คงมีหลายคนที่ไม่ปฎิเสธว่า ครั้งนึงเราต่างก็เคยเป็นผู้กล้าหาญที่ทุ่มเททำในบางเรื่องเพื่อไขว้คว้าให้ได้มันมา แม้ว่าสุดท้ายจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม รวมทั้งเรื่องของหัวใจ
ฉันก็เป็นคนนึงที่มักรู้สึกว่าตัวเองขาดความรัก ความอบอุ่น มักอยากจะแสวงหาความรัก และเมื่อรักใครจะทุ่มเทแทบไม่เผื่อใจ จนบางครั้งก็เกิดความผิดหวัง เป็นทุกข์ เสียใจ จนมีเหตุการณ์นึงที่ทำให้ชะตาชีวิตฉันพลิกผันโดยสิ้นเชิง เมื่อวันนึงได้พบรักกับผู้ชายต่างชาติชาวจีนคนนึง ช่วงนั้นเอาจริงๆเป็นวัยกำลัง*แ..ดเลย แทบแยกไม่ออกด้วยซ้ำอะไรคือความรักหรือความหลง เรามีโอกาสได้เจอกันตอนเราไปแลกเปลี่ยน และเมื่อกลับมาไทย เราก้ออยากกลับไปทีนั่นอีกครั้งเพื่อที่จะได้เจอกับเค้าอีก ยอมรับว่าช่วงเวลานั้นเพ้อ บ้าบอสุดๆ ทุ่มเททุกอย่าง หาวิธีที่ไปเจอให้ได้
จนมีวันนึงในช่วงระหว่างใกล้จบการศึกษาปริญญาตรี ได้มีการแนะนำสำหรับนศที่สนใจจะชิงทุนรัฐบาลจีนเพื่อศึกษาต่อป โท อิชั้นก็กระดี๊กระด๊าไปเข้าอบรมกับเค้า ทั้งที่ภาษาจีนช่วงนั้นงูๆปลาๆมาก ไม่ได้เป็นเด็กห้องหัวกะทิอยู่แล้ว หลังจากฟังเสดปุ๊บก้อแจ้นเข้าหาอาจารย์คนจีนเพื่อสอบถามข้อมูล บลาๆ (จนวันนี้เค้ายังจำในความโก๊ะของเราได้) กลับหอก้อเสริซหาข้อมูลเลย ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง ต้องสอบHSKระดับเท่าไหร่ขึ้นไป ก็อ่านหนังสือไปติวสอบกับเค้า ความจริงแค่ระดับ5ก็มีโอกาสได้ทุนสูงแล้ว อิชั้นกลัวพลาดจัด ฟิตอ่านหนังสือหนักจนผ่านระดับ6 แล้วเราก้อเลือกสมัครไปหลายมอแต่ส่วนมากจะขอภาคใต้ของจีน เพราะผู้ชายนางอยู่ที่นั่น ทั้งๆที่มอหรูภาคเหนือมักจะติดอันดับกว่า ก็อะนะคะ เพื่อผู้ชาย ฮ่าๆ
จนเวลาผ่านไปสองสามเดือน ในช่วงนั้นเราจบแล้วก็ทำงานไปด้วยเพราะคิดว่าคงไม่ผ่านแน่ๆ มีคนสมัครสอบชิงทุนมากมายจากหลายประเทศ รับโควต้าแค่40คน แต่สุดท้ายเกิดปฏิหาริย์อะไรไม่ทราบ ดั้นติดหนึ่งในนั้นซะงั้น เรานี่แบบอารมณ์ตอนนั้นน้ำตาแห่งความปลื้มปิติไหลมาพลางๆ กูทำสำเร็จแล้วโว้ยยยย!!!! ลั้ลลามากก จะได้ออกไปต่างประเทศอีกครั้ง
ช่วงแรกเป็นช่วงที่ทรหดมาก แฟนก็มารับเราถึงสนามบิน นางช่วยแบกของเกือบห้าสิบโลข้ามน้ำข้ามทะเลจากกวางโจวกันมาจนกว่าจะถึงมหาลัย นางก็มาส่งที่หอพักแล้วแนวๆบอกว่าให้ตั้งใจเรียน แล้วนางก็นั่งแปดชมกลับไปทำงานอีกเมืองนึงต่อ และสัญญาว่าจะกลับมาหากัน เราแอบใจแป๊วๆ แอบรู้สึกเหมือนผิดหวังเล็กน้อย ไม่รู้การมาครั้งนี้จะสูญเปล่าหรือเปล่า แต่ไม่นานเราก้อเริ่มปรับตัวได้ และค้นพบว่าคณะที่เลือกเรียน มีเราเป็นคนไทยคนเดียว แอร๊ยย ส่วนคนไทยคนอื่นจะเลือกเรียนอีกคณะนึง ซึ่งตอนนั้นเลือกก็ไม่ได้ปรึกษาใครเลย คิดแต่ว่าจะไปให้ได้อย่างเดียว เศร้าเรื่องผู้ชายและยังจะไม่มีเพื่อนอีก ชีวิต!! เราเลยใช้เวลาส่วนมากแวะไปหาอาจารย์ที่ดูแลส่วนนศต่างชาติ คุยเล่น จนแกกับเราสนิทกัน เวลามีอะไรแกก้อจะเรียกเราและแต่งตั้งเราเป็นหัวหน้าห้อง คอยช่วยเก็บการบ้านจากเพื่อนๆชาวสปป ลาว เวียดนาม กัมพูชา ไปส่งที่ตึกคณะซึ่ง
