยนะ  พรุ่งนี้ถ้าเอ็งไม่มาตามนัด ก็อย่าหวังจะได้กล้องคืน” ไอ้จ้อนทำเสียงแข็ง

    ผมกับไอ้นนท์ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลย ทำเพียงพยักหน้ารับคำพูดไอ้จ้อนเท่านั้น  ผมยังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่คงไม่เกินไปกว่าไอ้นนท์ ที่หน้าซีดเป็นไก่ต้ม ขาวจนอดนึกไม่ได้ว่า หน้าของมันคลายกับเด็กในกระจกนั่น คงแห้งเหือด ไม่มีเลือดพอไปหล่อเลี้ยงบนใบหน้า และภาพเด็กปริศนาคนนั้นยังติดตาผมอยู่

    “ว่าแต่ กระจกนั้นมันไม่แตกใช่มั้ย” ไอ้จ้อนทิ้งคำถามที่ไม่มีใครอยากตอบไว้ให้เราคิดก่อนแยกย้ายกันกลับบ้าน

    เช้าวันเสาร์ ผมก็ยังนั่งนึกถึงเด็กตรงบ่อน้ำคนนั้นจนข่มตาหลับไม่ลงทั้งคืน  แต่ก็ไม่รู้สึกง่วงเลย กลับตื่นตัวตลอดเวลา ใจก็อยากไปตามนัด แต่ขณะเดียวกันก็อยากผิดคำสัญญาที่พยักหน้ารับไอ้จ้อนไว้ กล้าๆ กลัวๆ อย่างบอกไม่ถูก

    กระทั่งพลบค่ำ ผมตัดสินใจเข้าไปหาไอ้จ้อนที่บ้านพักเด็กวัด ก่อนที่ผมกับมันจะไปรอไอ้นนท์ที่เดิม ตามเวลาที่บอกไว้  ระหว่างที่รอ เวลาช่างเดินผ่านไปเชื่องช้าเหลือเกิน ผมกับไอ้จ้อน เรานั่งรอเงียบๆ ไม่มีใครปริปากพูดอะไรทั้งนั้น แล้วเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง ไอ้ลูกคุณหนูก็โผล่มา

    “เอ็งเป็นอะไร หน้าตาเศร้าๆ ป่วยหรือเปล่าวะ” ผมถามด้วยความเป็นห่วง

    “โดนน้ำฝนจนป่วย”  ไอ้นนท์ตอบพลางถอนหายใจ

    “ไอ้อ่อนแอ คุณหนูจริงๆนะเอ็ง โดนฝนนิดหน่อยก็ป่วยแล้ว”  ไอ้จ้อนจับที่ไหล่ไอ้นนท์ “ยังไงซะ ข้าคืนกล้องให้เอ็งอยู่แล้ว ถ้าป่วยก็น่าจะโทรมาบอกที่บ้านไอ้เอส แล้วให้มันมาบอกข้า เราจะได้มาวันหลัง พรุ่งนี้ก็ยังหยุดอยู่นี่”

    “ช่างเถอะ ไงก็ไม่มีใครรู้ว่าข้ามาเล่นที่นี่” ไอ้นนท์ยิ้มมุมปากปั้นหน้าเมื่อยๆ

ผมบันทึกวีดีโอพร้อมกับบรรยายเหตุการณ์เมื่อคืน  ส่วนไอ้สองตัวนั่นก็เดินตามผมต้อยๆ แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงร้องขึ้นมาจากบ่อน้ำ “ช่วยด้วย ช่วยด้วย ข้าอยู่ในนี้”  ไอ้นนท์วิ่งหายไปก่อนใคร โดยที่เราไม่รู้ตัวเช่นเคย เหลือผมกับไอ้จ้อนยืนขาสั่นส่องไฟฉายตรงไปยังบ่อเก่าคร่ำครึนั้น

