ว่าด้วยเรื่องรถยนต์ EV

ทำไมต้องเป็น EV
แก้ไข
EV นั้นย่อมาจาก Electric Vehicle ตอนนี้หลายคนคงจะได้ยินบ่อยแล้วหล่ะครับ  ส่วนตัวผมก็ได้ยินและให้ความสนใจกับเรื่องนี้มาก ต้องขอออกตัวก่อนว่าไม่ถึงกับรู้มาก อยากลองตั้งกระทู้สนทนาเกี่ยวกับเรื่องนี้ดู เผื่อว่าจะมีคนสนใจเหมือนผมบ้าง ส่วนตัวเวลามีคนพูดถึง EV เมื่อไหร่ก็จะเงี่ยหูฟัง ตอนหลัง รัฐบาลลุงตู่ก็มีแนวนโยบายสนับสนุนให้มีสถานีชาร์จไฟให้กับรถยนต์ประเภทนี้ในอนาคตมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามก็จะเห็นว่ามีทั้งคนสนับสนุนและไม่สนับสนุนในเรื่องนี้ ผมหมายถึงผู้ผลิตรถยนต์นะครับ โดยเฉพาะค่ายรถยนต์ใหญ่ๆค่ายหนึ่ง ออกตัวมาก่อนเลยว่า ยังไงตัวเองก็จะยังไม่เข้าไปผลิตรถ EV แบบเต็มรูปแบบ แต่จะค่อยๆเปลี่ยนจากเทคโนโลยี Hybrid ไปเป็น plug-in hybrid แล้วจึงจะไปสู่ EV (เขาว่างั้น http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9590000077485 )
เอาหล่ะ ส่วนตัวผมชอบ EV ไม่งั้นคงไม่มาตั้งกระทู้คุยแบบนี้หรอก 555
มามองและถกกันดีกว่าว่าถ้าเป็น EV เต็มรูปแบบ มันจะมีข้อดีข้อเสียยังไงบ้าง
ผมมองไปที่ข้อดีก่อนเลย
1.เป็นที่รู้กันดีว่า EV คือระบบรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ ซึ่งแหล่งพลังงานก็ได้มาจากแบตเตอรี่ กระบวนการได้มาซึ่งพลังขับเคลื่อนก็ไม่มีมลภาวะที่เป็นพิษเหมือนอย่างเช่นในเครื่องยนต์ที่ต้องอาศัยการสันดาปในเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเปลี่ยนจากน้ำมันให้เป็นพลังงานขับเคลื่อนแล้วเหลือไว้ซึ่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ ซึ่งก็ไม่มีผลดีกับสภาพแวดล้อม เราจะเห็นรถยนต์ที่เป็น EV ติดป้ายว่า Zero Emission ก็หมายความถึงสิ่งที่ได้พูดไว้นี่แหละ
2.หากมองในด้านเทคนิค เราอาจจะเคยชินกับการใช้งานรถยนต์ที่เป็นเครื่องยนต์ หรืออย่างดีก็เป็น รถยนต์ที่เป็น Hybrid อันนี้รวมถึง plug-in Hybrid ด้วย ซึ่งรถยนต์ประเภทดังกล่าวจะต้องมีอยู่สิ่งนึงที่ขาดไม่ได้เลยคือระบบเกียร์ (Gear) ทำไมเหรอครับ ก็เพราะว่าเครื่องยนต์ของรถยนต์ที่ต้องส่งผ่านกำลังจากเครื่องยนต์สู่เกียร์แล้วจึงส่งไปที่ล้ออีกทีหนึ่ง (ผมอธิบายแบบรวบๆ) ถามว่าทำไมต้องมีเกียร์ด้วย คำตอบคือ ไม่มีเครื่องยนต์ประเภทไหนในโลกนี้ที่จะสามารถผลิตแรงบิด(Toque) ได้ที่ความเร็วต่ำสุดไปจนถึงความเร็วสูงสุดได้ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ระบบเกียร์เข้ามาช่วยทดรอบให้เครื่องยนต์สามารถทำงานได้ตั้งแต่รอบเครื่องต่ำไปจนถึงรอบเครื่องที่สูงสุด ซึ่งถ้าพูดถึงมอเตอร์ไฟฟ้าในรถยนต์ EV แล้วมันคือข้อดีคือมอเตอร์ไฟฟ้าที่สามารถผลิตแรงบิตได้ตั้งแต่ความเร็วต่ำไปจนถึงความเร็วสูงสุดได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องพึงพาระบบเกียเลย สรุปก็คือรถยนต์ EV ไม่มีระบบเกียร์ให้ยุ่งยากอีกต่อไป