อยู่ห่างจากหอพักเป็นกิโลและต้องเดินเท้า ดูเหมือนจะเป็นที่รักของอาจารย์และโดนใช้แรงงานไปในเวลาเดียวกัน
ช่วงนั้นเราก็ใช้ชีวิตอยุ่กับการเรียน กิน เที่ยวเล่นปกติ คุยกับแฟนทุกวัน อ้อนนางเมื่อไหร่จะมาหาเราตลอด ซึ่งบางทีต้องเข้าใจในประเทศจีน ถึงแม้จะมณฑลเดียวกันแต่แต่ละเมืองโคตรไกล นั่งรถไฟทีเจ็ดแปด ชั่วโมง แล้วนางทำงานหยุดสองวัน แค่นั่งรถไปมาก็หมดเวลาและ จนเป็นจุดพีคให้เราสองคนเริ่มทะเลาะกันมากขึ้น ความรู้สึกตอนนั้นมันเริ่มสับสน เหมือนเราคิดอยู่เสมอว่าเราพยายาม ทุ่มเทเพื่อให้มาเจอเค้า แต่เค้าทำไมกลับทำกับเราแบบนี้ ทำไมไม่มีเวลาอยู่ด้วยกัน ทำไมไม่มาหากันบ้าง ทำไมปล่อยให้เราเหงาคนเดียว แล้วสิ่งที่เราไม่เคยคิดก็เกิดขึ้น -- เราเลิกกัน-- 💔 เพราะด้วยเหตุผลอะไรหลายๆอย่าง ทั้งเรื่องระยะทางและการเอาใจใส่กัน สุดท้ายเราก้อไปกันไม่รอด....แล้วชีวิตปโท ชั้นละ ที่ตอนแรกมาเพราะผู้ชาย จะเอายังไงกับมันต่อ ทิ้งแล้วกลับไปรักษาบาดแผลที่ไทยหรือทนอยู่ต่อเขียนวิทยานิพนธ์คนเดียว???
。。。。。เดวมาต่อครั้งหน้านะคะ
ไดอารี่ชีวิตต่างแดน-- ตอน "ใจแตกจนได้ดี"
ฉันก็เป็นคนนึงที่มักรู้สึกว่าตัวเองขาดความรัก ความอบอุ่น มักอยากจะแสวงหาความรัก และเมื่อรักใครจะทุ่มเทแทบไม่เผื่อใจ จนบางครั้งก็เกิดความผิดหวัง เป็นทุกข์ เสียใจ จนมีเหตุการณ์นึงที่ทำให้ชะตาชีวิตฉันพลิกผันโดยสิ้นเชิง เมื่อวันนึงได้พบรักกับผู้ชายต่างชาติชาวจีนคนนึง ช่วงนั้นเอาจริงๆเป็นวัยกำลัง*แ..ดเลย แทบแยกไม่ออกด้วยซ้ำอะไรคือความรักหรือความหลง เรามีโอกาสได้เจอกันตอนเราไปแลกเปลี่ยน และเมื่อกลับมาไทย เราก้ออยากกลับไปทีนั่นอีกครั้งเพื่อที่จะได้เจอกับเค้าอีก ยอมรับว่าช่วงเวลานั้นเพ้อ บ้าบอสุดๆ ทุ่มเททุกอย่าง หาวิธีที่ไปเจอให้ได้
จนมีวันนึงในช่วงระหว่างใกล้จบการศึกษาปริญญาตรี ได้มีการแนะนำสำหรับนศที่สนใจจะชิงทุนรัฐบาลจีนเพื่อศึกษาต่อป โท อิชั้นก็กระดี๊กระด๊าไปเข้าอบรมกับเค้า ทั้งที่ภาษาจีนช่วงนั้นงูๆปลาๆมาก ไม่ได้เป็นเด็กห้องหัวกะทิอยู่แล้ว หลังจากฟังเสดปุ๊บก้อแจ้นเข้าหาอาจารย์คนจีนเพื่อสอบถามข้อมูล บลาๆ (จนวันนี้เค้ายังจำในความโก๊ะของเราได้) กลับหอก้อเสริซหาข้อมูลเลย ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง ต้องสอบHSKระดับเท่าไหร่ขึ้นไป ก็อ่านหนังสือไปติวสอบกับเค้า ความจริงแค่ระดับ5ก็มีโอกาสได้ทุนสูงแล้ว อิชั้นกลัวพลาดจัด ฟิตอ่านหนังสือหนักจนผ่านระดับ6 แล้วเราก้อเลือกสมัครไปหลายมอแต่ส่วนมากจะขอภาคใต้ของจีน เพราะผู้ชายนางอยู่ที่นั่น ทั้งๆที่มอหรูภาคเหนือมักจะติดอันดับกว่า ก็อะนะคะ เพื่อผู้ชาย ฮ่าๆ
