.
ขอขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านมาแสดงความคิดเห็น ทุกๆความคิดเห็นคือกำลังใจที่มีค่าสำหรับคนเขียนมากค่ะ ขอบคุณที่ติดตามอ่านเรื่องสั้นหลุดโลกแบบตามใจคนเขียน …แนะนำติชมได้นะคะ หากพบเห็นคำไหนเขียนผิดหรือเขียนตกหล่นบอกผู้เขียนได้ค่ะ จะรีบมาแก้ไขโดยด่วนค่ะ ^^
===============
เรื่องสั้น : โลกใหม่
===============
“พวกเราหนีออกมาจากเซร่า” ผมเป็นคนบอก เพราะดูจากการแต่งตัวและอาวุธที่พวกนี้ถือ ไม่น่าจะเป็นทหารของเซร่า ถ้าบอกความจริงไปบางทีอาจจะได้รับความช่วยเหลือจากพวกเขา
“รอน นายเข้าไปตรวจพวกเขาดูหน่อยสิ” หญิงสาวซึ่งอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีแดงเป็นคนพูด ในมือยังคงถือปืนเล็งมายังเด็กสามคน
ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูง เหวี่ยงกระบอกปืนที่สะพายอยู่ไปด้านหลัง และดึงกล่องสีดำขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เขากดปุ่มอะไรบางอย่างในกล่องนั้น มันส่งเสียงติ๊ดๆ ไฟสีเขียวจึงติดขึ้นหน้าจอสีขาวสว่างจ้าขึ้นมา เขานำอุปกรณ์ที่เพิ่งเปิดมาทาบตามตัวเด็กๆทั้งสามคนด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะหันมาพยักหน้าให้หญิงสาวเสื้อคลุมสีแดง
“สองคนนี้มีแผ่นซิปฝังอยู่ที่แขน” รอนชี้มาทางมิกและนิน
“แล้วอีกคนล่ะ” ริค ชายหมุ่นซึ่งยืนอยู่ข้างหญิงสาวเป็นคนถามขึ้น
“อีกคนปลอดภัย” รอนบอก
“สองคนนี้ฉันขอละกันเดี๋ยวจัดการเอาแผ่นซิปออกให้เอง”
“เบาๆกับเด็กหน่อยนะเฟรด” ริคหันไปบอกชายร่างใหญ่กำยำซึ่งกำลังดึงมีดสั้นออกมาจากฝักที่เหน็บอยู่ข้างสะเอว
“เอ้าๆยื่นแขนมาเด็กๆ” เฟรดบอกมิกและนิน เขาควงมีดสั้นเล่นอย่างมีความสุขเพื่อรอกรีดแขนเด็กน้อยสองคนนี้
“พวกคุณจะทำอะไร” ผมเอ่ยถามเสียงสั่น และรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย
“ก็เอาแผ่นซิปออกจากแขนให้นายไง ถ้าไม่รีบเอาออกเดี๋ยวพวกทหารเซร่าก็เห่กันมาพอดี ป่านนี้ไม่รู้ตำแหน่งนายแล้วหรือ” เฟรดบอกเสียงดัง
“เอาออกให้หนูก่อนเลยค่ะ” นินเป็นคนยื่นแขนให้เฟรด
“ใจเด็ดจังเลยนะแม่หนูน้อย เจ็บหน่อยนะ ทนไว้ไหม”
เฟรดพูดจบโดยไม่รอคำตอบจากอีกฝ่าย ก็ฝังมีดสั้นกรีดเข้าไปในแขนของนินแล้วดึงแผ่นซิปออกมาจากแขน และทุบทิ้งทันที
หญิงสาวเสื้อคลุมสีแดงเดินถือขวดสีขาวขนาดเท่าขวดเครื่องดื่มชูกำลัง เธอฉีดสเปรย์ใส่แผลสดของเด็กหญิงละอองน้ำเย็นใสพุ่งกระจายใส่แผล ไม่นานแผลสดใหม่ก็เริ่มสมานและค่อยๆเลือนหายไป แขนที่ถูดกรีดเมื่อครู่กลับคืนสภาพปกติราวกับไม่เคยถูกมีดแหลมคมเฉือนมาก่อน
ผมมองดูด้วยความตื่นตะลึง แทบไม่เชื่อสายตาแต่ก็ยอมให้เขา กรีดแขนเพื่อเอาแผ่นซิปออก
“เราต้องจากที่นี่โดยด่วน ก่อนที่ทหารเซร่าจะยกพลมา” หญิงสาวเสื้อคลุมสีแดงบอกทุกคนอย่างรีบร้อน
“พวกคุณเป็นใคร” ผมถามเพราะรู้สึกไม่ไว้ใจสี่คนนี้ พวกเขาอาจจะช่วยพวกผมหนีไปจากเซร่าได้ แต่ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าพวกเขาจะปลอดภัยจากสี่คนนี้
“นั่น ริค เฟรด รอนและฉันเจน” หญิงสาวในเสื้อคลุมสีแดงเป็นคนแนะนำ
“ส่วนหนูนิน นั่นมิกและก้องค่ะ” นินแนะนำเพื่อนๆ