    “เราเข้าไปดูพร้อมกัน” ไอ้จ้อนพูดกับผม แต่ลูกตามันจับจ้องมองที่บ่อน้ำ โดยไม่ละสายตาไปทางอื่นเลย เราสองคนก็ค่อยๆ ก้าวช้าๆ จนถึงปากบ่อ  ไอ้จ้อนหันลำแสงจากกระบอกไฟฉายลงลึกไปในบ่อ ก่อนที่ผมกับมันจะยื่นหน้าชะโงกมองลงไป ไม่เจอต้นตอของเสียงนั้น แต่พอไอ้จ้อนขยับไฟฉาย ผมก็สังเกตเห็นเงาประหลาดสะท้อนบนผืนน้ำที่แน่นิ่งข้างล่าง เมื่อเพ่งมองชัดก็ปรากฏว่าเป็นเงาสะท้อนที่ไม่ได้มีแค่เรา แต่มีภาพของเด็กผู้ชายวัยเท่าๆ กับเรา นัยน์ตาลึกโบ๋ หน้าซีดแทบจะขาว นั่งบนขอบบ่อ อยู่ข้างๆ ไอ้ตัวโต แสยะยิ้มให้เรา ไอ้จ้อนตาเบิกโพลงด้วยความกลัว มันไม่กล้าหันไปมองข้างตัว ส่วนผมทำอะไรไม่ถูก จะก้าวก็เหมือนแข้งขาอ่อนหมดเรี่ยวแรง ได้แต่หลับตาปี๋จับมือไอ้จ้อนไว้แน่น แล้วผมได้ยินเสียงฝีเท้ากระทบกับหญ้าบนพื้นอย่างร้อนรน ผมยิ่งใจเสียเมื่อเริ่มคิดว่า นั่นอาจเป็นเสียงวิ่งรนรานของไอ้จ้อน มันอาจจะไม่ได้อยู่ข้างผมแล้ว เพราะมือที่ผมกำแน่นอยู่นั้น มันไม่มีไออุ่นของมนุษย์เลย กลับเย็นและเปียกชื้น ผมน้ำตาไหลไม่กล้าเหลือบตาดูว่าจับมือของใครกันแน่ ได้พยายามข่มใจให้นิ่งไว้ แล้วพูดแผ่เมตตาเหมือนที่เคยทำตอนสวดมนต์ไหว้พระหน้าเสาธงทุกเช้า และเมื่อผมกลั้นใจหรี่ตามองก็เห็นแค่มือตัวเองที่กำหมัดแน่น  

ผมเร่งสับฝีเท้าอย่างไม่คิดชีวิตเลยล่ะ สมองนึกอะไรไม่ออกนอกจากหน้าพ่อแม่   และเท่าที่จำได้ นั่นคือคืนที่ผมนอนกอดแม่ยาวนานที่สุด

    เช้าวันถัดมา ผมไปหาไอ้จ้อนที่วัด แต่ไม่เจอ หลวงตาบอกว่า เช้านี้มันไม่ได้ไปช่วยบิณฑบาตเลย  ส่วนเด็กวัดรุ่นพี่ที่พักอยู่กับมันก็บอกว่า เห็นมันครั้งสุดท้าย ตอนที่ผมออกไปพร้อมกับมันเมื่อคืน  แล้วทุกคนในวัดก็เริ่มรู้สึกห่วงมันขึ้นมาทันที รวมทั้งผมด้วย  จากนั้นหลวงตาสั่งให้พระทุกรูป เด็กวัดทุกคนกระจายกันตามหาไอ้จ้อนเร่งด่วน  

    ตั้งแต่ช่วงแปดโมงเช้าจนถึงสี่โมงเย็น ก็ยังไร้ร่องรอยที่จะเจอตัวมัน  ทุกคนเริ่มท้อแท้  มัคทายกพูดด้วยสีหน้าเศร้าว่า ต้องรอให้ครบ 24 ชั่วโมงก่อน ถึงจะแจ้งคนหายกับตำรวจได้  

ผมนั่งพักเหนื่อยพร้อมกับเด็กวัดหลายคนที่หน้ากุฏิหลวงตา  เหงื่อยังไม่ทันจะแห้งดี ก็มีเณรรูปหนึ่งวิ่งมาบอกว่า “เจอตัวไอ้จ้อนแล้ว ไปช่วยมันที”  ทุกคนวิ่งตามเณรจนไปถึงโรงพักศพไร้ญาติท้ายวัด สำหรับรอขึ้นเมรุเผา  ผมน้ำตาร่วงทันทีเมื่อได้ยินเสียงไอ้จ้อนร้องไห้คร่ำครวญดังออกมาจากโลงศพที่ตอกตะปูปิดแน่นหนา  มัคทายกเอาค้อนมางัดตะปูช่วยมันออกมาจนได้  คาบน้ำตาที่แห้งเกรอะกรังอาบสองแก้มของมัน ทำผมหดหู่ ในขณะที่ทุกคนต่างยิ้มดีใจ  ผมกังวลเรื่องไอ้จ้อนจนลืมนึกถึงไอ้นนท์ว่าเมื่อคืนมันถึงบ้านปลอดภัยหรือเปล่า  

ผมจึงรีบบึ่งไปบ้านไอ้นนท์ ร้องตะโกนเรียก ก็ไม่เห็นใคร แล้วคนดูแลสวนก็ออกมาบอกว่า ไอ้คุณหนูมันนอนพักฟื้นอยู่โรงพยาบาล

    “น้องนนท์ป่วย เป็นไข้จ้า  เห็นแม่เขาบอกว่าโดนฝนมา” ลุงทำสวนพูดพลางปาดเหงื่อ

    “เมื่อคืนไม่มีฝนตกนี่ครับ โดนฝนได้ยังไง” ผมบ่นพึมพำคนเดียว แต่ลุงก็ตอบกลับมา

    “เมื่อคืนวันศุกร์ไง สองวันก่อน ฝนตกปรอยๆ อยู่เกือบทั้งคืน ไม่รู้ไปเล่นน้ำที่ไหนมา พอเช้าวันเสาร์ก็ไข้ขึ้น จนต้องไปนอนโรงพยาบาล ป่านนี้ยังไม่กลับเลย เมื่อกี้แม่น้องนนท์ก็เพิ่งมาเปลี่ยนเสื้อผ้า แกไปนอนเฝ้าข้างเตียงทั้งคืน เห็นแกแว่วๆ ว่า หมอให้ดูอาการอีกคืน คงกลับได้เช้าวันอังคารนั่นแหละ”