จนเวลาผ่านไปสองสามเดือน ในช่วงนั้นเราจบแล้วก็ทำงานไปด้วยเพราะคิดว่าคงไม่ผ่านแน่ๆ มีคนสมัครสอบชิงทุนมากมายจากหลายประเทศ รับโควต้าแค่40คน แต่สุดท้ายเกิดปฏิหาริย์อะไรไม่ทราบ ดั้นติดหนึ่งในนั้นซะงั้น เรานี่แบบอารมณ์ตอนนั้นน้ำตาแห่งความปลื้มปิติไหลมาพลางๆ กูทำสำเร็จแล้วโว้ยยยย!!!! ลั้ลลามากก จะได้ออกไปต่างประเทศอีกครั้ง
ช่วงแรกเป็นช่วงที่ทรหดมาก แฟนก็มารับเราถึงสนามบิน นางช่วยแบกของเกือบห้าสิบโลข้ามน้ำข้ามทะเลจากกวางโจวกันมาจนกว่าจะถึงมหาลัย นางก็มาส่งที่หอพักแล้วแนวๆบอกว่าให้ตั้งใจเรียน แล้วนางก็นั่งแปดชมกลับไปทำงานอีกเมืองนึงต่อ และสัญญาว่าจะกลับมาหากัน เราแอบใจแป๊วๆ แอบรู้สึกเหมือนผิดหวังเล็กน้อย ไม่รู้การมาครั้งนี้จะสูญเปล่าหรือเปล่า แต่ไม่นานเราก้อเริ่มปรับตัวได้ และค้นพบว่าคณะที่เลือกเรียน มีเราเป็นคนไทยคนเดียว แอร๊ยย ส่วนคนไทยคนอื่นจะเลือกเรียนอีกคณะนึง ซึ่งตอนนั้นเลือกก็ไม่ได้ปรึกษาใครเลย คิดแต่ว่าจะไปให้ได้อย่างเดียว เศร้าเรื่องผู้ชายและยังจะไม่มีเพื่อนอีก ชีวิต!! เราเลยใช้เวลาส่วนมากแวะไปหาอาจารย์ที่ดูแลส่วนนศต่างชาติ คุยเล่น จนแกกับเราสนิทกัน เวลามีอะไรแกก้อจะเรียกเราและแต่งตั้งเราเป็นหัวหน้าห้อง คอยช่วยเก็บการบ้านจากเพื่อนๆชาวสปป ลาว เวียดนาม กัมพูชา ไปส่งที่ตึกคณะซึ่งอยู่ห่างจากหอพักเป็นกิโลและต้องเดินเท้า ดูเหมือนจะเป็นที่รักของอาจารย์และโดนใช้แรงงานไปในเวลาเดียวกัน
ช่วงนั้นเราก็ใช้ชีวิตอยุ่กับการเรียน กิน เที่ยวเล่นปกติ คุยกับแฟนทุกวัน อ้อนนางเมื่อไหร่จะมาหาเราตลอด ซึ่งบางทีต้องเข้าใจในประเทศจีน ถึงแม้จะมณฑลเดียวกันแต่แต่ละเมืองโคตรไกล นั่งรถไฟทีเจ็ดแปด ชั่วโมง แล้วนางทำงานหยุดสองวัน แค่นั่งรถไปมาก็หมดเวลาและ จนเป็นจุดพีคให้เราสองคนเริ่มทะเลาะกันมากขึ้น ความรู้สึกตอนนั้นมันเริ่มสับสน เหมือนเราคิดอยู่เสมอว่าเราพยายาม ทุ่มเทเพื่อให้มาเจอเค้า แต่เค้าทำไมกลับทำกับเราแบบนี้ ทำไมไม่มีเวลาอยู่ด้วยกัน ทำไมไม่มาหากันบ้าง ทำไมปล่อยให้เราเหงาคนเดียว แล้วสิ่งที่เราไม่เคยคิดก็เกิดขึ้น -- เราเลิกกัน-- 💔 เพราะด้วยเหตุผลอะไรหลายๆอย่าง ทั้งเรื่องระยะทางและการเอาใจใส่กัน สุดท้ายเราก้อไปกันไม่รอด....แล้วชีวิตปโท ชั้นละ ที่ตอนแรกมาเพราะผู้ชาย จะเอายังไงกับมันต่อ ทิ้งแล้วกลับไปรักษาบาดแผลที่ไทยหรือทนอยู่ต่อเขียนวิทยานิพนธ์คนเดียว???
。。。。。เดวมาต่อครั้งหน้านะคะ