“รีบย้ายก้นไปจากที่นี่ดีกว่า ทหารเซร่ามาถึงเมื่อไหร่ยุ่งแน่งานนี้” รอนเป็นคนพูดก่อนจะเดินนำหน้าคนอื่นๆ ตามด้วยเจน เด็กๆ ริคและเฟรดเป็นคนเดินรั้งท้าย พวกเขาระแวดระวังทุกย่างก้าวที่เดิน สายตากวาดมองโดยรอบราวกับจะมีศัตรูแอบแฝงอยู่ตามจุดต่างๆ
“พวกคุณจะพาเราไปที่ไหนฮะ” ผมเป็นคนถาม ถามใครก็ได้ที่จะตอบ
“ฉันควรจะถามพวกเธอมากกว่า ว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เด็กๆเค้าไม่มาเดินเล่นในป่ามรณะหรอกนะ” เจนเป็นคนเอ่ยถามและหันมาสบตามิก เพื่อต้องการคำตอบที่แสดงให้รู้ว่าคนตอบจะไม่โกหก
เด็กน้อยทั้งสามทำตาโตตื่นตกใจเมื่อได้ยินคำว่าป่ามรณะ นินขยับเดินมาใกล้มิกแล้วรีบคว้าแขนมิกมากอดไว้
“อย่างที่บอกครับ พวกเราหนีออกจากเซร่า หนีมาทางท่อน้ำทิ้งและมาโผล่ที่นี่” ผมเป็นคนตอบ สายจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าเพื่อยืนยันว่าทั้งหมดที่พูดมาเป็นความจริง
“น่าแปลกที่พวกเธอสื่อสารได้ปกติราวกับคนที่ไม่เคยถูกลบความทรงจำ” คราวนี้รอนเป็นคนพูด พูดขึ้นลอยๆโดยไม่หันมามองหน้าใคร เขายังทำหน้าเป็นคนเดินนำขบวนอย่างตั้งอกตั้งใจ
“คุณรู้ได้ยังไงว่าพวกเราต้องถูกลบความทรงจำ” นินโพล่งออกไปความตื่นเต้นและรับรู้ได้ทันทีว่าสี่คนนี้ท่าทางจะไม่ธรรมดามีอะไร ที่พวกเขารู้เกี่ยวกับเซร่ามากกว่าที่เธอรู้แน่ๆ มิกกับก้องก็คิดเช่นเดียวกับนิน ทั้งสามหันมามองหน้ากันราวกับรับรู้ความคิดของกันและกัน
ก้องกำลังจะเอ่ยถามอะไรบางอย่าง แต่ถูกรอนส่งสัญญาณบอกให้เงียบ รอนยกกำปั้นด้านขวาขึ้นเพื่อส่งสัญญาณบอกให้ทุกคนที่เดินตามหยุดเดินก่อนจะแบมือออกแล้วใช้ฝ่ามือตบอากาศ ค่อยๆย่อตัวลงพื้น แล้วทุกคนที่อยู่ข้างหลังก็ทำตาม ทุกคนจึงอยู่ในท่านั่งย่องบนพื้น
รอนใช้มีดสั้นปักลงพื้นดินเอียงหูฟังอะไรบางอย่างที่ดังมาจากมีด ก่อนจะหันมาบอกทุกคน
“มีคนสิบคนอยู่ข้างหน้าเรา อาวุธหนักครบมือ”
“ทหารเซร่าหรอก” เจนถาม
“เปล่า พวกสตอมน่ะ” รอนตอบอย่างร้อนรน มือกำลังวุ่นวายกับการขยับแว่นตากันแดดที่เพิ่งหยิบขึ้นมาใส่
“สตอมคือใครหรือฮะ” ก้องถามอย่างอยากรู้
“สลัดอวกาศพวกล่าอาณานิคมน่ะ พวกนี้จะปล้นสะดม เข่นฆ่าผู้คนราวกับผักปลาและเข้ามายึดครองดวงดาวที่มันต้องการได้ข่าวว่าเมื่อสัปดาห์ก่อนพวกมันเพิ่งไปถล่มดาวไซเทน แต่เข้าไปยึดครองไม่ได้ กองกำลังจากสหพันธ์อวกาศเข้ามาช่วยไซเทนไว้ สตอมจึงต้องล่าถอย พวกนี้โหดร้ายและป่าเถื่อน นายควรอยู่ห่างๆไว้ .. ว่าแต่ รอน..นายแค่เอามีดจิ้มลงดินแล้วรู้ได้เลยรึว่านั่นคือพวกสตอม” ริคเป็นคนตอบก้อง ก่อนจะพยายามชะเง้อคอไปพูดกับเพื่อนที่อยู่ข้างหน้าความสงสัยและทึ่งจัดกับความสามารถแบบโบราณของเพื่อน
“เปล่าหรอก ฉันดูผ่านกล้องส่องทางไกลน่ะ” รอนหันมาบอกเพื่อน ก่อนจะขยับแว่นตาขึ้นลงให้เพื่อนได้เห็นอุปกรณ์ที่ทำให้เขามองเห็นในระยะไกล
“ไอ้บ้าเอ้ย .. นึกว่าเก่งขนาดฟังเสียงจากมีดแล้วรู้ทุกอย่าง” ริคสบถ ก่อนจะขว้างก้อนหินก้อนเล็กๆใส่ศีรษะเพื่อน ด้วยอารมณ์หมั่นไส้แกมตลกขบขันตัวเองที่ดันไปหลงเชื่อว่าเพื่อนสามารถบอกทุกอย่างได้เพียงแค่ใช้มีดปักลงดิน