3.น้ำหนักของเครื่องยนต์เมื่อเทียบกับมอเตอร์ไฟฟ้าแล้วต่างกันอย่างมาก นี่ยังไม่รวมถึงน้ำหนักของเกียร์ที่จะต้องมีในรถยนต์ที่ติดตั้งเครื่องยนต์เข้าไปด้วย ดังนั้น ข้อดีที่รถยนต์แบบ EV อีกข้อหนึ่งคือน้ำหนักโดยรวมจะเบากว่ารถยนต์แบบเก่า เมื่อน้ำหนักรถต์เบาขึ้น ก็เท่ากับว่ารถ EV ไม่ต้องแบกน้ำหนักที่เกิดจากน้ำหนักมอเตอร์และแบตเตอรี่รวมกันมาก  นั่นก็เท่ากับพลังงานที่ได้ก็จะไปขับเคลื่อนแบกน้ำหนักผู้โดยสารและสัมภาระได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบเก่า
4.ในขณะที่เราขับรถยนต์แบบเก่า เวลาเราเบรค แรงเฉื่อยที่ยังคงขับเคลื่อนให้รถยนต์เดินหน้าไปจะสูญเสียไปเพื่อให้รถสามารถหยุดหรือชะลอความเร็วลง แต่ในรถยนต์ EV แรงเฉื่อยดังกล่าวจะไม่สูญเสียไปอีกแล้วเพราะการที่จะให้รถหยุดหรือชะลอความเร็วลง เราจะอาศัยตัวมอเตอร์ในการเบรค แต่ข้อดีของมอเตอร์ขณะที่มันเบรคคือ มันจะเปลี่ยนแรงเฉื่อยให้กลับไปเป็นกระแสไฟฟ้าชาร์จกลับไปที่แบตเตอรี่ นั่นก็เท่ากับว่า ไม่ว่าเราจะเร่งเครื่องให้วิ่งเร็วแค่ไหน แล้วในขณะที่เราเบรคหรือชะลอรถ แรงที่เกิดขึ้นก็จะไม่สูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ก็เท่ากับเป็นการใช้พลังงานไปอย่างมีประสิทธิภาพอีกเช่นกัน ซึ่งนับว่าเป็นข้อดีอีกข้อหนึ่งในรถแบบ EV
5.เนื่องจากในรถยนต์ EV มีส่วนประกอบที่ไม่มีความซับซ้อนมาก เมื่อเทียบกับรถยนต์แบบเก่าที่จะต้องมีทั้งระบบเครื่องยนต์และระบบเกียร์ เราอาจจะเคยชินกับการต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เปลี่ยนใส้กรองอากาศ เปลี่ยนน้ำมันเฟืองท้าย เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ เปลี่ยนน้ำหล่อเย็น เปลี่ยนน้ำมันเบรค ฯลฯ ต่อไปนี้ อาจจะ ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะรถยนต์ EV ไม่มีสิ่งที่พูดถึงข้างต้นทั้งหมด ดังนั้น แทบจะเรียกได้ว่าเป็นระบบ maintenance free แต่อย่าเพิ่งดีใจไปครับ ความจริงก็ยังมีเรื่อง แบตเตอรี่ ที่ผมยังไม่ได้กล่าวถึงในเรื่องของข้อเสียในรถยนต์ EV เอาเป็นว่าข้อดีในส่วนนี้คือ เรื่องการ maintenance รถยนต์ EV จะน้อยลงมากๆเมื่อเทียบกับรถยนต์แบบเก่า