ผมอึ้งไปเลย เดินตาลอยกลับมาที่วัด เพื่อดูอาการไอ้จ้อนต่อ แต่หลวงตาห้ามผมไว้ก่อนจะเล่าว่า “ไอ้จ้อนมันพูดให้ฟัง เมื่อคืนโดนผีเด็กในบ่อน้ำหลอกเอา เลยวิ่งหนี จนมาถึงกุฏิหลวงตา แล้วเอ็งก็บอกให้มันลงไปนอนซ่อนในหีบไม้ แต่พอมันเข้าไปก็ออกมาไม่ได้อีก สุดท้ายมารู้ทีหลังว่า กุฏิที่มันเห็นตอนแรกกลับกลายเป็นโรงพักศพ ทั้งยังนอนหลบอยู่ในโลงศพ ไม่ใช่หีบไม้อย่างที่มันเห็นก่อนเข้าไปซ่อน ตอนนี้มันก็อาการดีขึ้นแล้ว เพิ่งผล็อยหลับไปเมื่อกี้”

    “หลวงตาเชื่อที่มันบอกมั้ยครับ”

    “ไอ้จ้อนไม่ใช่รายแรกที่เคยโดนแบบนี้ เมื่อสมัยหลวงตายังเด็ก พวกเด็กที่บ้านอยู่แถวนี้ ชอบชวนกันเล่นซ่อนแอบในวัดบ่อยๆ หลวงตาเองก็มาเล่นกับเขาด้วย  ไอ้เปี๊ยก เพื่อนสนิทหลวงตามันเป็นเด็กวัด ไม่มีญาติมิตรที่ไหน นอกจากคนในวัด มันชำนาญทางเป็นพิเศษ บ่อยครั้งมันจะคอยแนะนำเพื่อนๆ ให้ไปหลบตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง แล้ววันนึง หลวงตาก็นึกสนุก เลยแนะนำมันบ้าง ให้แอบที่บ่อน้ำท้ายวัด ส่วนหลวงตาเองไปซ่อนบนต้นไม้ห่างจากบ่อน้ำสักสองร้อยเมตร แล้วยังไงไม่รู้ ไอ้เปี๊ยกดันพลัดตกลงบ่อ มันติดอยู่ในนั้น โดยมีแค่หลวงตาเท่านั้นที่รู้ที่ซ่อนมัน แต่หลวงตาก็ลืมมันไปสนิท หลังจากแม่หลวงตามาตามกลับบ้าน  ไม่มีใครนึกถึงมัน  ไม่มีใครออกตามหามัน  แต่ทีแรกมันก็คงไม่เป็นอะไรหรอก เพราะน้ำในบ่อมีน้ำนิดเดียว กระทั่งฝนตกลงมา น้ำสูงท่วมหัวมันจนตายคาบ่อนั่นแหละ คงเป็นเคราะห์กรรมของหลวงตากับไอ้เปี๊ยก หลวงตาก็เลยบวชให้กับมันจนทุกวันนี้แหละ คืนไหนที่ฝนตก และมีเด็กมาเล่นในวัด ไอ้เปี๊ยกก็จะออกมาเล่นด้วยเสมอ”

        เมื่อผมเปิดกล้องวีดีโอดูสิ่งที่เราเจอมา ภาพสุดท้ายที่บันทึกไว้ เป็นคืนวันเสาร์ ไอ้นนท์แต่นัยน์ตาโบ๋มีน้ำไหลออกมาราวกับน้ำตา แสยะยิ้มเห็นเหงือกช้ำดูคล้ำ ก่อนที่มันจะหันหลังวิ่งหายไปในความมืด ผมขนลุกซู่เมื่อคิดว่า นั่นไม่ใช่ไอ้นนท์เพื่อนของผม แต่น่าจะเป็นเพื่อนของหลวงตาที่ถูกไว้ในบ่อน้ำ ผมไม่ลังเลที่จะกดลบคลิปนั้นทันทีหลังดูเพียงครั้งเดียว

    หลังจากเหตุการณ์คืนนั้น พ่อแม่ไอ้นนท์ก็ไม่ให้มันมาคลุกคลีตีโมงกับพวกเด็กแถววัด ส่วนไอ้จ้อนก็ไม่เคยพูดกับผมอีกเลย แม้คนรอบข้างรวมถึงหลวงตาจะอธิบายช่วยผมยังไงก็ตาม ก็ไม่ทำให้ความเป็นเพื่อนเรากลับมา...และผมคงไม่มีวันลืมเรื่องนี้ได้เลย


*********************

งานเขียนจริงๆ จังๆ ชิ้นแรก ช่วยวิจารณ์ทีนะครับ ขอบคุณครับ

อ่านที่หน้าบล็อก >>คลิกที่นี่<<
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่