“ฉันลองแล้วนี่หว่า แต่ไม่ได้ยินอะไรเลย วิธีโบราณใช้ไม่ได้ผล ก็ต้องพึ่งเทคโนโลยีนี่ละแน่นอนเฉียบขาด ฮ่าๆ ไปต่อกันเถอะ พวกสตอมไปแล้ว ท่าทางเหมือนถูกเรียกกลับ เราต้องรีบไปให้ถึงค่ายก่อนพายุจะมา”
รอนยืนขึ้นแล้วโบกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนเดินตาม ทีนี้เขาเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น สายตาก้มมองนาฬิกาที่ข้อมืออยู่เป็นระยะราวกับมีเรื่องหนักใจให้ต้องคิด เช่นเดียวกับเฟรดซึ่งเดินอยู่รั้งท้ายก็ดูร้อนร้น สายตาจ้องมองอุปกรณ์บางอย่างที่ถืออยู่ในมือ มันส่งเสียงดังปิ๊ดๆถี่ขึ้นและถี่ขึ้นเรื่อยๆ
“เราต้องหาที่หลบภัยก่อน พายุกำลังมา” เฟรดตะโกนบอกทุกคน
สายลมพัดส่งเสียงดังน่ากลัวและเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ลมพัดแรงจนทุกคนยืนเซ ต้องจับมือกันไว้ มิกจับมือนิน นินจับมือก้อง เด็กน้อยสามคนยืนเอนตัวเอียงไปมาเพราะต้านทานแรงลมไม่ไหว ท้องฟ้ามืดสนิทก้อนเมฆดำทะมึนเข้ามาปกคลุม อุณหภูมิลดต่ำลงจนหนาวสั่น และเริ่มลดฮวบลงเรื่อยๆ เด็กน้อยทั้งสามที่อยู่ในสภาพเปียกปอนต่างพากันยืนตัวสั่น ปากสั่น ใบหน้าซีดเซียว ขนแขนขาลำคอตั้งชัน
“ไปทางโน่น ที่ต้นไม้ใหญ่” เจนชี้บอกทุกคน
“หลบไปก่อนเด็กๆ” เฟรดบอก ก่อนจะปักแท่งเหล็กขนาดเท่าไม้ตีกลองสี่แท่งลงพื้นดินใกล้ๆกับต้นไม้ใหญ่ในลักษณะรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส หลังจากนั้นเฟรดและริดก็ช่วยกดปุ่มบางอย่างซึ่งอยู่บนปลายแท่งเหล็ก ก่อนจะค่อยๆเดินหลบถอยห่างออกมา
ไม่นานแท่งเหล็กทั้งสี่ก็ส่องแสงสีขาว ลำแสงสีขาวจากสี่มุมพุ่งตรงเข้ามาประสานกัน สารอนุภาคบางอย่างค่อยๆรวมตัวจับเรียงประสานถักทอต่อเข้าหากันคล้ายรังผึ้งและเริ่มขยายวงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆเกิดเป็นกระโจมรูปโดมขนาดยักษ์ แข็งแรงมั่นคงประดุจหินผา มันหยุดนิ่งแล้วปล่อยสารสีเขียวสว่างจ้ารอบล้อมกระโจมรูปโดม และมันคือที่หลบภัยชั่วคราวของพวกเขา
“เข้ามาๆ” ริคร้องเรียกให้ทุกคนเดินตามเข้ามายังที่หลบภัยชั่วคราว
ภายในสว่างเจิดจ้าด้วยแสงไฟสีขาวนวล เด็กๆต้องพากันลับตาลงก่อน จึงค่อยๆลืมตาขึ้นใหม่เพื่อปรับสายตาให้คุ้นชินกับแสง พอมองได้ชัดเจนก็เห็นสภาพภายในที่เหมือนห้องพักห้องหนึ่ง มีอุปกรณ์ยังชีพหลายอย่าง ขวดน้ำ อาหารกระป๋อง กล่องยาซึ่งวางเรียงกันอยู่บนโต๊ะ ถัดไปคือตู้เสื้อผ้าและห้องน้ำ
เจนเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบออกมาสามชุด นำมาให้เด็กเปลี่ยน และนำอาหารสามชุดมาตั้งไว้บนโต๊ะกลางห้อง และพวกเขารอคอยให้เด็กๆทั้งสามทานอาหารให้เรียบร้อย
“พวกเธอจำครอบครัวของตัวเองได้ไหม” เจนเริ่มถามทันทีที่เด็กทั้งสามทานอาหารเสร็จ
“จำได้ค่ะ/ครับ” นินและมิกตอบพร้อมกัน มีเพียงก้องที่เงียบไป เพราะเขากำลังง่วนอยู่กับการเทอาหารในกระป๋องลงปากตัวเอง
“ได้ยังไง เซร่าจะลบความทรงจำเด็กๆทุกคนที่พวกมันจับมา” ริคพูดขึ้นด้วยความสงสัย
“แล้วพวกคุณรู้ไหมฮะ ว่าเซร่าจับพวกเรามาทำไม” ผมเป็นคนถาม นี่คือสิ่งที่ผมอยากรู้มากที่สุด และที่อยากรู้มากยิ่งกว่าคือจะมีวิธีทำลายเซร่าได้อย่างไร ใช่ ผมต้องการทำลายเซร่าให้ย่อยยับ แต่ผมต้องรู้ก่อนว่ามันต้องการจะทำอะไรกับเด็กๆที่จับมา