6.ผลต่อเนื่องจากที่ส่วนประกอบที่ไม่ซับซ้อนแล้ว ส่งผลให้พื้นที่ต่างๆในรถยนต์ EV มีพื้นที่ใช้สอยไว้ทำอย่างอื่นอีกมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น กระโปรงหน้ารถยนต์ที่แต่ก่อนเป็นที่เก็บเครื่องยนต์ แต่ในรถ EV จะเป็นที่เก็บของเพ่ิ่มขึ้น เป็นต้น
7.หากในอนาคต การใช้งานรถยนต์เป็น EV เต็มรูปแบบ เราจะสามารถหาแหล่งพลังงานได้จากทุกหนแห่งแม้แต่ในขณะจอดรถติดไฟแดงก็ตามที (Wireless Charging) นั่นหมายถึง เราอาจจะไม่ต้องง้อปั๊มน้ำมันหรือต้องหาที่เต็มแก๊สแบบที่เราเป็นอยู่อีกต่อไป แต่เราสามารถชาร์จไฟให้แก่รถยนต์ EV ได้จากทุกๆที่แม้แต่ในบ้านเราเอง ช่วยจินตนาการตามนิดนึงนะครับ เพราะจริงๆตอนนี้เรายังไม่ใช่ยุค EV แต่มันกำลังมาครับ ^^
8.เป็นที่ทราบดีว่า เครื่องยนต์แบบสันดาปจำเป็นต้องใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตพลังงานในเครื่องยนต์ แต่ใน EV ใช้พลังงานไฟฟ้าที่ได้จากแบตเตอรี่ ซึ่งแบตเตอรี่ก็รับพลังงานหลักมาจากแหล่งต้นกำเนิดไฟฟ้าอื่นๆ เช่น ไฟฟ้าจากเขื่อน ,จากพลังงานลม, จากพลังงานแสงอาทิตย์ หรือหากมองให้ดี พลังงานนิวเครีย์ก็ถือว่าเป็นพลังงานสะอาดรูปแบบหนึ่ง(ให้ตัดพิจารณาเรื่องความปลอดภัยออกไปก่อน) เป็นต้น พลังงานไฟฟ้าที่ถูกผลิตออกมาจากแหล่งพลังงานดังกล่าว ถือว่าเป็นพลังงานสะอาด ไม่ก่อให้เกิดการทำลายบรรยากาศโลก ซึ่งก็ถือเป็นข้อดีในทางอ้อมของการใช้รถยนต์แบบ EV
9.ข้อดีส่วนนี้ ผมถือว่าเป็นความเห็นส่วนตัวครับคือเรื่อง เสียง รถยนต์ EV มีข้อดีคือเงียบ เพราะการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าไม่มีกระบวนการจุดระเบิดให้เกิดเสียงดังเหมือนกับเครื่องยนต์ ที่ออกตัวว่าเป็นข้อดีในความเห็นส่วนตัวเพราะบางคนมองว่า เสียงเงียบอาจจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายได้ในกรณีที่ขับไปตามถนนแล้วคนเดินถนนไม่ได้ยินเสียงรถยนต์ที่เข้ามาใกล้ตัว
ในเรื่องของข้อเสียเท่าที่นึกได้คือ
1.การชาร์จไฟฟ้าให้กับรถยนต์ EV เพื่อให้สามารถวิ่งได้ในระยะทางไกลๆ จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนาน เมื่อเทียบกับการเติมน้ำมันที่เราใช้เวลาในการเติมเพียงไม่กี่นาทีต่อการวิ่งในระยะทางที่ยาวเท่ากัน
2.ราคาในปัจจุบันยังคงสูง เมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์อยู่มาก

ผมเชื่อนะครับว่าข้อเสียดังกล่าวจะถูกแก้ หากได้รับการสนับสนุนอย่างแท้จริงจากทั้ง ผู้ผลิต ผู้บริโภค และภาครัฐ  ก็หวังว่าในอนาคตอันใกล้ เราจะได้เห็นรถยนต์ EV เต็มถนน อากาศรอบข้างเราก็น่าจะสะอาตขึ้น ไม่มีควันเหม็นๆดำๆให้เราต้องมาสูดให้เสียสุขภาพปอดอีกต่อไป ^^

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่