“ใจเย็นไอ้หนู รู้แล้วอาจมีเสียว” เฟรดซึ่งยืนพิงผนังพูดขึ้นพร้อมขยิบตาให้มิก
เด็กๆทั้งสามดวงตาลุกวาวกับคำพูดของเฟรด ไม่ได้คาดหวังว่าคำตอบจะออกมาสวยงาม แต่อย่างน้อยก็เป็นกุญแจที่ทำให้พวกเขารู้ว่าตัวเองถูกจับมาเพื่ออะไร และทำไมต้อลบความทรงจำ
“ตลอดระยะเวลาสามปีหนูกับมิกถูกลบความทรงจำ แต่ก้องเป็นคนช่วยพวกเราไว้ค่ะ ก้องน่าจะรู้เรื่องราวได้ดีกว่า” นินพูดขึ้นและหันไปมองทางก้อง เป็นการบอกให้ก้องเล่าต่อเอง
“นายคนนี้ไม่มีแผ่นซิปฝังอยู่ที่แขนเหมือนพวกเธอสองคน รอดมาได้ยังไง” รอนพูดขึ้นบ้าง เขาเป็นคนตรวจร่างกายของเด็กทั้งสามก็อดที่จะสงสัยในตัวเด็กคนนี้ไม่ได้
“ผมถูกจับตัวมาเหมือนเด็กคนอื่นๆฮะ แต่ระหว่างเดินทางผมตื่นขึ้นมา ผมตื่นเพราะผมหิว และผมเห็นพวกนั้นทำอะไรกับเด็กคนอื่นๆ ใช่ผมเห็น ผมแอบดูอยู่ในช่องระบายอากาศ” ก้องพูดเสียงอู้อี้ ในปากยังเคี้ยวอาหารไม่หยุด
“แล้วนายทำยังไง ฉันหมายถึง นายแอบซ่อนตัวอยู่ในนั้นจนยานเซร่าลงจอดเลยหรือ” เจนถามอย่างอยากรู้ เช่นเดียวกับคนอื่นที่ต่างจ้องมองมายังเด็กชายผอมแห้งผมเผ้ายุ่งเหยิง ซึ่งนั่งนิ่งเหลือบสายตามองทุกคน
ก้องขยับร่างกายนิดหนึ่งเพื่อจะได้นั่งในท่าที่ผ่อนคลายขึ้น เตรียมพร้อมจะได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟัง ภายในใจลึกๆเขาก็รู้สึกภูมิใจอยู่ไม่น้อยที่ตอนนี้ได้กลายมาเป็นจุดสนใจของทุกคน ซึ่งก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักที่เด็กกำพร้าอย่างเขาจะมีใครมาให้ความสนใจ เรื่องนี้ก้องรู้ดีเพราะเขาเรียนรู้มาตั้งแต่ตอนเขาอายุห้าขวบ
เมื่อครั้งนั้น ตอนที่เขาถูกไล่ออกการจากสถานเด็กกำพร้าเพราะดันไปต่อยปากลูกชายของเจ้าหน้าที่ในศูนย์จนปากแตก สร้างความไม่พอใจให้กับเจ้าหน้าที่คนนั้น จึงผลักไสไล่ส่งเขาออกจากศูนย์ ทั้งที่เขาอายุได้เพียงห้าขวบเท่านั้น ก้องต้องออกมาใช้ชีวิตบนโลกภายนอกอย่างเคว้งคว้างไร้ทิศทางไม่ต่างจากเรือที่ไร้หางเสือ
เขาเดินคุ้ยเขี่ยหาเศษอาหารตามถังขยะ และร้องขออาหารจากใครก็ได้ที่พอจะเมตตา ทว่าผู้คนหลายต่อหลายคนที่เดินผ่านเขา คนแล้วคนเล่าไม่มีใครเลยจะหันมามองเด็กข้างถนนที่หาเศษอาหารในถังขยะกินเพื่อประทังชีวิต แต่ไม่มีใครเลยที่จะสนใจเด็กผู้ยากไร้อย่างเขา และถึงแม้เขาจะนอนตายบนถนนก็คงไม่มีใครสนใจ นั้นคือสิ่งที่เขาเรียนรู้จากโลกที่อุดมไปด้วยอารยธรรม อารยธรรมที่ทุกคนต่างคิดว่าสวยงาม แต่สำหรับเขาเป็นช่างมืดหม่นเหลือเกิน ความหวังที่จะได้รับความช่วยเหลือจากใครถูกโยนทิ้งไปจากใจเขานับตั้งแต่วันนั้น เขาดิ้นร้นเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ มีชีวิตอยู่เพื่ออะไรไม่รู้ แต่ที่เขารู้คือเขาจะไม่ยอมตายง่ายๆ
ก้องอาศัยอุโมงค์ร้างเพื่อใช้เป็นที่หลับนอนและสุดท้ายก็กลายมาเป็นบ้านของเขา และตลอดระยะเวลาสี่ปีที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในอุโมงค์ ก้องเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งใคร เขาเข้มแข็งและแกร่งกล้าสามารถตามแบบฉบับคนไร้บ้านที่ควรจะเป็น
.
โลกใหม่ .... (บทจบ)
บทที่ 1 http://ppantip.com/topic/35468682
บทที่ 2 http://ppantip.com/topic/35478820
ขอขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านมาแสดงความคิดเห็น ทุกๆความคิดเห็นคือกำลังใจที่มีค่าสำหรับคนเขียนมากค่ะ ขอบคุณที่ติดตามอ่านเรื่องสั้นหลุดโลกแบบตามใจคนเขียน …แนะนำติชมได้นะคะ หากพบเห็นคำไหนเขียนผิดหรือเขียนตกหล่นบอกผู้เขียนได้ค่ะ จะรีบมาแก้ไขโดยด่วนค่ะ ^^
===============
เรื่องสั้น : โลกใหม่
===============
“พวกเราหนีออกมาจากเซร่า” ผมเป็นคนบอก เพราะดูจากการแต่งตัวและอาวุธที่พวกนี้ถือ ไม่น่าจะเป็นทหารของเซร่า ถ้าบอกความจริงไปบางทีอาจจะได้รับความช่วยเหลือจากพวกเขา
“รอน นายเข้าไปตรวจพวกเขาดูหน่อยสิ” หญิงสาวซึ่งอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีแดงเป็นคนพูด ในมือยังคงถือปืนเล็งมายังเด็กสามคน
ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูง เหวี่ยงกระบอกปืนที่สะพายอยู่ไปด้านหลัง และดึงกล่องสีดำขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เขากดปุ่มอะไรบางอย่างในกล่องนั้น มันส่งเสียงติ๊ดๆ ไฟสีเขียวจึงติดขึ้นหน้าจอสีขาวสว่างจ้าขึ้นมา เขานำอุปกรณ์ที่เพิ่งเปิดมาทาบตามตัวเด็กๆทั้งสามคนด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะหันมาพยักหน้าให้หญิงสาวเสื้อคลุมสีแดง
“สองคนนี้มีแผ่นซิปฝังอยู่ที่แขน” รอนชี้มาทางมิกและนิน
“แล้วอีกคนล่ะ” ริค ชายหมุ่นซึ่งยืนอยู่ข้างหญิงสาวเป็นคนถามขึ้น
“อีกคนปลอดภัย” รอนบอก
“สองคนนี้ฉันขอละกันเดี๋ยวจัดการเอาแผ่นซิปออกให้เอง”
“เบาๆกับเด็กหน่อยนะเฟรด” ริคหันไปบอกชายร่างใหญ่กำยำซึ่งกำลังดึงมีดสั้นออกมาจากฝักที่เหน็บอยู่ข้างสะเอว
“เอ้าๆยื่นแขนมาเด็กๆ” เฟรดบอกมิกและนิน เขาควงมีดสั้นเล่นอย่างมีความสุขเพื่อรอกรีดแขนเด็กน้อยสองคนนี้
“พวกคุณจะทำอะไร” ผมเอ่ยถามเสียงสั่น และรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย
“ก็เอาแผ่นซิปออกจากแขนให้นายไง ถ้าไม่รีบเอาออกเดี๋ยวพวกทหารเซร่าก็เห่กันมาพอดี ป่านนี้ไม่รู้ตำแหน่งนายแล้วหรือ” เฟรดบอกเสียงดัง
“เอาออกให้หนูก่อนเลยค่ะ” นินเป็นคนยื่นแขนให้เฟรด
“ใจเด็ดจังเลยนะแม่หนูน้อย เจ็บหน่อยนะ ทนไว้ไหม”
เฟรดพูดจบโดยไม่รอคำตอบจากอีกฝ่าย ก็ฝังมีดสั้นกรีดเข้าไปในแขนของนินแล้วดึงแผ่นซิปออกมาจากแขน และทุบทิ้งทันที
หญิงสาวเสื้อคลุมสีแดงเดินถือขวดสีขาวขนาดเท่าขวดเครื่องดื่มชูกำลัง เธอฉีดสเปรย์ใส่แผลสดของเด็กหญิงละอองน้ำเย็นใสพุ่งกระจายใส่แผล ไม่นานแผลสดใหม่ก็เริ่มสมานและค่อยๆเลือนหายไป แขนที่ถูดกรีดเมื่อครู่กลับคืนสภาพปกติราวกับไม่เคยถูกมีดแหลมคมเฉือนมาก่อน
ผมมองดูด้วยความตื่นตะลึง แทบไม่เชื่อสายตาแต่ก็ยอมให้เขา กรีดแขนเพื่อเอาแผ่นซิปออก
“เราต้องจากที่นี่โดยด่วน ก่อนที่ทหารเซร่าจะยกพลมา” หญิงสาวเสื้อคลุมสีแดงบอกทุกคนอย่างรีบร้อน
“พวกคุณเป็นใคร” ผมถามเพราะรู้สึกไม่ไว้ใจสี่คนนี้ พวกเขาอาจจะช่วยพวกผมหนีไปจากเซร่าได้ แต่ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าพวกเขาจะปลอดภัยจากสี่คนนี้
“นั่น ริค เฟรด รอนและฉันเจน” หญิงสาวในเสื้อคลุมสีแดงเป็นคนแนะนำ
“ส่วนหนูนิน นั่นมิกและก้องค่ะ” นินแนะนำเพื่อนๆ
“รีบย้ายก้นไปจากที่นี่ดีกว่า ทหารเซร่ามาถึงเมื่อไหร่ยุ่งแน่งานนี้” รอนเป็นคนพูดก่อนจะเดินนำหน้าคนอื่นๆ ตามด้วยเจน เด็กๆ ริคและเฟรดเป็นคนเดินรั้งท้าย พวกเขาระแวดระวังทุกย่างก้าวที่เดิน สายตากวาดมองโดยรอบราวกับจะมีศัตรูแอบแฝงอยู่ตามจุดต่างๆ
“พวกคุณจะพาเราไปที่ไหนฮะ” ผมเป็นคนถาม ถามใครก็ได้ที่จะตอบ
“ฉันควรจะถามพวกเธอมากกว่า ว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เด็กๆเค้าไม่มาเดินเล่นในป่ามรณะหรอกนะ” เจนเป็นคนเอ่ยถามและหันมาสบตามิก เพื่อต้องการคำตอบที่แสดงให้รู้ว่าคนตอบจะไม่โกหก
เด็กน้อยทั้งสามทำตาโตตื่นตกใจเมื่อได้ยินคำว่าป่ามรณะ นินขยับเดินมาใกล้มิกแล้วรีบคว้าแขนมิกมากอดไว้
“อย่างที่บอกครับ พวกเราหนีออกจากเซร่า หนีมาทางท่อน้ำทิ้งและมาโผล่ที่นี่” ผมเป็นคนตอบ สายจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าเพื่อยืนยันว่าทั้งหมดที่พูดมาเป็นความจริง
“น่าแปลกที่พวกเธอสื่อสารได้ปกติราวกับคนที่ไม่เคยถูกลบความทรงจำ” คราวนี้รอนเป็นคนพูด พูดขึ้นลอยๆโดยไม่หันมามองหน้าใคร เขายังทำหน้าเป็นคนเดินนำขบวนอย่างตั้งอกตั้งใจ
“คุณรู้ได้ยังไงว่าพวกเราต้องถูกลบความทรงจำ” นินโพล่งออกไปความตื่นเต้นและรับรู้ได้ทันทีว่าสี่คนนี้ท่าทางจะไม่ธรรมดามีอะไร ที่พวกเขารู้เกี่ยวกับเซร่ามากกว่าที่เธอรู้แน่ๆ มิกกับก้องก็คิดเช่นเดียวกับนิน ทั้งสามหันมามองหน้ากันราวกับรับรู้ความคิดของกันและกัน
ก้องกำลังจะเอ่ยถามอะไรบางอย่าง แต่ถูกรอนส่งสัญญาณบอกให้เงียบ รอนยกกำปั้นด้านขวาขึ้นเพื่อส่งสัญญาณบอกให้ทุกคนที่เดินตามหยุดเดินก่อนจะแบมือออกแล้วใช้ฝ่ามือตบอากาศ ค่อยๆย่อตัวลงพื้น แล้วทุกคนที่อยู่ข้างหลังก็ทำตาม ทุกคนจึงอยู่ในท่านั่งย่องบนพื้น
รอนใช้มีดสั้นปักลงพื้นดินเอียงหูฟังอะไรบางอย่างที่ดังมาจากมีด ก่อนจะหันมาบอกทุกคน
“มีคนสิบคนอยู่ข้างหน้าเรา อาวุธหนักครบมือ”
“ทหารเซร่าหรอก” เจนถาม
“เปล่า พวกสตอมน่ะ” รอนตอบอย่างร้อนรน มือกำลังวุ่นวายกับการขยับแว่นตากันแดดที่เพิ่งหยิบขึ้นมาใส่
“สตอมคือใครหรือฮะ” ก้องถามอย่างอยากรู้
“สลัดอวกาศพวกล่าอาณานิคมน่ะ พวกนี้จะปล้นสะดม เข่นฆ่าผู้คนราวกับผักปลาและเข้ามายึดครองดวงดาวที่มันต้องการได้ข่าวว่าเมื่อสัปดาห์ก่อนพวกมันเพิ่งไปถล่มดาวไซเทน แต่เข้าไปยึดครองไม่ได้ กองกำลังจากสหพันธ์อวกาศเข้ามาช่วยไซเทนไว้ สตอมจึงต้องล่าถอย พวกนี้โหดร้ายและป่าเถื่อน นายควรอยู่ห่างๆไว้ .. ว่าแต่ รอน..นายแค่เอามีดจิ้มลงดินแล้วรู้ได้เลยรึว่านั่นคือพวกสตอม” ริคเป็นคนตอบก้อง ก่อนจะพยายามชะเง้อคอไปพูดกับเพื่อนที่อยู่ข้างหน้าความสงสัยและทึ่งจัดกับความสามารถแบบโบราณของเพื่อน
“เปล่าหรอก ฉันดูผ่านกล้องส่องทางไกลน่ะ” รอนหันมาบอกเพื่อน ก่อนจะขยับแว่นตาขึ้นลงให้เพื่อนได้เห็นอุปกรณ์ที่ทำให้เขามองเห็นในระยะไกล
“ไอ้บ้าเอ้ย .. นึกว่าเก่งขนาดฟังเสียงจากมีดแล้วรู้ทุกอย่าง” ริคสบถ ก่อนจะขว้างก้อนหินก้อนเล็กๆใส่ศีรษะเพื่อน ด้วยอารมณ์หมั่นไส้แกมตลกขบขันตัวเองที่ดันไปหลงเชื่อว่าเพื่อนสามารถบอกทุกอย่างได้เพียงแค่ใช้มีดปักลงดิน
“ฉันลองแล้วนี่หว่า แต่ไม่ได้ยินอะไรเลย วิธีโบราณใช้ไม่ได้ผล ก็ต้องพึ่งเทคโนโลยีนี่ละแน่นอนเฉียบขาด ฮ่าๆ ไปต่อกันเถอะ พวกสตอมไปแล้ว ท่าทางเหมือนถูกเรียกกลับ เราต้องรีบไปให้ถึงค่ายก่อนพายุจะมา”
รอนยืนขึ้นแล้วโบกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนเดินตาม ทีนี้เขาเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น สายตาก้มมองนาฬิกาที่ข้อมืออยู่เป็นระยะราวกับมีเรื่องหนักใจให้ต้องคิด เช่นเดียวกับเฟรดซึ่งเดินอยู่รั้งท้ายก็ดูร้อนร้น สายตาจ้องมองอุปกรณ์บางอย่างที่ถืออยู่ในมือ มันส่งเสียงดังปิ๊ดๆถี่ขึ้นและถี่ขึ้นเรื่อยๆ
“เราต้องหาที่หลบภัยก่อน พายุกำลังมา” เฟรดตะโกนบอกทุกคน
สายลมพัดส่งเสียงดังน่ากลัวและเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ลมพัดแรงจนทุกคนยืนเซ ต้องจับมือกันไว้ มิกจับมือนิน นินจับมือก้อง เด็กน้อยสามคนยืนเอนตัวเอียงไปมาเพราะต้านทานแรงลมไม่ไหว ท้องฟ้ามืดสนิทก้อนเมฆดำทะมึนเข้ามาปกคลุม อุณหภูมิลดต่ำลงจนหนาวสั่น และเริ่มลดฮวบลงเรื่อยๆ เด็กน้อยทั้งสามที่อยู่ในสภาพเปียกปอนต่างพากันยืนตัวสั่น ปากสั่น ใบหน้าซีดเซียว ขนแขนขาลำคอตั้งชัน
“ไปทางโน่น ที่ต้นไม้ใหญ่” เจนชี้บอกทุกคน
“หลบไปก่อนเด็กๆ” เฟรดบอก ก่อนจะปักแท่งเหล็กขนาดเท่าไม้ตีกลองสี่แท่งลงพื้นดินใกล้ๆกับต้นไม้ใหญ่ในลักษณะรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส หลังจากนั้นเฟรดและริดก็ช่วยกดปุ่มบางอย่างซึ่งอยู่บนปลายแท่งเหล็ก ก่อนจะค่อยๆเดินหลบถอยห่างออกมา
ไม่นานแท่งเหล็กทั้งสี่ก็ส่องแสงสีขาว ลำแสงสีขาวจากสี่มุมพุ่งตรงเข้ามาประสานกัน สารอนุภาคบางอย่างค่อยๆรวมตัวจับเรียงประสานถักทอต่อเข้าหากันคล้ายรังผึ้งและเริ่มขยายวงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆเกิดเป็นกระโจมรูปโดมขนาดยักษ์ แข็งแรงมั่นคงประดุจหินผา มันหยุดนิ่งแล้วปล่อยสารสีเขียวสว่างจ้ารอบล้อมกระโจมรูปโดม และมันคือที่หลบภัยชั่วคราวของพวกเขา
“เข้ามาๆ” ริคร้องเรียกให้ทุกคนเดินตามเข้ามายังที่หลบภัยชั่วคราว
ภายในสว่างเจิดจ้าด้วยแสงไฟสีขาวนวล เด็กๆต้องพากันลับตาลงก่อน จึงค่อยๆลืมตาขึ้นใหม่เพื่อปรับสายตาให้คุ้นชินกับแสง พอมองได้ชัดเจนก็เห็นสภาพภายในที่เหมือนห้องพักห้องหนึ่ง มีอุปกรณ์ยังชีพหลายอย่าง ขวดน้ำ อาหารกระป๋อง กล่องยาซึ่งวางเรียงกันอยู่บนโต๊ะ ถัดไปคือตู้เสื้อผ้าและห้องน้ำ
เจนเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบออกมาสามชุด นำมาให้เด็กเปลี่ยน และนำอาหารสามชุดมาตั้งไว้บนโต๊ะกลางห้อง และพวกเขารอคอยให้เด็กๆทั้งสามทานอาหารให้เรียบร้อย
“พวกเธอจำครอบครัวของตัวเองได้ไหม” เจนเริ่มถามทันทีที่เด็กทั้งสามทานอาหารเสร็จ
“จำได้ค่ะ/ครับ” นินและมิกตอบพร้อมกัน มีเพียงก้องที่เงียบไป เพราะเขากำลังง่วนอยู่กับการเทอาหารในกระป๋องลงปากตัวเอง
“ได้ยังไง เซร่าจะลบความทรงจำเด็กๆทุกคนที่พวกมันจับมา” ริคพูดขึ้นด้วยความสงสัย
“แล้วพวกคุณรู้ไหมฮะ ว่าเซร่าจับพวกเรามาทำไม” ผมเป็นคนถาม นี่คือสิ่งที่ผมอยากรู้มากที่สุด และที่อยากรู้มากยิ่งกว่าคือจะมีวิธีทำลายเซร่าได้อย่างไร ใช่ ผมต้องการทำลายเซร่าให้ย่อยยับ แต่ผมต้องรู้ก่อนว่ามันต้องการจะทำอะไรกับเด็กๆที่จับมา
“ใจเย็นไอ้หนู รู้แล้วอาจมีเสียว” เฟรดซึ่งยืนพิงผนังพูดขึ้นพร้อมขยิบตาให้มิก
เด็กๆทั้งสามดวงตาลุกวาวกับคำพูดของเฟรด ไม่ได้คาดหวังว่าคำตอบจะออกมาสวยงาม แต่อย่างน้อยก็เป็นกุญแจที่ทำให้พวกเขารู้ว่าตัวเองถูกจับมาเพื่ออะไร และทำไมต้อลบความทรงจำ
“ตลอดระยะเวลาสามปีหนูกับมิกถูกลบความทรงจำ แต่ก้องเป็นคนช่วยพวกเราไว้ค่ะ ก้องน่าจะรู้เรื่องราวได้ดีกว่า” นินพูดขึ้นและหันไปมองทางก้อง เป็นการบอกให้ก้องเล่าต่อเอง
“นายคนนี้ไม่มีแผ่นซิปฝังอยู่ที่แขนเหมือนพวกเธอสองคน รอดมาได้ยังไง” รอนพูดขึ้นบ้าง เขาเป็นคนตรวจร่างกายของเด็กทั้งสามก็อดที่จะสงสัยในตัวเด็กคนนี้ไม่ได้
“ผมถูกจับตัวมาเหมือนเด็กคนอื่นๆฮะ แต่ระหว่างเดินทางผมตื่นขึ้นมา ผมตื่นเพราะผมหิว และผมเห็นพวกนั้นทำอะไรกับเด็กคนอื่นๆ ใช่ผมเห็น ผมแอบดูอยู่ในช่องระบายอากาศ” ก้องพูดเสียงอู้อี้ ในปากยังเคี้ยวอาหารไม่หยุด
“แล้วนายทำยังไง ฉันหมายถึง นายแอบซ่อนตัวอยู่ในนั้นจนยานเซร่าลงจอดเลยหรือ” เจนถามอย่างอยากรู้ เช่นเดียวกับคนอื่นที่ต่างจ้องมองมายังเด็กชายผอมแห้งผมเผ้ายุ่งเหยิง ซึ่งนั่งนิ่งเหลือบสายตามองทุกคน
ก้องขยับร่างกายนิดหนึ่งเพื่อจะได้นั่งในท่าที่ผ่อนคลายขึ้น เตรียมพร้อมจะได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟัง ภายในใจลึกๆเขาก็รู้สึกภูมิใจอยู่ไม่น้อยที่ตอนนี้ได้กลายมาเป็นจุดสนใจของทุกคน ซึ่งก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักที่เด็กกำพร้าอย่างเขาจะมีใครมาให้ความสนใจ เรื่องนี้ก้องรู้ดีเพราะเขาเรียนรู้มาตั้งแต่ตอนเขาอายุห้าขวบ
เมื่อครั้งนั้น ตอนที่เขาถูกไล่ออกการจากสถานเด็กกำพร้าเพราะดันไปต่อยปากลูกชายของเจ้าหน้าที่ในศูนย์จนปากแตก สร้างความไม่พอใจให้กับเจ้าหน้าที่คนนั้น จึงผลักไสไล่ส่งเขาออกจากศูนย์ ทั้งที่เขาอายุได้เพียงห้าขวบเท่านั้น ก้องต้องออกมาใช้ชีวิตบนโลกภายนอกอย่างเคว้งคว้างไร้ทิศทางไม่ต่างจากเรือที่ไร้หางเสือ
เขาเดินคุ้ยเขี่ยหาเศษอาหารตามถังขยะ และร้องขออาหารจากใครก็ได้ที่พอจะเมตตา ทว่าผู้คนหลายต่อหลายคนที่เดินผ่านเขา คนแล้วคนเล่าไม่มีใครเลยจะหันมามองเด็กข้างถนนที่หาเศษอาหารในถังขยะกินเพื่อประทังชีวิต แต่ไม่มีใครเลยที่จะสนใจเด็กผู้ยากไร้อย่างเขา และถึงแม้เขาจะนอนตายบนถนนก็คงไม่มีใครสนใจ นั้นคือสิ่งที่เขาเรียนรู้จากโลกที่อุดมไปด้วยอารยธรรม อารยธรรมที่ทุกคนต่างคิดว่าสวยงาม แต่สำหรับเขาเป็นช่างมืดหม่นเหลือเกิน ความหวังที่จะได้รับความช่วยเหลือจากใครถูกโยนทิ้งไปจากใจเขานับตั้งแต่วันนั้น เขาดิ้นร้นเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ มีชีวิตอยู่เพื่ออะไรไม่รู้ แต่ที่เขารู้คือเขาจะไม่ยอมตายง่ายๆ
ก้องอาศัยอุโมงค์ร้างเพื่อใช้เป็นที่หลับนอนและสุดท้ายก็กลายมาเป็นบ้านของเขา และตลอดระยะเวลาสี่ปีที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในอุโมงค์ ก้องเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งใคร เขาเข้มแข็งและแกร่งกล้าสามารถตามแบบฉบับคนไร้บ้านที่ควรจะเป็น
.